บทที่ 119 พิธีล่าสายฟ้า อันดับที่เก้า!
บทที่ 119 พิธีล่าสายฟ้า อันดับที่เก้า!
เมื่อหลูปังกดมือทั้งสองลง การทดสอบของขอบเมฆาจึงเข้าสู่ขั้นที่สองในทันที
ผู้คนส่วนใหญ่แทบไม่คิดจะสนใจคนอื่น เพราะเพียงแค่ต้องต้านทานวิชาก้อนเมฆของหลูปัง ก็เป็นเรื่องที่แสนยากลำบากแล้ว
“วูม~”
เมฆของทุกคนต่างก็ลดระดับลงอย่างรวดเร็วภายใต้การกดของหลูปัง
หากเมฆลดต่ำกว่าระดับร้อยเมตรจะต้องถูกคัดออก
ไม่มีใครกล้าละสายตา ต่างคนก็ใช้วิชาก้อนเมฆของตนเพื่อต้านทานแรงกดจากเบื้องบน
“ทะยานสายฟ้าสู่เก้าฟ้า! รีบขึ้นไปให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
บริเวณหนึ่งทางตะวันออก หยู่ชุนอู่ใบหน้าขึ้นสีแดงจัด เขาได้ดูการต่อสู้ของจ้าวซิง กับหลี่เฟิงก่อนหน้านี้ และคิดอยากจะไปถามจ้าวซิงถึงเหตุผลที่วางแผนใส่ร้ายพวกเขา
แต่ในขณะนี้ เขาไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้อีกแล้ว เพราะต้องรวบรวมจิตใจเพื่อต้านทานอำนาจบีบคั้นจากหลูปัง
แม้หยู่ชุนอู่จะไม่อ่อนแอ แต่ถึงเขาจะใช้พลังทั้งหมดควบคุมเมฆาสายฟ้าของตน
เมฆก็ยังค่อย ๆ ลดระดับลงไปใกล้ระดับ 100 เมตร
“ซึ่ซึ่~”
ในเมฆาสายฟ้ามีไอเมฆาที่ค่อย ๆ รั่วไหลลอยขึ้นไปสู่เมฆาที่ระดับความสูงพันเมตรของหลูปัง
ขอบเขตแห่งเมฆา!
แม้ว่าหลูปังจะไม่ได้ใช้วิถีแห่งการกลืนเมฆา แต่เมฆาของเขาก็ได้กลายเป็นเขตพลังที่ค่อย ๆ ดูดซับไอเมฆาของบรรดาอัจฉริยะด้านล่าง
แรงต้านกลายเป็นยากขึ้นเรื่อย ๆ
“วูม~” เมฆาของเขาก็ไม่อาจต้านทานต่อไปได้
หยู่ชุนอู่รู้สึกว่ามีแรงลมพันรอบตัว รู้สึกหน้ามืดวูบหนึ่ง
แล้วร่างกายเขาก็ถูกพัดไปยังด้านนอกเขตของแท่นหินศักดิ์สิทธิ์
“การทดสอบไม่ผ่าน ให้ไปยังสำนักอื่นเพื่อรายงานตัว” ชายในชุดเกราะเอ่ยอย่างสงบขณะมองหยู่ชุนอู่ “ในภายหลังยังมีโอกาสได้เลื่อนชั้นเข้าสี่สำนักใหญ่ ไม่ต้องยึดติดกับผลลัพธ์ชั่วคราว”
“ขอรับ” หยู่ชุนอู่พยักหน้าอย่างนอบน้อม แม้จะรู้สึกไม่เต็มใจ แต่ก็เข้าใจว่าการทดสอบก็คือการทดสอบ
เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนผู้ที่ถูกคัดออกก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น
หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม จำนวนคน 931 คน ก็ลดเหลือไม่ถึง 800 คน
ขณะนี้ เมฆาของหลูปังก็ลดระดับลงมาจากพันเมตรมาที่ 700 เมตรแล้ว
“ยังคงกดลงมาเรื่อย ๆ เจ้าเฒ่าคนนี้จะต้องคัดออกให้ได้สักเท่าใดถึงจะเข้าสู่ขั้นถัดไปได้?”
