ยอดกายากำราบยุค ตอนที่ 42 บุรุษชุดนักพรตขี่วัวเขียว
ยอดกายากำราบยุค ตอนที่ 42 บุรุษชุดนักพรตขี่วัวเขียว
กู้ฉางเซิงมิได้ล่วงรู้ว่าเพียงแค่เขาลงมือทดสอบพลังอำนาจของสัตว์อสูรระดับทรงอิทธิพล ก็ทำให้ทั่วทั้งเมืองเป่ยหวงเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่
หลังจากสังหารสัตว์อสูรสองตนที่ขวางทาง เขาก็ทะลวงผ่านหมอกสีเทาเบื้องหน้า มุ่งหน้าไปยังซากปรักหักพัง
ส่วนคลื่นสัตว์ทมิฬเบื้องหลัง เขาไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย
งามชุมนุมล่าสัตว์ แท้จริงแล้วก็คือการที่ตระกูลกู้สร้างบารมีให้เขา
จำนวนสัตว์อสูรที่เขาสังหารได้ กู้ฉางเซิงมิได้สนใจมากนัก
ยิ่งไปกว่านั้น ลำดับในคันฉ่องเบิกฟ้าดิน มิได้ขึ้นอยู่กับจำนวนที่สังหารได้
พลังอำนาจของสัตว์อสูรต่างหากที่เป็นตัวตัดสิน!
เมื่อเดินทางลึกเข้าไปภายในซากปรักหักพัง ก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น จำนวนสัตว์อสูรกลับลดน้อยลง
ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่ยังเงียบสงัดกว่าโลกภายนอก
เพียงแต่มีคลื่นพลังอันแปลกประหลาดแผ่กระจายออกมาจากความว่างเปล่า กู้ฉางเซิงคาดเดาว่า นั่นน่าจะเป็นร่างกายของอริยะที่อยู่ภายในตำหนักน้ำแข็ง
เงาร่างของเขากระพริบหายไป ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าสุสานที่รกร้าง
ร่างกายภายในสุสานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ คงเป็นบุคคลสำคัญ
อืม?
กู้ฉางเซิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เขาสะบัดมือ ปลดปล่อยปราณกระบี่อันยิ่งใหญ่ สังหารร่างกายที่เกิดการกลายพันธุ์ที่พุ่งเข้ามาจากหมอกสีเทา จากนั้นจึงมองไปยังความว่างเปล่า รอบกายของเขาก็ปรากฏกลิ่นอายอันลึกลับ
เงาร่างของเขาในคันฉ่องเบิกฟ้าดินพร่ามัวหายไป
ภายในเมืองเป่ยหวง ผู้บำเพ็ญมากมายต่างก็ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
พวกเขาต้องการเห็นการกระทำของบุตรเทพตระกูลกู้ภายในซากปรักหักพัง
“ที่นี่ดูแปลกประหลาด กลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่ไม่เหมือนกับอริยะเพียงคนเดียว......”
กู้ฉางเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เงาร่างของเขาพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ได้หยุดพัก “กล่าวว่าเป็นซากปรักหักพัง แต่แท้จริงแล้วคือสุสาน สมาชิกตระกูลมากมายในเมืองเป่ยหวงถูกฝังอยู่ที่นี่ หลังจากที่ตำหนักน้ำแข็งโบราณปรากฏขึ้นจากใต้ดิน ที่นี่จึงถูกเปิดเผยต่อสายตาของผู้คนอีกครั้ง”
“แต่ยังคงมีตำหนักและศาลาตั้งตระหง่านอยู่มากมาย ดูทรุดโทรมและผุพัง แม้แต่บนพื้นดินก็ยังคงมีเจตจำนงพยาบาทที่ไม่สามารถลบเลือนได้”
เขารู้สึกสงสัย เพราะเรื่องราวที่เขารู้มีไม่มากนัก
ทันใดนั้น เขาก็หยุดฝีเท้าเบื้องหน้าประตูสัมฤทธิ์ที่ทรุดโทรม ไม่ได้เดินทางต่อไป
เบื้องหน้าคือตำหนักที่ซ่อนตัวอยู่ในหมอกสีเทา อากาศเย็นยะเยือก ภายในนั้นมีกลิ่นอายอันแปลกประหลาด
ใต้ดินมีโครงกระดูกสีขาวมากมาย ดูราวกับดินแดนมรณะ
บนพื้นดินมีลวดลายค่ายกลกระจัดกระจาย ถูกสลักไว้บนแผ่นหินสีฟ้าขาว ดูเก่าแก่ยิ่งนัก
เขาหยิบเศษอาวุธชิ้นหนึ่งขึ้นมา
บนนั้นเต็มไปด้วยสนิม ดูเหมือนดินเหนียวสีเทาแดง
กู้ฉางเซิงเช็ดเศษกระบี่ที่เต็มไปด้วยสนิมจนสะอาด
ภายในสนิมปรากฏแสงสว่างสีขาวอันลึกลับ ดูเหมือนว่ายังมีรอยสลักอันเก่าแก่ นี่คือสิ่งของที่หลงเหลืออยู่เมื่อหลายหมื่นปีก่อน
ภายในนั้นยังคงมีโลหิตแห้งกรัง พลังเทพสลายหายไป
“ออกมาเสีย เจ้าติดตามข้ามานานแล้ว”
ทันใดนั้น กู้ฉางเซิงกล่าวอย่างแผ่วเบาไปยังทิศทางหนึ่งเบื้องหลัง จากนั้นจึงโยนเศษอาวุธที่เขาหยิบขึ้นมาไปยังทิศทางนั้น
ตู้ม!
