บทที่ 17 คัมภีร์ไท่อินฟื้นคืนชีวิตของการเข้าสำนักอย่างเป็นทางการ
###
หลังจากบำเพ็ญจิตเสร็จ มู่หลินที่กำลังนวดศีรษะก็เห็นจงซิวกำลังจะเดินออกจากประตู เขาจึงรีบตามไป
“มีอะไรรึ พี่มู่?”
เมื่อเห็นมู่หลินเข้ามาใกล้ จงซิวหยุดเดินเล็กน้อย
มู่หลินพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “พี่จง พอจะรู้ไหมว่ามีที่ไหนบ้างที่ข้าจะได้พบกับงูดำอันลี้ลับ ข้าฝึกฝนวิชาที่เกี่ยวข้องกับมัน เลยอยากเห็นมันสักครั้ง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จงซิวขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วหัวเราะ
“ถ้าแค่ต้องการศึกษาดู ข้าเกรงว่าคงไม่ต้องพบกับงูดำตัวจริงก็ได้หรอก”
“??? หมายความว่าอย่างไร?”
“ในฐานะนักบำเพ็ญเราฝึกพลังปราณเป็นหลัก เราสามารถสร้างหินจารึกเงาและยันต์จารึกภาพไว้ได้ ด้วยพลังยันต์และอุปกรณ์วิเศษ เราสามารถบันทึกภาพงูดำอันลี้ลับไว้ได้ การศึกษาเงาจากหินจารึกจะง่ายกว่าการเห็นตัวจริงเสียอีก”
จงซิวพูดจบแล้วเหมือนคิดอะไรได้อีก เขายิ้มและกล่าวว่า
“อ้อ ใช่แล้วพี่มู่ ข้าเตือนอีกอย่างนึง นอกจากการศึกษาทั่วไปแล้ว ยังมีปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญที่สามารถสร้างภาพวิญญาณบางชนิดขึ้นมาได้ โดยสามารถให้จิตวิญญาณเข้าสู่ภาพวิญญาณนั้น ให้ท่านสัมผัสประสบการณ์ความสามารถของสัตว์วิญญาณหรืออสูรด้วยตนเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของมู่หลินก็เปล่งประกาย
“ภาพวิญญาณแบบนั้นหาได้จากไหน? ในร้านของสำนักเต๋าหรือเปล่า?”
ไม่แปลกที่มู่หลินจะตื่นเต้น เพราะการสัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวเองจะช่วยให้เขาประหยัดเวลาในการฝึกฝนอย่างมาก
เดิมที ด้วยพลังจิตวิญญาณของมู่หลิน เขาไม่สามารถนึกถึงสัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่งได้ แต่ถ้ามีภาพวิญญาณให้ลองใช้สักครั้ง เรื่องนี้ก็อาจเปลี่ยนไป
น่าเสียดายที่ความคาดหวังของเขาถูกทำลายลงในไม่ช้า
“ร้านของสำนักเต๋ามีราชวงศ์และตระกูลใหญ่หนุนหลัง แม้จะมีสมบัติมากมาย แต่ของที่ดีจริง ๆ พวกเขาไม่มีทางปล่อยออกมาง่าย ๆ”
แต่ก่อนที่มู่หลินจะรู้สึกผิดหวัง จงซิวก็ให้คำแนะนำเพิ่มอีกว่า
“สี่สมุทรนั้นครอบคลุมทุกสิ่ง ว่ากันว่าในสำนักงานใหญ่ของพวกเขามีภาพ ‘หมื่นวิญญาณ’ ที่รวบรวมเงาวิญญาณของอสูรและสัตว์วิญญาณไว้ แม้กระทั่งภาพเทพที่ล่วงหล่นก็ยังมี”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ จงซิวก็หยุดพูด แต่มู่หลินเข้าใจในทันที ว่าทำไมถึงมีคนมากมายแวดล้อมคอยเอาใจเหยียนอวิ๋นหยูที่แม้จะมีพรสวรรค์ระดับสอง
