บทที่ 106 การกระทำที่ไม่เคยทำมาก่อน
บทที่ 106 การกระทำที่ไม่เคยทำมาก่อน
เมื่อออกจากสถานีรถไฟใต้ดินในเซินเจิ้นแล้วเดินเข้าสู่สวนสาธารณะเชิงนิเวศหงสุ่ยหลินริมทะเล เพียงไม่นานทุกคนก็ได้เห็นทะเล
สำหรับคนเหนือ การได้เห็นทะเลก็เหมือนกับคนใต้ที่ได้เห็นหิมะ
ฤดูหนาวในเซินเจิ้นช่วงนี้ อากาศไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป
นกนางนวลบินโฉบอยู่เหนือชายฝั่ง ลมเย็นพัดเบา ๆ ทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งสบาย สดชื่นใจ
ในช่วงเวลานี้ เซินเจิ้นให้ความรู้สึกคล้ายกับเมืองอันเฉิงในช่วงฤดูใบไม้ร่วงใหม่ ๆ
เซินเจิ้นกับฮ่องกงนั้นถูกกั้นด้วยทะเลเพียงผืนเดียว อีกฟากหนึ่งของทะเลเป็นฮ่องกง เมืองที่นักเรียนหลายคนจากอันเฉิงเคยเห็นเพียงในหนังสือหรือภาพยนตร์ เป็นดั่งไข่มุกแห่งตะวันออก
ฮ่องกง ณ เวลานั้น ยังคงเป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจเฟื่องฟูที่สุดของจีนด้วย GDP รวม 1.5 ล้านล้านหยวน นำหน้าทุกเมืองในประเทศจีน แต่จากปี 2013 เป็นต้นไป เมืองใหญ่ทางตอนเหนือสองเมืองได้แซงหน้าฮ่องกงไปแล้ว และในปี 2022 เศรษฐกิจของเมืองเป่ยเฉิงและเซี่ยงไฮ้ก็แซงหน้าฮ่องกงไปถึงสองเท่า เซินเจิ้นเองก็แซงหน้าฮ่องกงไปอีกเท่าหนึ่ง ตามมาด้วยกวางโจวและฉงชิ่งซึ่งแซงหน้าฮ่องกงได้เช่นกัน
การเติบโตของเศรษฐกิจในแผ่นดินใหญ่ของจีนนั้นรวดเร็วและน่าทึ่งอย่างยิ่ง
ในปี 2005 มีหัวข้อหนึ่งในฟอรัมเทียนหยาซึ่งถกเถียงกันอย่างมากว่าเศรษฐกิจของจีนจะสามารถแซงหน้าญี่ปุ่นได้ภายในปี 2030 หรือไม่ โดยมีคนถกเถียงกันอย่างดุเดือด ฝ่ายที่คิดว่ายากต่อการแซงหน้ามีมากกว่า เพราะในยุคนั้น GDP โลกมีเพียง 30 ล้านล้านดอลลาร์ สหรัฐครองอยู่หนึ่งในสามด้วย GDP หนึ่งล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่ญี่ปุ่นมี GDP เกือบห้าพันล้านดอลลาร์ จีนเพิ่งมี GDP เพียงหนึ่งพันล้านต้น ๆ
ยากที่จะจินตนาการว่าจีนจะสามารถแซงหน้าญี่ปุ่นได้ภายในปี 2030
แม้แต่ในปี 2002 ผู้เชี่ยวชาญของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนยังคาดการณ์ว่าจีนจะเป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับสามของโลกในปี 2020 และจะสามารถแซงหน้าญี่ปุ่นได้ในปี 2050
แต่ในปี 2010 จีนกลับแซงหน้าญี่ปุ่นได้สำเร็จ
ต่อมาในฟอรัมต่าง ๆ ก็เกิดหัวข้อใหม่เกี่ยวกับการที่เศรษฐกิจจีนจะสามารถแซงหน้าสหรัฐฯ ได้หรือไม่
เมื่อพูดถึงญี่ปุ่น ผู้คนมักจะถามว่า "อีกกี่ปีจะสามารถแซงได้" แต่เมื่อพูดถึงสหรัฐฯ คำถามกลับกลายเป็นว่า "จะสามารถแซงได้หรือไม่"