ราวกับดวงดาวน้อย ๆ ระเบิดออก คลื่นพลังอันน่ากลัวทำให้รอบข้างเกิดความผันผวนครั้งใหญ่ อาคารด้านข้างพังทลายลงมา
“หยิงเนี่ยคารวะบุตรเทพตระกูลกู้”
เสียงอันแผ่วเบาดังขึ้น ชายหนุ่มสวมชุดเต๋าขี่วัวเขียวปรากฏตัวขึ้น เขายิ้มเล็กน้อย รับเศษอาวุธเหล็กนั้นเอาไว้ ราวกับว่ามันไม่มีน้ำหนัก
การที่กู้ฉางเซิงพบเขามิได้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ แต่นี่เป็นสิ่งที่สมควรเกิดขึ้น
“และเจ้าด้วย โจรหญิงที่หลบหนีไปในคืนนั้น” กู้ฉางเซิงมองไปยังอีกทิศทางหนึ่ง กล่าวอย่างแผ่วเบา
“ฮึ่ม เจ้าคนกะล่อน ยังกล้ากล่าวถึงข้าอีกหรือ นำสิ่งของของข้ามาคืนเสีย” หญิงสาวชุดเขียวผู้มีใบหน้าสะอาดสะอ้าน ปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า กล่าวอย่างเย็นชา
นางไม่พอใจที่กู้ฉางเซิงเรียกนางว่าโจรหญิง
ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของหยิงเนี่ยก็เบิกกว้าง รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
หากกู้ฉางเซิงไม่เอ่ยวาจา เขาก็ไม่รู้ว่าภายในความว่างเปล่าข้างกายมีหญิงสาวคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่
กล่าวคือ จิตตระหนักรู้ของกู้ฉางเซิงเหนือกว่าเขา
“ธิดาเทพตระกูลฉิน?” เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ฉินชิงชิงไม่ได้สนใจหยิงเนี่ย นางกลับมาสงบนิ่งและเย็นชาอีกครั้ง ยื่นมือขาวราวกับหยกไปเบื้องหน้ากู้ฉางเซิง กล่าวว่า “นำสิ่งของมาคืนเสีย”
กู้ฉางเซิงมองนางแวบหนึ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “สิ่งของอันใด?”
ฉินชิงชิงเห็นเขามีท่าทางไม่รู้เรื่องราวใด ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
บุรุษผู้นี้กำลังแกล้งทำ!
แต่เมื่อคิดว่ายังคงมีคนอื่นอยู่ที่นี่ นางไม่อาจกล่าวสิ่งใดออกมาได้ จึงได้แต่แค่นเสียงเย็นชา ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางดูสงบนิ่ง ราวกับบุคคลที่พ้นโลกีย์
หยิงเนี่ยสงสัยว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์อันใด หรืออาจจะรู้จักกันมาก่อน
เขาจึงเริ่มระมัดระวัง
ท้ายที่สุดแล้ว บุคคลทั้งสามในสถานที่แห่งนี้ ล้วนมีวิธีการปกปิดจิตตระหนักรู้ ทำให้ผู้คนไม่อาจรับรู้ได้ เขารู้สึกอันตราย
“คนกะล่อนสารเลว......”
ฉินชิงชิงเห็นกู้ฉางเซิงยังคงมีท่าทางไม่รู้สึกรู้สา ก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป จึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาอย่างโกรธเคือง
“......”
กู้ฉางเซิงรู้ดีว่าฉินชิงชิงกล่าวถึงสิ่งใด แต่เสื้อชั้นในนั้น เขาต้องเก็บเอาไว้ เป็นเครื่องมือในการควบคุมนาง เขาไม่สามารถคืนให้นางได้ง่าย ๆ
กายาสุญตา หากสามารถควบคุมนางได้ ผลประโยชน์ย่อมต้องมีมากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะที่เป็นธิดาเทพตระกูลฉิน ฉินชิงชิงย่อมต้องมีสมบัติล้ำค่ามากมาย
ใช้มันสำหรับการข่มขู่ ก็เป็นทางเลือกที่ดี