สำหรับผู้ฝึกตน การมีทรัพย์นั้นสำคัญเกินกว่าจะมองข้าม
“ขอบคุณพี่จงที่เตือนสติ”
เพราะอาการอ่อนเพลีย มู่หลินจึงไม่ได้คุยกับเขานานนัก และไม่คิดจะไปหาเหยียนอวิ๋นหยูในทันที เขาทานข้าววิญญาณธรรมดาหนึ่งชามแล้วกลับไปที่ที่พักเพื่อพักผ่อนหนึ่งชั่วโมง
เมื่อจิตใจฟื้นคืน เขาก็ลุกขึ้น
เขาเปิดหน้าต่างและหันหน้าไปสู่พระจันทร์เพื่อเริ่มฝึกฝน
ไม่น่าสงสัยเลยว่าครั้งนี้เขาฝึก คัมภีร์ไท่อินฟื้นคืนชีวิต
ในฐานะวิชาระดับดินบน คัมภีร์ไท่อินฟื้นคืนชีวิต มีข้อกำหนดสูงมาก ประการแรก มู่หลินต้องดูดซับเฉพาะพลังจันทร์เท่านั้น
และที่สำคัญที่สุด เส้นทางการเคลื่อนของลมปราณใน คัมภีร์ไท่อินฟื้นคืนชีวิต ซับซ้อนยิ่งนัก
สำหรับ คัมภีร์งูดำแห่งเหยียนลี่ นั้นเพียงแค่ทำให้ลมปราณในร่างกายสร้างเป็นวงเชื่อมต่อกันเป็นรูปงูที่เชื่อมกันแบบไม่มีที่สิ้นสุด ∞
แต่ คัมภีร์ไท่อินฟื้นคืนชีวิต นั้น เส้นทางการเคลื่อนลมปราณคล้ายกับรูปคน
เส้นลมปราณหลักในร่างกายของมู่หลินทั้งหมดถูกใช้ในการฝึกฝนครั้งนี้
ด้วยเหตุนี้ ความยากในการฝึกฝน คัมภีร์ไท่อินฟื้นคืนชีวิต หนึ่งรอบจึงยากกว่า คัมภีร์งูดำแห่งเหยียนลี่ ถึงหกเท่า
ความซับซ้อนเช่นนี้ทำให้คนธรรมดาไม่สามารถฝึกฝนสำเร็จได้ง่าย ๆ การฝึกฝนครั้งแรกของมู่หลินจึงล้มเหลว
โชคดีที่ตอนนี้มู่หลินไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งทำให้เขาควบคุมลมปราณในร่างได้ละเอียดขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความสามารถมุ่งจิตหลายทิศทาง มู่หลินสามารถมองภาพการเคลื่อนไหวของลมปราณในใจ (ข้อมูลของคัมภีร์ไท่อินฟื้นคืนชีวิตถูกจารึกในจิตวิญญาณของเขาในรูปของหยกเพียงแค่จำไว้แต่ไม่เข้าใจ ขณะฝึกเขาจำเป็นต้องพยายามเข้าใจข้อมูลในสมองของเขา) พร้อมทั้งใช้ความตั้งใจสามเท่าเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของลมปราณในร่างกาย
ด้วยการอ้างอิงและการมีจิตวิญญาณแข็งแกร่ง การฝึกฝน คัมภีร์ไท่อินฟื้นคืนชีวิต ของมู่หลินจึงราบรื่น
ไม่นานเขาก็เสร็จสิ้นการโคจรรอบแรก มีพลังชีวิตบางส่วนที่ปรากฏในร่างของเขาในรูปแบบหมอกบางเบา
หลังจากการโคจรครั้งแรกเสร็จสิ้น แผงทักษะของเขาก็แสดงข้อมูลของวิชานี้
【คัมภีร์ไท่อินฟื้นคืนชีวิต ระดับที่หนึ่ง ขั้นเริ่มต้น (1/360)】
“เพียงขั้นเริ่มต้นก็ต้องการแต้มทักษะสูงถึง 360 ช่างสูงมาก ซึ่งสูงกว่า ภาพจิตแห่งเมืองฝังสวรรค์ และ คัมภีร์งูดำแห่งเหยียนลี่ ถึงสามเท่า”
เมื่อเห็นเช่นนี้ มู่หลินก็รู้สึกตกใจ
แต่เขาเข้าใจในทันทีว่าทั้งสองวิชาก่อนหน้านี้ล้วนได้อาศัยพลังจากภายนอก ภาพจิตแห่งเมืองฝังสวรรค์ ได้อาศัยพลังจากเมืองฝังสวรรค์ ส่วน คัมภีร์งูดำแห่งเหยียนลี่ นั้นใช้พลังเลือดของงูดำ
ด้วยเหตุนี้เองความยากของทั้งสองวิชาจึงต่ำกว่าเล็กน้อย
เมื่อหันกลับมาดู คัมภีร์ไท่อินฟื้นคืนชีวิต ซึ่งอาศัยเพียงวิชาอย่างบริสุทธิ์ในการเพิ่มพลังขึ้นถึงระดับดินบน ทำให้มันยากขึ้นเป็นธรรมดา
“อืม?!!”
เพราะความคิดที่วอกแวก ทำให้การโคจรพลังในวิชาของมู่หลินผิดพลาด จึงทำให้การฝึกฝนล้มเหลวในทันที
เมื่อเห็นเช่นนี้ มู่หลินจึงไม่กล้าชะล่าใจ รีบโฟกัสทั้งร่างกายและจิตใจกลับไปที่การฝึกฝนในทันที
การโคจรครั้งนี้ใช้เวลาถึงสองธูปเต็ม
สุดท้าย มู่หลินฝึกฝน คัมภีร์ไท่อินฟื้นคืนชีวิต ได้สำเร็จหกรอบ ทำให้ระดับการฝึกฝนเพิ่มขึ้นหกแต้ม
“ช้าเกินไป ฝึกครั้งละหกแต้ม รวม 360 แต้มต้องใช้เวลาถึง 60 วัน สองเดือนเต็ม”
การใช้เวลาสองเดือนเพื่อพัฒนาจากขั้นเริ่มต้นไปสู่ขั้นเชี่ยวชาญนั้น จริง ๆ แล้วไม่ถือว่าช้า
การฝึกฝนวิชาพื้นฐานนั้นยากกว่าอย่างอื่นอยู่แล้ว อีกทั้งมู่หลินฝึกฝนวิชาที่ไม่อาศัยพลังภายนอกแต่มีคุณสมบัติพิเศษระดับดินบน คัมภีร์ไท่อินฟื้นคืนชีวิต ยิ่งยากเข้าไปใหญ่
หากเป็นคนธรรมดาใช้เวลาน้อยก็หนึ่งปี หรือมากก็สองถึงสามปี กว่าจะฝึกจนเชี่ยวชาญ
เมื่อเทียบกับคนเหล่านั้น มู่หลินนับว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว
แต่โลกนี้ไม่ได้มีแค่ผู้ฝึกตนธรรมดา ลูกหลานตระกูลใหญ่หรือคนที่มีพรสวรรค์สูงล้ำ อาจสามารถพัฒนาวิชาไปสู่ขั้นเชี่ยวชาญในเวลาเพียงหนึ่งเดือน เพื่อไม่ให้ตนล้าหลัง มู่หลินจึงครุ่นคิดหาวิธีอื่น
แต่ครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง มู่หลินก็พบว่าตนมีวิธี แต่ไม่สามารถทำตามได้
“ในโลกนี้มีสมุนไพรและของล้ำค่าที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้เส้นลมปราณ เช่น น้ำกระท่อม ซึ่งเมื่อนำมาผสมกับน้ำยาเสริมลมปราณ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของเส้นลมปราณได้อย่างถาวร”
“เมื่อเส้นลมปราณแข็งแรงขึ้น ข้าก็จะฝึกได้บ่อยขึ้น แต่น้ำยาเสริมลมปราณนั้นราคาเป็นร้อยหินวิญญาณ ข้าจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อกัน!”
ด้วยเสียงถอนหายใจและความรู้สึกท้อใจ มู่หลินไม่ได้พักผ่อน แต่เขาใช้โอกาสนี้พับกระดาษเป็นรูปวังเพื่อเตรียมจะนำไปขอสิ่งของจากคุณหนูเหยียนอวิ๋นหยู
“การลดเกียรติแล้วทำตัวไม่รู้จักอาย ข้าทำไม่ได้ แต่หากเป็นการใช้ศิลปะแลกเงินก็ไม่นับว่าเสียศักดิ์ศรีอะไร”
มู่หลินพับวังกระดาษด้วยความตั้งใจ โดยหวังว่าจะนำงานศิลป์ชิ้นนี้ไปแลกกับสิ่งของดี ๆ
แต่เมื่อผ่านไปหนึ่งธูป เขามองผลงานของตนด้วยความขมวดคิ้ว
แม้ว่าเขาจะพับวังได้ไม่เลว ใช้สวนในซูโจวที่เคยเห็นเป็นต้นแบบ วังที่เขาพับขึ้นมีทั้งต้นไม้ ดอกไม้ ภูเขาจำลอง และสาวใช้
ด้วยฝีมือระดับมาสเตอร์ ทำให้วังกระดาษของเขาไม่เพียงดูมีชีวิตชีวาแต่ยังแฝงความงดงามของบรรยากาศเจียงหนาน
“แต่ถึงจะดีเพียงใด วังกระดาษนี้ก็ดูไม่ต่างจากเรือกระดาษที่เคยทำมากนัก ไม่มีความแปลกใหม่เหมือนครั้งแรก ต่อให้คุณหนูพอใจ แต่มันคงไม่ทำให้เธอตอบแทนเป็นหินวิญญาณอีก”
หลังครุ่นคิดเล็กน้อย มู่หลินจึงหยุดพับกระดาษแล้วหยิบพู่กัน กระดาษ และหมึกขึ้นมาเพื่อเขียนอักษรและวาดภาพ
เขาตั้งใจจะใช้การเขียนอักษรและวาดภาพผสมกับเทคนิคพับกระดาษเพื่อสร้างสรรค์งานศิลปะที่แท้จริง
แน่นอนว่า มู่หลินไม่ได้วาดอักษรหรือภาพเพื่อหาเงินเท่านั้น
ช่วงนี้เวลาว่างเขามักจะดู คัมภีร์ลับช่างพับกระดาษ อยู่เสมอ ดังนั้นเขารู้ดีว่าพื้นฐานของคัมภีร์ลับนี้คือการพับกระดาษขาวแล้วเป่าพลังชีวิตเข้าไปเพื่อทำให้มันเคลื่อนไหวได้
แต่มนุษย์นั้นไม่เคยรู้จักพอ
บรรพชนแห่งช่างพับกระดาษนั้นเคยพยายามคิดหาวิธีที่จะเสริมความสามารถของกระดาษ
ในการสำรวจมายาวนาน พวกเขาค้นพบวิธีบางอย่าง
การใช้วัสดุวิญญาณที่ดีขึ้นในการพับเป็นหนึ่งในวิธีนั้น
การผนึกวิญญาณหรืออสูรปีศาจไว้ในกระดาษก็ช่วยเพิ่มพลังอาคมในกระดาษได้เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีวิธีการบ่มด้วยเลือด การบ่มด้วยอวัยวะภายใน คาถาสาปแช่งกระดาษ และอื่น ๆ
วิธีเหล่านี้ รวมถึงการสลักยันต์และรูปแบบอาคมลงบนกระดาษ ล้วนเป็นวิธีเสริมความสามารถของกระดาษ
การเขียนอักษรและวาดภาพของมู่หลินนั้น จึงเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการเขียนยันต์และสลักรูปแบบอาคมในภายหลัง