ถ้าคำถามเกี่ยวกับญี่ปุ่นยังคงมีความเห็นขัดแย้ง แต่เมื่อถามถึงสหรัฐฯ คำตอบกลับออกมาเป็นเสียงเดียวกัน แม้แต่คนที่มองเศรษฐกิจจีนในแง่ดีมาก ๆ ก็คิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะสามารถแซงหน้าได้ และถึงจะสามารถแซงได้ก็อาจต้องใช้เวลานานหลายร้อยปีจนพวกเขาเองก็คงไม่มีโอกาสได้เห็น
ในขณะนั้นช่องว่างระหว่างจีนและสหรัฐฯ นั้นกว้างมากเกินไป
ใครจะคิดว่าภายในเวลาอีกสิบปีเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศจะใกล้เคียงกัน
ข่งหลินพานักเรียนบางคนไปซื้อน้ำแล้วแจกจ่ายให้ทุกคน
สวนริมทะเลที่นี่มีหญ้าสีเขียวสดใส นักท่องเที่ยวที่เดินจนเหนื่อยมักจะนั่งพักบนสนามหญ้า เพราะเป็นวันอาทิตย์จึงมีผู้คนมาเที่ยวกันมากมาย
เห็นได้ชัดว่ามีหลายโรงเรียนที่คิดมาเที่ยวชมทะเลที่นี่ นักเรียนจากเมืองอื่น ๆ ในมณฑลอันฮุยก็มาเข้าร่วมแข่งขันเช่นกัน ข่งหลินได้พูดคุยกับครูที่มาจากโรงเรียนใกล้เคียง
เฉินเฉิงและเจียงลู่ซีกำลังเดินเล่นตามชายฝั่งทะเล
ข่งหลินกำหนดเวลาให้พวกเขามารวมตัวกันตอนห้าโมงเย็นที่สนามหญ้าตรงจุดที่แยกย้ายกันนักเรียนหลายคนที่เดินเล่นริมชายฝั่งใช้สำเนียงภาษาถิ่นอันฮุย
นักเรียนบางคนเมื่อเห็นเจียงลู่ซีก็เริ่มพูดคุยกันเบา ๆ และหันมามอง
เมื่อเทียบกับนักเรียนชายหลายคนในโรงเรียนมัธยมอันเฉิง กลุ่มนักเรียนยอดเยี่ยมจากหลายเมืองที่มาเข้าร่วมแข่งขันนี้ แม้จะไม่รู้ถึงบุคลิกเย็นชาและเงียบขรึมของเธอ แต่ก็มีหลายคนที่เข้ามาถามเธอว่า “เธอมาจากโรงเรียนไหน?” หรือ “มาแข่งด้วยหรือเปล่า?”
แต่สุดท้ายก็ต้องพบกับความเงียบของเจียงลู่ซี
และมักจะเป็นเฉินเฉิงที่ต้องออกหน้ามาแนะนำตัวแทนทั้งสองคน
“คาดไม่ถึงว่า ครูเจียงจะโด่งดังขนาดนี้” เฉินเฉิงพูดพร้อมรอยยิ้ม
เจียงลู่ซีมองเขาเงียบ ๆ แล้วไม่พูดอะไร
ที่ริมชายฝั่งมีการตั้งกล้องส่องทางไกลแบบสองตาอยู่มากมาย แค่หยอดเหรียญลงไปก็สามารถใช้งานได้
แม้จะใช้งานได้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ แต่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของฮ่องกงที่อยู่อีกฝั่งของทะเลได้
เฉินเฉิงหยอดเหรียญสองเหรียญลงไป “ลองดูสิ”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวโรงเรียนก็เบิกคืนให้” เฉินเฉิงพูด
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจียงลู่ซีก็เดินไปใช้กล้องส่องทางไกลเพื่อดูอีกฝั่งหนึ่ง
อีกฟากหนึ่งของทะเล เธอมองเห็นวิวของฮ่องกง
หลังจากชมวิวเสร็จแล้ว เฉินเฉิงก็พาเธอไปยังจุดที่ไม่มีรั้วกั้น ซึ่งสามารถลงไปเก็บหอยและจับปูได้ ที่ตรงนี้ไม่มีใครคอยแนะนำทำให้ผู้ที่มาเป็นครั้งแรกหามาไม่เจอ
หลังจากเดินไปถึงจุดนั้นก็เห็นว่ามีคนมากมายกำลังเดินเหยียบหินลงไปตามลำธาร
