บทที่ 42 หลีกทางให้กับการผงาดของสำนักมาร บล็อกเกอร์สายอาหาร
เรื่องราวที่ถูกใช้เพื่อก่อกวนในวิดีโอต่างๆ นั้น ส่วนใหญ่แล้วหลินเย่เป็นคนจัดฉากขึ้นมาท่ามกลางกลุ่มคนมากมายในสำนักมาร อย่างน้อยหกในสิบของความคิดเห็นเชิงลบเกี่ยวกับสำนักกระบี่สวรรค์ มาจากศิษย์ของสำนักมาร
ในตอนนั้น พวกเขายังไม่ค่อยเข้าใจความตั้งใจของหลินเย่ จนกระทั่งตอนนี้พวกเขาถึงได้เข้าใจ
ปรมาจารย์เต๋าย์หมิงเหอ เจ้าสำนักเสียงลึกลึบ (Xuanyin) ตบต้นขาตัวเองอย่างแรง
"ข้าถามจริงๆ เหตุใดท่านเจ้าสำนักถึงขอให้พวกเราโพสต์ความคิดเห็นเหล่านั้น ที่แท้ทั้งหมดนี้ก็เพื่อโค่นล้มสำนักกระบี่สวรรค์ ข้าไม่คิดว่าเรื่องราวจะพัฒนาไปเร็วขนาดนี้"
"เขาสามารถกำจัดสำนักฝ่ายธรรมะได้โดยไม่ต้องลงมือเอง สมแล้วที่เป็นเจ้าสำนักผู้ฟื้นฟูสำนักมารของเรา!"
เมื่อได้ยินดังนั้น ปรมาจารย์เสวี่ยฉีแห่งสำนักประตูแห่งแดนเหนือ(Xuedaomen sect)ก็พยักหน้าเห็นด้วย
"เมื่อไม่กี่วันก่อน เจ้าสำนักยังไม่ยอมให้ข้าไปหาเรื่องสำนักกระบี่สววรค์เลย ดูเหมือนว่าเขาคงวางแผนสำหรับวันนี้ไว้แล้ว การฆ่าศิษย์เพียงไม่กี่คน เทียบไม่ได้กับการโค่นล้มสำนักทั้งสำนัก"
"ใช่แล้ว เจ้าสำนักเคยพูดเมื่อไม่กี่วันก่อนว่า เราสามารถทำให้ฝ่ายธรรมะอ่อนแอลงได้ด้วยการใช้โทรศัพท์มือถือและติ๊กต๊อก"
"ตอนนั้นข้ายังไม่เชื่อ คิดว่าเป็นการเล่นสนุกไร้สาระเสียมากกว่า"
"ตอนนี้ข้าเชื่อแล้วจริงๆ"
เจ้าสำนักกระดูกวิญญาณ หลิงกู่ ก็มีสีหน้าตื้นตันใจเช่นกัน
หลังจากที่เขาพูด เขาก็มองไปที่ราชินีหยินไป๋ชิงเซวียน
"ท่านราชินีหยิน ข้าได้ยินมาว่าสำนักหญิงงามของท่านได้รับหินวิญญาณมากมายจากการขายชุดสตรีทางออนไลน์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นี่จริงหรือไม่?"
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ทุกคนต่างก็หันไปสนใจไป๋ชิงเซวียน
ไป๋ชิงเซวียนยิ้มออกมาอย่างถ่อมตน
"จริงๆแล้ว พวกเราก็ไม่ได้ทำกำไรได้มากมายขนาดนั้นหรอก แค่หินวิญญาณเพียงแปดสิบล้านก้อนเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วต้องขอบคุณคำแนะนำดีๆ จากท่านเจ้าสำนัก บวกกับความพยายามของพวกหรวยหยานด้วย พวกเราจึงได้หินวิญญาณมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น"
"แปดสิบล้าน!" เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ สีหน้าของเหล่าผู้คนในสำนักมารก็เปลี่ยนไปทันที แม้แต่ภูตเทพแห่งโชคลาภที่ดูแลเรื่องการเงินของสำนักมารก็ยังตกตะลึง
ในช่วงสองถึงสามวันมานี้ ยอดขายของร้านค้าต่างๆ ของสำนักมารเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากมีลูกค้าใหม่ๆ จากการขายโทรศัพท์มือถือ จนถึงตอนนี้ ยอดขายรวมของทุกร้านค้าก็ทะลุสามสิบล้านก้อนแล้ว
เดิมทีพวกเขาคิดว่านี่เป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าหินวิญญาณที่พวกเขาอุตส่าห์ทำงานหนักหามาได้นั้น ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของที่สำนักหญิงงามหาได้เลย
หลังจากอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง เหล่าคนของสำนักมารก็เดินเข้าหาไป๋ชิงเซวียนพร้อมกับรอยยิ้ม
"ท่านราชินีหยิน ช่วยแนะนำพวกเราหน่อยได้ไหม? พวกเราก็ต้องการหินวิญญาณเช่นกัน"
"ใช่ พวกเราสำนักประตูแห้งทิศเหนือ เสวี่ยเต้าเหมิน กินจุมาก พวกมันเกือบจะกินข้าจนหมดตัวอยู่แล้ว"
"ตอนนี้สำนักของท่านมีบล็อกเกอร์ที่มีผู้ติดตามเกินหนึ่งแสนคนแล้วหลายคน แต่สำนักวิญญาณอสูรของเรามีเพียงไม่กี่คนที่ผู้ติดตามเกินหมื่นคน จะทำอย่างไรให้มีคนติดตามเยอะๆ และเร็วๆ?"