จ้าวซิงเองก็รู้สึกถึงแรงกดดัน
เมฆของเขาตอนนี้คงอยู่ที่ระดับ 600 เมตร
เดิมทีหลังจากกลืนกินเมฆของหลี่เฟิง ระดับของเขาก็เพิ่มขึ้นถึง 900 เมตร ซึ่งในระดับนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
แต่เมื่อหลูปังกดลงมา เขาก็ต้องลดระดับลงตาม
แต่เขายังคงรักษาระดับความเป็นผู้นำอยู่
“จำนวนผู้ถูกคัดออกยังคงเพิ่มขึ้น ตอนนี้ต่ำกว่า 800 คนแล้ว”
จ้าวซิงมองไปรอบ ๆ ทุกครั้งที่มีคนถูกคัดออก ลมก็จะพัดพาไปนอกเขตแท่นหินศักดิ์สิทธิ์
รอบข้างเขาค่อย ๆ บางตาลงเรื่อย ๆ
“วูม!”
เมฆของหลูปังกดต่ำลงอีกครั้ง
พุ่งลดระดับลงสู่ 500 เมตรในคราวเดียว!
จ้าวซิงตกใจแทบสิ้นสติ
“เจ้าแก่เจ้าเล่ห์ ช่างเล่นสกปรก!”
“จู่ ๆ ลดลงถึงสองร้อยเมตร นี่จะฆ่ากันหรือไง!”
จ้าวซิงด่าทอในใจ
เมฆของเขาเกือบจะพังลงเพราะเจ้าเฒ่าคนนี้
แม้จะไม่พังทลายไปเสียทีเดียว แต่ก็กระจัดกระจายไม่น้อย เป็นการกดขี่ในทุกด้าน ทำให้ไม่อาจต้านทานได้เลย
หลังจากได้สติ เขารีบควบคุมเมฆลงสู่ระดับ 400 เมตร
เขารวมพลังเมฆกลับเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง
คนอื่น ๆ ก็ลำบากไม่แพ้กัน
อัจฉริยะอันดับต้น ๆ อย่างซือยง จวงจื่อชิง ฮวาจือหลิน ฟงชิว กวนจวินหยาง ต่างก็ได้รับบาดเจ็บจากเมฆของพวกเขาเอง
ส่วนคนที่อยู่ล่างกว่านั้นก็ยิ่งย่ำแย่
ผู้ที่พยายามรักษาระดับเมฆให้สูงอยู่ที่ 100 เมตร ในขณะนี้ถูกแรงกดดันมหาศาลโจมตีอย่างรุนแรง
“ซู่ ซู่ ซู่ ซู่ ซู่~”
ในเขตแท่นหินศักดิ์สิทธิ์ จำนวนคนลดลงไปหลายสิบคนในทันใด
“การทดสอบสิ้นสุด! ขอให้ทุกคนสลายเมฆ พักผ่อนตามอัธยาศัย”
เสียงของจื่อจื้อดังขึ้น
เขตพลังเมฆสีทองเข้มในท้องฟ้าก็พลันสลายไป
“เฮ้อ~”
บรรดาผู้ทดสอบต่างพากันถอนหายใจ บ้างถึงกับทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง
แรงกดดันมหาศาลนี้ หลูปังน่าจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งระดับห้าขั้น การที่หลายคนร่วมกันต้านทาน ก็ไม่ได้ช่วยลดแรงกดดันเลย
“ในที่สุดก็ผ่านไปแล้ว ไม่รู้ว่ายังเหลืออีกเท่าไหร่” จ้าวซิงเงยหน้ามองฟ้า
“การทดสอบขั้นที่สอง ผู้ที่ผ่านมีทั้งหมด 720 คน ที่เหลือให้ไปสำนักอื่นเพื่อรายงานตัว แข่งขันเพื่ออันดับในสำนัก”
“ผู้ที่ไม่ผ่าน ไม่ต้องเสียใจ ภายหลังหากทำผลงานดีในสำนักอื่น ก็ยังมีโอกาสเข้าสี่สำนักหลักได้”
เสียงของจื่อจื้อแผ่กระจายไปทั่วทุกทิศ
“เหลือเพียง 720 คนเท่านั้นหรือ?” จ้าวซิงลอบตกใจ
ส่วนใหญ่เป็นเพราะการโจมตีครั้งสุดท้ายของหลูปัง
การโจมตีครั้งนั้นอย่างน้อยก็ทำให้ผู้คน 60-70 คนถูกคัดออก
การทดสอบขั้นที่สองนี้ แบ่งเป็นสามช่วง
ช่วงแรกคือการคุมเมฆ ช่วงชิงการควบคุม
ช่วงที่สองคือการเพิ่มระดับความสูงของเมฆ ซึ่งระดับความสูงนี้จะกำหนดขอบเขตของการใช้วิถี