บริเวณนี้มีลำธารใสที่มองเห็นได้ถึงก้นน้ำ
น้ำไม่ลึก คนที่สวมรองเท้าแตะหรือรองเท้าลงน้ำก็กำลังพับขากางเกงเดินลงไปในน้ำ
ส่วนคนที่ถอดรองเท้าไม่สะดวกก็กำลังยืนอยู่บนก้อนหิน แล้วก้มลงจับปูที่อยู่ในลำธาร
เฉินเฉิงพาเธอเดินเหยียบหินเข้าไปอีก
เขานั่งยอง ๆ ลงแล้วใช่มือลองจับปูตัวเล็ก ๆ ขึ้นมา ก่อนยื่นไปตรงหน้าเธอ
เฉินเฉิงยิ้มและพูดว่า “เธอลองจับดูบ้างสิ”
เจียงลู่ซีทำตามเฉินเฉิง พับแขนเสื้อขึ้น
เธอนั่งยอง ๆ ลง เห็นปูตัวหนึ่งก็ยื่นมือไปจับ
แต่จับไม่ทัน ปูตัวนั้นเคลื่อนตัวออกไปพร้อมกับพ่นดินออกมาเป็นกลุ่มก้อน
เจียงลู่ซีที่รู้สึกเหมือนท้าทายก็จับอีกครั้ง และในที่สุดก็จับได้
เธอยื่นปูไปตรงหน้าเฉินเฉิง แล้วยิ้มออกมา “ดูสิ ฉันก็จับได้เหมือนกัน”
เฉินเฉิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป รอยยิ้มบนใบหน้าเธอที่กำลังถือปูอยู่กับฉากหลังเป็นทะเลงดงามไปหมด
เฉินเฉิงยิ้มอย่าง
พอใจ สาวน้อยที่ยืนอยู่ในท่ามกลางวิวทะเล ภาพที่เธอยิ้มจับปูท่ามกลางท้องฟ้าและมหาสมุทรนั้นงดงามกว่าอะไรทั้งหมด
“นายทำอะไรน่ะ?” เจียงลู่ซีถามอย่างสงสัย
“ดูสิ สวยไหม?” เฉินเฉิงยื่นภาพที่เขาถ่ายมาให้เธอดู
“ถ้ามีการประกวดถ่ายภาพผ่านมือถือ ฉันว่าภาพนี้ต้องได้รางวัลแน่ ๆ” เฉินเฉิงยิ้ม
ท้องฟ้าสีคราม เมฆขาว ทะเลสีฟ้า ลำธารใสสะอาด
และเด็กสาวผู้เรียบง่ายที่มีรอยยิ้มสดใสท่ามกลางธรรมชาติ
เจียงลู่ซีมองภาพในโทรศัพท์แล้วก็อึ้งไป
รูปนี้ดูสวยจริง ๆ
ลำธารและทะเลดูเข้ากันได้ดี แสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วทะเลเป็นประกายงดงาม
“อืม วิวสวยจริง ๆ” เจียงลู่ซีพยักหน้า
“คนก็ดูสวย” เฉินเฉิงพูดขึ้นพร้อมลุกขึ้นยืน
เจียงลู่ซีหันไปมองเขา แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร
นักเรียนจากโรงเรียนอื่น ๆ ก็เริ่มพบจุดที่พวกเขาอยู่
เมื่อมีคนหนึ่งพบ ก็กลับไปบอกต่อ ทำให้คนค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ
“เราไปกันเถอะ” เฉินเฉิงพูด
“อืม” เจียงลู่ซีพยักหน้า
เมื่อมีคนเยอะขึ้น การเดินทางบนก้อนหินก็ยากขึ้น เพราะแทบทุกก้อนมีคนยืนอยู่ เมื่อจะเดินผ่านก็ต้องรอให้คนอื่นย้ายไปยังก้อนหินถัดไปก่อน
เจียงลู่ซีกำลังจะก้าวไปบนก้อนหินถัดไปแต่มีคนแซงมาก่อน
เจียงลู่ซีไม่อยากแย่ง จึงถอยกลับมา แต่ก็เสียการทรงตัวจนเกือบตกน้ำ
นักเรียนชายจากโรงเรียนอื่นที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ชื่อจางเฟย ซึ่งเป็นนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมหลู่โจวเห็นเข้าจึงหันมาพูดด้วยรอยยิ้ม “เพื่อนนักเรียน ต้องการให้ช่วยไหม? ฉันพาไปได้นะ”