"ข้าว่าแล้ว ท่านเจ้าสำนักก็ยังคงโปรดปรานเจ้ามากกว่าอยู่ดี ราชินีหยิน ข้าอุตส่าห์เล่าเรื่องดีๆ เกี่ยวกับการหาหินวิญญาณให้ฟังเสียยืดยาว ข้าคิดว่าท่านเจ้าสำนักต้องแอบสนใจเจ้ามานานแล้วแน่ๆ"
ไป๋ชิงเซวียน ผู้ซึ่งไม่ค่อยได้พูดอะไรก่อนหน้านี้ ก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้าของเธออกมาทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น
"จริงๆแล้วมันก็ง่ายมาก พวกเราทั้งแปดสำนักเป็นพวกเดียวกัน แน่นอนว่าพวกเราก็ต้องช่วยกันหาหินวิญญาณสิ"
"งั้นเอาแบบนี้ เดี๋ยวข้าจะเล่าวิธีการ และเทคนิคที่เจ้าสำนักบอกข้าให้ฟัง"
"จริงๆ แล้ว ทั้งแปดสำนักของเราก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ขอแค่เรารู้จักค้นหาจุดเด่นของตัวเอง เราก็จะสามารถดึงดูดผู้ติดตามได้อย่างแน่นอน"
ระหว่างที่พูด ไป๋ชิงเซวียนก็สอนวิธีการทำคลิปสั้น และไลฟ์สดให้ทุกคนฟัง ซึ่งทั้งหมดนี้หลินเย่เป็นคนสอนเธอมาก่อน
คนอื่นๆ อีกเจ็ดคนก็ตั้งใจฟังอย่างมาก
หลังจากที่พวกเขาซึมซับประสบการณ์ที่ไป๋ชิงเซวียนสอนแล้ว พวกเขาก็รีบกลับไปที่สำนักของตนเพื่อฝึกฝนศิษย์ทันที
ไม่นานนัก บรรยากาศของสำนักมารต่างๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไป มีคนฝึกฝนน้อยลง และมีคนทำคลิปสั้นมากขึ้น ศิษย์ของสำนักมารที่เคยตะโกนฆ่าฟันกัน ต่างหันมาสนใจติ๊กต๊อกมากขึ้น
ในมุมมองของพวกเขา นี่ไม่ใช่การเล่นสนุกไร้สาระอีกต่อไป
เพราะเจ้าสำนักของพวกเขาโค่นล้มสำนักฝ่ายธรรมะลงได้ด้วยติ๊กต๊อก แถมสำนักหญิงงามยังได้หินวิญญาณจำนวนมากจากผู้บ่มเพาะฝ่ายธรรมะอีกด้วย ถือเป็นการทำให้ฝ่ายธรรมะอ่อนแอลงไปอีก
พวกเขาไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับติ๊กต๊อกเพื่อตัวเอง แต่เพื่อโจมตีฝ่ายธรรมะ
เพื่อการผงาดของสำนักมาร พวกเขาจึงยอมทำทุกอย่าง แม้แต่การขายสินค้า
หลินเย่ไม่รู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในสำนักมาร ในตอนนี้ เขาถูกภูตรับใช้ทั้งสองพามาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของเมืองดาบยักษ์
ตามทฤษฎีแล้ว หลังจากที่ผู้บ่มเพาะไปถึงขั้นก่อตั้งรากฐานได้แล้ว พวกเขาจะสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องกินหรือดื่มเป็นเวลานาน แม้จะหิว พวกเขาก็สามารถพึ่งยาปี้กู(Bigu Pill)เพื่อเติมเต็มท้องได้อย่างรวดเร็ว
แต่ก็ไม่สามารถกำจัดความอยากอาหารได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น แม้แต่ในเมืองดาบยักษ์ที่ซึ่งผู้บ่มเพาะมารวมตัวกัน ก็ยังมีร้านอาหารมากมาย
เมื่อวานนี้ หลินเย่ตั้งใจไปลองชิมมาหลายร้าน แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวัง
มาตรฐานอาหารในโลกนี้เทียบไม่ได้แม้แต่กับยุคโบราณในชาติที่แล้วของเขา
มาตรฐานขั้นพื้นฐานคือปรุงให้สุก และไม่ทำให้คนกินอาหารเป็นพิษ