และช่วงสุดท้ายคือการทดสอบความเสถียรของเมฆ
แม้ว่าเก้าร้อยกว่าคนนี้จะเป็นอัจฉริยะระดับสูง แต่หลังจากผ่านการทดสอบขั้นที่สอง ก็ยังคงมีผู้ถูกคัดออกกว่า 200 คน
“การคัดเลือกของฝ่ายเกษตรในกองทัพช่างเข้มงวดจริง ๆ”
การคัดสรรของฝ่ายเกษตรในดินแดนถ้ำสวรรค์สิบสุริยันนั้น จากมุมมองของจ้าวซิง ก็ดูจะเข้มงวดอย่างยิ่ง
“ไม่รู้ว่าการทดสอบครั้งต่อไปจะเป็นอย่างไร มีการทดสอบแปดด่าน เพิ่งผ่านไปเพียงสองด่านเท่านั้น”
หลายคนต่างพากันกระซิบพูดคุยกันเบา ๆ
“ด่านแรกคือลม ด่านที่สองคือเมฆ”
“ด่านที่สามน่าจะเป็นสายฟ้าหรือฝน”
จ้าวซิงนั่งพักไป คิดไปเงียบ ๆ
“วิถีสี่ธาตุธรรมชาติ ผ่านวิชาก้อนเมฆและวิถีลมไปแล้ว วิถีสายฟ้าและวิถีฝนคงไม่มีทางไม่ทดสอบ”
“แค่ไม่รู้ว่าจะทดสอบแบบไหน”
“คงจะเป็นการทดสอบแบบผสมผสานทุกด้าน”
ด่านแรกเป็นการส่งข่าวผ่านลม ด่านที่สองคือการใช้เมฆบีบคั้น
ทั้งสองด่านนี้เป็นการผสานเข้ากับการสู้รบในสนามจริง
ด่านที่สาม เกรงว่าจะไม่ใช่แค่การดูว่าผู้ใดมีวิถีสายฟ้าแข็งแกร่งกว่า
“ใกล้จะได้เวลาแล้ว” หลูปังกล่าวจากเรือบิน “ให้เรืออาคารเมฆาฝนเข้ามา”
“ไม่ให้เวลาพักอีกสักหน่อยหรือ?” จื่อจื้อเอ่ยถาม “นี่เพิ่งจะพักเพียงชั่วยามเดียว”
“แค่ชั่วยามก็นานแล้ว” หลูปังกล่าวอย่างเย็นชา “เมื่อเกิดศึกสงครามขึ้น เวลาพักชั่วยามก็ถือเป็นความฟุ่มเฟือย”
“ก็ได้ เจ้าเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่จะเอาอย่างไรก็แล้วแต่เจ้า” จื่อจื้อเอ่ยอย่างจนใจ ก่อนหยิบกระจกใต้พิภพเพื่อส่งสาร
“ขอให้ทุกท่านขึ้นเรืออาคารเมฆาฝน”
“จุดหมายของพวกท่านคือเขต【สวนหมื่นสัตว์】”
“สวนหมื่นสัตว์เป็นที่ราบและเนินเขาซึ่งถูกล้อมไว้ ภายในเต็มไปด้วยสัตว์อสูรจำนวนมาก ระดับต่ำสุดก็อยู่ในระดับเริ่มต้น หรือในบางด้านอาจเทียบเท่าระดับเริ่มต้น แต่สูงสุดไม่เกินระดับเก้า”
“พวกท่านจะถูกส่งลงไปในเขตสวนหมื่นสัตว์แบบสุ่ม สิ่งที่ต้องทดสอบคือการล่าสัตว์ร้าย”
“การทดสอบจะใช้เวลาเพียงสี่ชั่วยาม ตัดสินตามจำนวนสัตว์ร้ายที่สังหารได้”
บนเรืออาคารเมฆาฝน จื่อจื้อประกาศกฎให้ทุกคนทราบ
ทุกคนตั้งใจฟังเงียบ ๆ
“ท่านสามารถใช้สมบัติของฝ่ายเกษตร แต่อนุญาตให้ใช้เฉพาะวิชาก้อนเมฆาและวิถีสายฟ้าเท่านั้น ไม่มีเสบียงเพิ่มให้”
“หากใช้วิถีอื่น จะถูกคัดออก”
“หากตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตและได้รับการช่วยเหลือ จะถูกคัดออกทันที โดยตัดสินจากจำนวนสัตว์ร้ายที่สังหารได้ในขณะถูกช่วยเหลือ”
“เมื่อครบสี่ชั่วยาม จะประกาศอันดับ ผู้ที่อยู่ในห้าร้อยอันดับแรก จะผ่านเข้าสู่ด่านต่อไป”
เมื่อจื่อจื้อประกาศกฎจบ ผู้คนด้านล่างต่างก็ส่ายหน้ากันเป็นแถว
ต้องคัดออกไปอีกสองร้อยกว่าคน!
“สี่ชั่วยาม สัตว์ร้ายทุกตัวต่างอยู่ในระดับเริ่มต้น หรือเทียบเท่ากับระดับเริ่มต้น แล้วยังจำกัดให้ใช้แค่เพียงวิชาก้อนเมฆากับวิถีสายฟ้าเท่านั้น”
“วิถีสายฟ้านั้นทรงพลัง แต่ไม่มีเสบียงจะใช้ได้สักกี่ครั้งกัน?”
“ถึงขั้นที่ว่าหากเกิดอันตรายถึงชีวิตก็จะถูกช่วยเหลือ แปลว่าอาจบาดเจ็บหนัก”
“การทดสอบครั้งนี้ช่างอันตรายจริง ๆ…”
แม้ว่าทหารใหม่เหล่านี้ส่วนใหญ่จะไม่ใช่ทหารใหม่ในความหมายจริง ๆ แต่ตอนนี้สีหน้ากลับแปรเปลี่ยนไปไม่น้อย
เพราะสัตว์ร้ายทั้งหมดอยู่ในระดับเริ่มต้น หรือเทียบเท่าระดับเริ่มต้น
อีกทั้งชื่อว่าสวนหมื่นสัตว์ แน่นอนว่าจำนวนต้องไม่น้อย
แต่เมื่อเดินทางมาถึงจุดนี้ ไม่มีใครคิดจะถอยกลับ
ต่างคนต่างใช้เวลาบนเรืออาคารเมฆาฝนเพื่อพักผ่อนอย่างเต็มที่
ไม่นานนัก เรืออาคารเมฆาฝนก็บินเข้าสู่สวนหมื่นสัตว์
ทหารฝ่ายเกษตรสามารถเลือกที่จะกระโดดลงจากตำแหน่งใดก็ได้
แต่ต้องเลือกภายในหนึ่งชั่วยาม
ก่อนจะลงพื้นสามารถใช้วิถีอื่นได้ แต่เมื่อสัมผัสพื้นแล้วจะห้ามใช้วิถีอื่นนอกจากวิชาก้อนเมฆและวิถีสายฟ้า
หากใช้ จะถือว่าถูกคัดออกทันที
“ฟู่~”
จ้าวซิงกระโดดลงจากเรืออาคารเมฆาฝน
เขาใช้วิถีลมเก้าชั้นนภาดึงลมจากท้องฟ้ามาห้อมล้อมรอบกาย
เมื่อเทียบกับตอนกระโดดจากประตูทะเทสาบคราวนั้น
ครั้งนี้จ้าวซิงกลับดูสุขุมมากขึ้น
ในไม่ช้า เขาก็ลงมาบนพื้นดินรกร้างที่มีพุ่มไม้รกครึ้ม
ขณะนี้ฟ้าเริ่มมืด สองตะวันกำลังตกลงในทิศตะวันตกและตะวันออก
“โฮ้ว~”
เพิ่งลงมาถึง เสียงคำรามของสัตว์ร้ายก็ดังลั่นรอบด้าน
“กลืนเมฆ!”
จ้าวซิงไม่รอช้า ใช้วิถีกลืนเมฆทันที เพื่อคุ้มครองเมฆให้ปกคลุมพื้นที่รอบ ๆ
เขาไม่ได้ขยายขอบเขตเมฆออกมากนัก เพียงครอบคลุมบริเวณรัศมีร้อยเมตร
“ใช้วิชาก้อนเมฆในการตรวจจับสัตว์ร้าย ใช้วิถีสายฟ้าในการสังหารศัตรู”
หลังจากได้เมฆคุ้มครองแล้ว เขาก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของสัตว์ร้ายรอบตัวจำนวน 18 ตัว
เห็นได้ชัดว่าเป็นฝูงสัตว์ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน
“ตูม!”
จ้าวซิงชี้นิ้วออกไปทันที สายฟ้าก็พุ่งลงจากเมฆสู่สัตว์ร้ายในความมืด
“ซู่ ซู่ ซู่~”
ความเร็วของสัตว์ร้ายรวดเร็วมาก ทำให้การล็อคเป้าหมายยากลำบาก
แม้การใช้วิถีสายฟ้าระดับกลางจะทรงพลัง แต่พอผ่าลงไป กลับฟาดโดนแค่ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งยังคงพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว
“ใช้เพียงวิถีอัญเชิญสายฟ้าคงจะใช้พลังมากเกินไปและประสิทธิภาพต่ำ”
“โชคดีที่ข้ามีวิถีสายฟ้ามากกว่าหนึ่งอย่าง”
“ต้องลดความเร็วของสัตว์ร้ายเหล่านี้ก่อน แล้วค่อยใช้วิถีอัญเชิญสายฟ้าโจมตี”
จ้าวซิงไม่หวาดหวั่น
การทดสอบนี้ยังทดสอบจิตใจในสถานการณ์สู้รบจริง ในพื้นที่แปลกใหม่และไม่แน่นอน อีกทั้งยังมีข้อจำกัดมากมาย
หากเกิดความตึงเครียดขึ้นมา วิถีที่ทรงพลังเต็มสิบส่วนก็อาจจะแสดงผลได้เพียงสองสามส่วนเท่านั้น
อาจถึงขั้นใช้วิถีอื่นออกมาในยามฉุกเฉินทำให้ถูกคัดออก
“สายฟ้ากลิ้งแห่งปฐพี!”
จ้าวซิงยื่นนิ้วชี้ไปข้างหน้า แสงสีทองจมหายลงไปใต้พื้นดิน
ไม่นานนัก เขาก็ดึงพลังสายฟ้าขึ้นมาจากเส้นพลังใต้ผืนดินได้
ลูกบอลแสงสีฟ้าโปร่งใสจำนวนยี่สิบกว่าเม็ดลอยอยู่รอบตัวเขา
“กระจายตัว!”
จ้าวซิงโบกมือเล็กน้อย ลูกบอลสายฟ้าเหล่านั้นก็เริ่มลอยต่ำไปบนพื้นในระดับครึ่งถึงหนึ่งเมตร กระจายตัวออกไปรอบๆ
“โฮ้ว!”
“เฮ้อฮะ!”
เมื่อสายฟ้ากระทบเป้าหมาย มันก็จะระเบิดออก รัศมีการระเบิดนั้นไม่น้อยเลยทีเดียว หากโดนเข้า จะรู้สึกชาไปทั้งร่างในทันที
ภายใต้อิทธิพลของสายฟ้ากลิ้งแห่งปฐพี สัตว์ร้ายในความมืดก็ช้าลงอย่างมาก
จ้าวซิงใช้วิถีอัญเชิญสายฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
หากยังมีสัตว์ที่เล็ดลอดเข้ามาใกล้
เขาก็ใช้สายฟ้ามัดตรึงไว้ แล้วฟาดด้วยฝ่ามือสายฟ้าให้สิ้นซาก ไม่มีตัวไหนรอดพ้นไปได้
“ไปกันเถอะ ไปที่ต่อไป”
หลังจากกวาดล้างสัตว์ร้ายในบริเวณนี้เสร็จ จ้าวซิงก็จากไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่จ้าวซิงเริ่มการต่อสู้กับฝูงสัตว์ร้าย บนเรืออาคารเมฆาฝน
ในศาลาหลังหนึ่ง เงาร่างหนึ่งก็กำลังใช้กระจกใต้พิภพมองดูผลงานของผู้เข้าทดสอบด้านล่าง
“ด่านแปดของการทดสอบสำนัก สี่ด่านแรกเป็นการทดสอบที่เราจัดขึ้น”
“เพียงแค่ผ่านสี่ด่านนี้ก็สามารถเข้าสำนักเราได้ ทำให้เรามีโอกาสเลือกคนได้ก่อน”
“ทุกท่านคงมีคนในใจเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”
เงาทั้งสี่นี้ล้วนเป็นผู้มีตำแหน่งสำคัญในสำนัก และจะเป็นผู้ฝึกทหารใหม่ของสำนักในอนาคต