จางเฟยเป็นนักเรียนที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์ดีที่สุดในโรงเรียนมัธยมหลู่โจว และเมื่อตอนที่เฉินเฉิงพาเจียงลู่ซีเดินเล่นริมชายฝั่ง จางเฟยก็เคยเห็นเธอ
เขาประทับใจเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
ไม่คิดว่ามาถึงจุดนี้แล้วจะได้พบเธออีก
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเด็กสาวที่สวยขนาดนี้
นักเรียนหญิงที่เรียนดีในโรงเรียนหลู่โจวนั้นมักไม่สวย และคนสวยมักเรียนไม่ดี แต่เด็กสาวคนนี้สามารถมาเป็นตัวแทนจากโรงเรียนที่ดีที่สุดของเมืองในการแข่งขันนี้ได้ แสดงว่าเธอต้องมีผลการเรียนที่ดีมากแน่นอน
เธอสวยและเรียนดี ในทุกโรงเรียนคงหายากที่จะเจอคนแบบนี้
ดังนั้น เมื่อเห็นเจียงลู่ซีไม่สามารถเดินต่อไปได้ เขาจึงเสนอความช่วยเหลือทันที
ในความคิดของเขา เจียงลู่ซีคงต้องการความช่วยเหลือ เขายื่นมือเข้ามาเพราะคิดว่าเธอคงไม่ปฏิเสธ
แต่เขาคิดผิด หากให้เลือกระหว่างตกน้ำกับจับมือผู้ชายคนอื่น เจียงลู่ซีคงเลือกที่จะตกน้ำ นอกจากนี้ เธอไม่ชอบที่จะรบกวนหรือเป็นหนี้บุญคุณใคร
เจียงลู่ซีส่ายหน้า และเมื่อคนข้างหน้าเดินไปแล้ว เธอก็เดินต่อ
ทว่าหินตรงนี้ค่อนข้างลื่น และมีคนจำนวนมาก บางคนเดินไปก็ลื่นตกลงไปในลำธาร
ขณะที่เจียงลู่ซีก้าวไปบนก้อนหิน เธอก็ลื่นและเสียการทรงตัว แต่เฉินเฉิงรีบเข้ามาจับมือเธอไว้ทันก่อนที่เธอจะตกน้ำ
เมื่อรู้สึกมั่นคงแล้ว เจียงลู่ซีก็หันไปมองเฉินเฉิง และพยายามดึงมือออก
“รอถึงฝั่งแล้วฉันจะปล่อย มือเธอเพิ่งเปลี่ยนรองเท้ามา ถ้าเปียกแล้วแห้งไม่ทันพรุ่งนี้จะยุ่งยาก” เฉินเฉิงกล่าว
หลังพูดเสร็จ เขาก็พาเธอเดินกลับฝั่ง
เขาเหยียบหินไปข้างหน้าแล้วเว้นที่ให้เธอข้ามมา
เมื่อได้ฟังคำพูดของเฉินเฉิง เจียงลู่ซีก็หยุดดิ้น แต่ใบหน้าก็ขึ้นสีชมพู เธอก้มหน้ามองแต่เท้าและลำธาร ไม่ได้เงยหน้าขึ้นอีกเลย
เฉินเฉิงเหยียบหินก้อนหนึ่ง แล้วเธอก็เหยียบตาม
เมื่อมีเขาอยู่ข้างหน้า เธอก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาเหยียบหินก่อน
ไม่นานนัก เฉินเฉิงก็นำเธอมาถึงฝั่ง
เมื่อมาถึงฝั่ง เฉินเฉิงก็ปล่อยมือจากมืออันอ่อนนุ่มของเธอ
“ไปพักกันที่สนามหญ้ากันเถอะ” เฉินเฉิงพูด
“อืม” เจียงลู่ซีพยักหน้าเบา ๆ
ทั้งสองเดินไปนั่งพักที่สนามหญ้าซึ่งคนไม่พลุกพล่าน
พวกเขานั่งพักและเปิดขวดน้ำขึ้นมาดื่ม
ลมทะเลพัดมาพร้อมกลิ่นหญ้าบนสนามหญ้า กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากตัวเจียงลู่ซีที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จยังคงโชยมาพร้อมกับลม เฉินเฉิงสูดลมหายใจรับกลิ่นหอมนี้ แล้วเอนตัวนอนลงบนสนามหญ้า