ส่วนเรื่องรสชาติอร่อยหรือไม่นั้น ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคำนึงถึงเลย
และเขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักกับร้านอาหารตรงหน้าที่ชื่อว่าร้านเนื้อย่างวัวเหล็ก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเดินเข้าไปในร้านพร้อมกับภูตรับทั้งสอง เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ามีผู้บ่มเพาะจำนวนมากนั่งอยู่ในร้านเล็กๆ แห่งนี้
ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่อยู่ในขั้นหลอมลมปราณ และมีอีกหลายคนที่อยู่ในขั้นก่อตั้งรากฐาน หลายคนถือโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือและกำลังรีวิวเนื้อย่างที่เพิ่งถูกเสิร์ฟบนโต๊ะ
"สหายเต๋า ข้าบังเอิญผ่านมาแถวเมืองดาบยักษ์ เลยได้ยินว่าร้านเนื้อย่างวัวเหล็กอร่อยมาก เนื้อของข้าย่างเสร็จแล้ว เชิญสหายเต๋ารับประทานก่อนได้เลย"
"หือ?" เมื่อหลินเย่เห็นผู้บ่มเพาะคนหนึ่งกำลังแนะนำตัวอยู่หน้ากล้อง เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองอย่างแปลกใจ
ในตอนนั้น ผู้บ่มเพาะหญิงอีกคนที่อยู่ในขั้นหลอมลมปราณก็กำลังถือโทรศัพท์มือถือพร้อมเคสโทรศัพท์ถ่ายทำอยู่เช่นกัน แต่เธอไม่ได้ถ่ายวิดีโอ แต่กำลังไลฟ์สด
"สหายเต๋า ข้าเพิ่งได้ชิม เนื้อย่างร้านนี้นุ่มละมุนลิ้น แถมยังหอมมาก..."
เนื่องจากหลินเย่นั่งอยู่ข้างๆ เธอพอดี เขาจึงเห็นใบหน้าของเธอในห้องไลฟ์สดได้อย่างชัดเจน
พูดได้เลยว่า เธอในห้องไลฟ์สดกับตัวจริงเป็นคนละคนกันโดยสิ้นเชิง
เธอเชี่ยวชาญศิลปะการแต่งรูปอย่างเห็นได้ชัด
ที่สำคัญไปกว่านั้น ก็คือมีคนเข้ามาส่งของขวัญในห้องไลฟ์สดเป็นระยะๆ
"โอ้โห ติ๊กต๊อกเพิ่งเปิดตัวได้ไม่กี่วัน การรีวิวร้านอาหารออนไลน์กับมุกบังมาแล้วหรือ? ข้าไม่ได้บอกให้พวกเขาทำสักหน่อย"
"พวกนี้คือร่างศักดิ์สิทธิ์ที่จุติขึ้นมาเองโดยธรรมชาติอย่างนั้นหรือ?"
"ดูเหมือนว่าสมองของผู้บ่มเพาะเซียนจะยอดเยี่ยมยิ่งกว่าคนธรรมดา"
"ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป อีกไม่นานยุคแห่งการไลฟ์สดและคลิปสั้นคงมาถึง"
"ถึงตอนนั้น ฝ่ายธรรมะกับฝ่ายมารคงไม่ต้องออกไปสู้รบกันแล้ว คงสู้กันบนโลกออนไลน์แทน"
"แค่วัดกันที่ความรู้ส่วนบุคคลก็พอ (PK Personal Knowledge)"
หลังจากยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาก็มองไปทางเคาน์เตอร์ พอดีกับที่กำลังจะสั่งอาหาร เขาก็ต้องประหลาดใจกับรูปร่างหน้าตาของเจ้าของร้านที่อยู่ไม่ไกล
ไม่ใช่เพราะคนๆ นี้หน้าตาอัปลักษณ์หรือดุร้าย แต่เป็นเพราะคนๆ นี้ดูคล้ายกับบล็อกเกอร์สายอาหารในชาติที่แล้วของเขามาก
"ไม่จริงน่า ทำไมคนๆ นี้ถึงได้เหมือนอาจารย์หวังกังขนาดนี้!"
……
อาจารย์หวังมีตัวตนจริงๆนะครับ เป็นเชฟด้วย 55555555555