“ซือยงมีฝีมือในวิถีลม วิชาก้อนเมฆ และวิถีสายฟ้าชั้นยอด สมควรเข้าสำนักเรา”
“อืม วิถีทั้งสามของเขาล้วนยอดเยี่ยม และเขายังอายุน้อย นับเป็นคนมีพรสวรรค์ที่ไม่ได้พบมานานแล้ว”
“ให้ทรัพยากรระดับเจี่ยสูงเพื่อฝึกฝนเขาเถิด”
“เห็นด้วย”
“เห็นด้วย” “เห็นด้วย”
ทั้งสี่คนพยักหน้า ต่างเห็นด้วยที่จะเลือกซือยง
“ฟงชิวเชี่ยวชาญวิถีลม แต่ในการทดสอบครั้งนี้เขาไม่ได้มีโอกาสแสดงฝีมือ วิชาก้อนเมฆนั้นดี แต่สายฟ้ายังธรรมดา มีความเร็วที่ค่อนข้างต่ำ คงจะให้ทรัพยากรระดับเจี่ยต่ำก็เพียงพอ”
“ให้ถึงระดับเจี่ยกลางก็แล้วกัน ถ้าเขาเลือกได้ ก็ให้เลือกไป ถ้าไม่ก็ไม่บังคับ”
“อืม”
เมื่อพูดถึงฟงชิวเสร็จ ทั้งสี่ก็หันไปพิจารณาชื่อถัดไป
“จวงจื่อชิงเชี่ยวชาญวิถีของสำนักธรณี ดูเหมือนเขาจะต้องเข้าสำนักธรณี แต่ฝีมือด้านวิถีลม เมฆ และสายฟ้าของเขาก็ดีไม่แพ้กัน เป็นระดับชั้นเยี่ยมทั้งหมด ควรจะลองชิงตัวเขาดีไหม?”
“สู้พวกคนในสำนักธรณีไม่ได้หรอก อีกทั้งจวงจื่อชิงเป็นหลานแท้ ๆ ของเมิ่งโหว เขาได้ทำสัญญากับ ‘เถียนโหว’ แห่งสำนักธรณีไว้แล้ว คงไม่เลือกสำนักเราแน่นอน”
“ข้ามไป แล้วดูที่ฮวาจือหลินกับกวนจวินหยาง แห่งกองทัพเกราะดำ”
“ดูแล้วก็ได้แต่ให้ทรัพยากรระดับเจี่ยต่ำ ดูว่าจะมีผลงานพิเศษในด่านถัดไปหรือไม่”
ผู้สังเกตการณ์ทั้งสี่แห่งสำนักเทียนซื่อต่างพิจารณาคนที่ทำผลงานได้โดดเด่นอยู่ ในการทดสอบของการคัดสำนักนั้น สำนักเทียนซื่อจะเลือกคนจากคะแนนในสี่ด่านแรก
สำนักตี้ลี่จะมุ่งดูด่านกลางสองด่าน ส่วนสำนักผิงไห่และสำนักไท่ชางจะดูด่านสองด่านสุดท้าย
หลังจากผู้ทดสอบผ่านด่านที่สี่ไปแล้ว ก็ไม่มีการคัดออกอีก ทุกคนจะมีโอกาสเข้าร่วมการทดสอบในด่านต่อ ๆ ไป และจะได้รับทรัพยากรระดับต่าง ๆ เพื่อการฝึกฝนตามผลงานที่ทำได้!
ไม่นานสายตาของพวกเขาก็ตกมาที่ชื่อของจ้าวซิง
“วิชาก้อนเมฆของเขาอยู่ในระดับชั้นเยี่ยม วิถีสายฟ้าก็ใช้ได้ ได้เห็นเขามีสามวิถีสายฟ้าและแต่ละวิถีก็มีความแข็งแกร่งถึงเจ็ดระดับขึ้นไปแล้ว”
“แต่ฝีมือวิถีลมยังอยู่แค่ในขั้นสี่ของวิถีลมเก้าชั้นนภา ยังไงก็ให้ทรัพยากรระดับอี่สูงก็พอ” คนหนึ่งกล่าวแสดงความคิดเห็น
“ไม่สมควรเท่าไร หลูปังเคยบอกข้าว่าจ้าวซิงมีวิชาลมเย็น ซึ่งเขาได้ถึงขั้นที่เก้าแล้ว และอาจถึงขั้นสมบูรณ์เลยก็ได้ ที่หลี่เฟิงถูกเขาจัดการก็เพราะแบบนี้ ดังนั้นพรสวรรค์ในวิถีลมของเขาไม่ได้ด้อยเลย” อีกคนแย้ง
“อ้อ? ถ้าเช่นนั้นให้ทรัพยากรระดับเจี่ยกลางดีไหม?”
“เขาเป็นข้าราชการที่เพิ่งได้รับตำแหน่ง ยังเป็นดั่งกระดาษขาวที่มีช่องว่างให้พัฒนามาก ข้าเห็นสมควรให้ทรัพยากรระดับเจี่ยสูง”
“ไม่เหมาะสม ยิ่งเพราะไม่มีประสบการณ์การทำงาน ให้แค่ระดับเจี่ยกลางก็พอแล้ว”
ทั้งสามคนเห็นต่างกันไป แต่ในไม่ช้าคนที่สี่ก็กล่าวขึ้นว่า “ดูผลงานในด่านที่สี่ก่อนดีกว่า ยังไงก็คงอีกไม่นานนัก”
“อืม”
เวลาเคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็ว และไม่นานนักก็ครบสี่ชั่วยาม
เมื่อเวลามาถึงช่วงเช้าตรู่ของวันถัดมา การทดสอบล่าสัตว์ในสวนหมื่นสัตว์ก็สิ้นสุดลง ทุกคนกลับขึ้นเรือ
จื่อจื้อใช้กระจกใต้พิภพแจ้งอันดับการล่าสัตว์ในสวนหมื่นสัตว์ให้กับผู้เข้าทดสอบทุกคน
[อันดับที่หนึ่ง: ซือยง]
[อันดับที่สอง: จวงจื่อชิง]
[อันดับที่สาม: กวนจวินหยาง]
[อันดับที่สี่: เหลยมิ่ง]
…
[อันดับที่เก้า: จ้าวซิง]
[อันดับที่สิบ: เจียงเทียนหมิง]
…
[อันดับที่ 188: เหอเจิ้ง]
อันดับมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
หลายคนอุทานขึ้นทันทีเมื่อเห็นผลลัพธ์
“ข้าฆ่าสัตว์ร้ายไปตั้งเยอะ ทำไมถึงอยู่แค่ที่ 385? พวกที่อยู่ข้างหน้านี่แรงมาก!”
“ซือยงยังคงเป็นอันดับหนึ่ง พลังของเขาแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”
“จวงจื่อชิงก็เก่งมาก คงที่อยู่ที่อันดับสอง ดูเหมือนทั้งสองคนนั้นทิ้งห่างคนอื่นไปเยอะ”
“กวนจวินหยางก็ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับสาม”
“สามคนนั้นมั่นคง แต่สิบอันดับแรกเปลี่ยนแปลงไป คนอื่น ๆ หลุดลงหมดเลย”
“เฮ้อ ข้าอยู่อันดับ 700 คงไม่มีวาสนากับสี่สำนักใหญ่แล้ว”
“ข้าใช้วิถีสายฟ้าสองชนิด และทั้งคู่ถึงขั้นที่เจ็ด แต่ยังได้อันดับสองร้อยกว่า”
“ยอดฝีมือเยอะเหลือเกิน ล้วนอยู่ในระดับเก้า ทำไมคนอื่นถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้…”
จ้าวซิงกวาดสายตามองอันดับเงียบ ๆ
“อันดับเก้า ดีกว่าที่คาด”
เขามีวิถีสายฟ้าสี่อย่าง ได้แก่ วิถีอัญเชิญสายฟ้า สายฟ้ารัดตรึง ฝ่ามือสายฟ้า และ สายฟ้ากลิ้งแห่งปฐพี
ในบรรดานี้ สายฟ้ากลิ้งแห่งปฐพีอยู่ขั้นสี่ วิถีอัญเชิญสายฟ้าอยู่ในขั้นสมบูรณ์ สายฟ้ารัดตรึงอยู่ขั้นเก้า และฝ่ามือสายฟ้าอยู่ขั้นแปด!
การมีวิถีสายฟ้ามากหลาย การโจมตีหลากหลายย่อมทำให้มีประสิทธิภาพในการล่าสูงขึ้น
เพราะสัตว์ร้ายในสวนหมื่นสัตว์มีหลายชนิด การใช้วิถีเดิม ๆ อาจไม่เพียงพอต่อการจัดการทุกสถานการณ์ได้
การใช้วิถีสายฟ้าหลากหลาย ทั้งสายฟ้าแสงอาทิตย์และสายฟ้าพิฆาตผสานกัน ใช้โจมตีทั้งระยะไกล ตัวต่อตัว และแบบวงกว้าง ทำให้ไม่เสียเวลามากในการจัดการกับสัตว์ร้ายบางชนิด
ดังนั้นจ้าวซิงจึงสามารถพุ่งขึ้นมาอยู่อันดับที่เก้าได้!
“เมื่อเทียบกับแปดอันดับแรก ข้ายังตามไม่ห่างนัก มีเพียงช่องว่างกับอันดับหนึ่งและสองเท่านั้น”
บนกระจกใต้พิภพแสดงว่า ซือยงล่าสัตว์ได้ 1,534 ตัว!
จวงจื่อชิงล่าได้ 1,325 ตัว!
ทั้งสองคนนี้ล่าสัตว์ทะลุหนึ่งพัน เริ่มจากกวนจวินหยางที่อยู่อันดับสาม ซึ่งทำได้เพียง 921 ตัว
และลดหลั่นลงมา จนถึงจ้าวซิง
เขาล่าได้ 825 ตัว
“จุดที่ลงไปเจอสัตว์ร้ายแตกต่างกัน ปัจจัยเหล่านี้อาจเรียกว่าเป็นโชคอยู่บ้าง แต่โชคเพียงเล็กน้อยก็ส่งผลให้อันดับต่างกันแล้ว”
“โชคข้าอาจไม่ได้แย่ แต่อาจแปลว่า ยังมีความต่างด้านฝีมืออยู่บ้าง ความแตกต่างนี้อาจมาจากข้ายังไม่ได้ศึกษาวิชาหลักของสามสำนักใหญ่ อีกทั้งระดับพลังรวมของข้ายังอยู่ที่สิบห้าขั้น” จ้าวซิงคิดเงียบ ๆ
การฝึกพลังรวมในระดับสิบห้า จัดว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับคนอื่น ที่ส่วนใหญ่ไปถึงระดับสิบเก้าแล้ว ห่างจากระดับแปดเพียงขั้นเดียว หากเทียบตามระบบวิถีโบราณ จะเป็นระดับเก้าขั้นสมบูรณ์ สำหรับระบบราชวงศ์ต้าโจวแล้ว คือระดับเก้าแท้
นอกจากนี้ การฝึกคัมภีร์ลับหลักของสามสำนักใหญ่ ยังมีความแตกต่างสำหรับผู้ฝึกแล้วและยังไม่ได้ฝึก
อย่างเช่น คัมภีร์หยินหยางแห่งตัวตน ที่ใช้ฝึกวิถีห้าธาตุภายใน ช่วยให้ฟื้นฟูพลังปราณได้เร็วขึ้นและมีพลังรวมมากกว่า ซึ่งในการต่อสู้ระยะยาว ความแตกต่างจะเห็นชัด
จ้าวซิงที่ได้อันดับเก้า ก็นับว่าโชคดี ที่เจอสัตว์ร้ายที่ฆ่าได้ไม่ยาก
“เขามาได้ถึงอันดับที่เก้าเลยหรือ?” เจียงไห่และเจียงเหอที่มองอันดับของจ้าวซิงต่างรู้สึกประหลาดใจ ทั้งสองพี่น้องต่างหลุดออกไปกว่าอันดับที่ยี่สิบ “คู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อจริง ๆ!”
“จ้าวซิงแห่งกองทัพเทพสงคราม ไม่คาดคิดว่าเขาจะมีฝีมือในวิถีสายฟ้าแข็งแกร่งถึงเพียงนี้” จั่วลี่มองอันดับด้วยความประหลาดใจ “ข้าได้แค่ห้าสิบเก้า เดิมทีคิดว่าจะแซงเขาได้ ไม่คาดว่าเขาจะขึ้นไปอยู่ที่เก้า”
“น่าสนใจ สมเป็นคนที่ล้มหลี่เฟิงได้” ฮวาจือหลินมองจ้าวซิงด้วยแววตาแปลกประหลาด
ในขณะนั้นเอง จื่อจื้อเดินออกจากศาลา ขัดจังหวะการสนทนาของทุกคน
“อันดับห้าร้อยแรกได้ออกมาแล้ว ผู้ที่ไม่ผ่านสามารถเลือกไปยังสำนักอื่นได้”
“ส่วนอีกห้าร้อยคนที่เหลือ จะเข้าสู่การทดสอบด่านที่สี่”
“ด่านที่สี่ จะคัดเหลือเพียงสองร้อยคน”
“แต่หากผ่านการทดสอบได้ หลังจากนั้นจะไม่มีการคัดออกอีก สามารถเลือกสำนักได้ และจะได้รับการฝึกฝนตามผลงานที่ทำได้…”