เจียงลู่ซีนั่งกอดเข่ามองทะเลอยู่เงียบ ๆ
จากมุมมองของเฉินเฉิง เขาเห็นลำคอเรียวยาวขาวราวกับหงส์ของเธอ
ลำคอของเจียงลู่ซีนั้นสมบูรณ์แบบ
เฉินเฉิงชอบมองลำคอที่ขาวผ่องและมีสีชมพูอ่อน ๆ
สาวน้อยจากเมืองเล็กนั่งอย่างเงียบสงบ เธอดูเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์อย่างยิ่ง แม้จะไม่ค่อยพูดหรือเข้ากับใครได้ดี แต่ความเงียบสงบเยือกเย็นของเจียงลู่ซีก็เป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดใจคน
แม้ว่าเธอจะต้องเผชิญกับความยากลำบากมามากในช่วงวัยเยาว์ แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้และมุ่งมั่นตั้งใจทำในสิ่งที่เธอต้องการ
หากคนเราเข้าใจสองสิ่งนี้และทำตามได้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต
ความมีวินัยนั้นเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้หลายคนไปไม่ถึงความสำเร็จ
แต่เจียงลู่ซีทำได้ดีในเรื่องนี้
“เฮ้” เฉินเฉิงเรียก
“อะไรเหรอ?” เจียงลู่ซีหันกลับมามองเขา
“เธอจะบวชเป็นแม่ชีไหม?” เฉินเฉิงถาม
เจียงลู่ซีมองเขา “ฉันไม่ได้นับถือพุทธ”
“อืม ไฟสงบกับธูปหอมไม่ได้มีอะไรดี โลกนี้ยังมีเรื่องราวที่สวยงามอีกมากมาย” เฉินเฉิงกล่าว
เจียงลู่ซีรู้สึกว่าเฉินเฉิงพูดอะไรแปลก ๆ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงถามเรื่องนี้กับเธอ เธอยังมีคุณยาย ยังมีตัวเอง และครอบครัวเล็ก ๆ ของเธอ ทำไมต้องบวชล่ะ?
ในอนาคตเธอวางแผนที่จะหาเงินพาคุณยายไปเที่ยวโลกกว้าง
เมื่อกลับมาจากเที่ยวแล้ว เธอจะเก็บเงินเพิ่มอีกนิด และซื้อบ้านในเมืองใหญ่
ชีวิตในเมืองเล็กนั้นลำบากเกินไป เธอกลัวว่าคุณยายจะไม่สามารถผ่านช่วงฤดูหนาวที่หนาวเย็นไปได้
ในเมืองใหญ่ หากคุณ
ยายป่วย ก็สามารถไปโรงพยาบาลได้ทันที
และเมื่อมีเงินพอแล้ว เธอจะแต่งงานและมีลูกชายคนโตให้คุณยายชื่นใจ
ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ลับลงจากท้องฟ้า ลอยอยู่เหนือทะเลเหมือนจะตกลงไปในน้ำ
ทั้งสองนั่งอยู่บนสนามหญ้าร่วมกันในความเงียบงัน ชื่นชมทิวทัศน์พระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามบนผืนน้ำ
เฉินเฉิงมองนาฬิกา “จะห้าโมงแล้ว กลับกันเถอะ”
“อืม” เจียงลู่ซีพยักหน้า เธอพยายามยืนขึ้นจากสนามหญ้า แต่เนื่องจากนั่งในท่าเดิมนานเกินไป ขาจึงตึงและยืนไม่ขึ้น
เฉินเฉิงยื่นมือให้
เจียงลู่ซีมองมือที่ยื่นมาอย่างตกใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้จับ
เฉินเฉิงก้มลงจับมือเธอแล้วดึงเธอขึ้น
“เราก็เคยจับกันแล้วนี่” เฉินเฉิงกล่าว
ครั้งนี้ เจียงลู่ซีตัดสินใจเตะเขาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน