ตอนที่ 345 บุกเข้าไปในวิหารบรรพบุรุษในยามค่ำคืน (ฟรี)
ตอนที่ 345 บุกเข้าไปในวิหารบรรพบุรุษในยามค่ำคืน
เมื่อเวลาผ่านไป การล่าสัตว์ในวันนั้นก็สิ้นสุดลง
ตลอดทั้งวันนี้ค่อนข้างจะน่าตื่นตาสำหรับทั้งสามคน
ภายใต้การนำของคนหนุ่มสาวในตระกูลลู่ เรียกได้ว่าการล่าราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง
สัตว์อสูรที่โหดเหี้ยม และน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งเหล่านั้นจะสูญเสียพลัง และกลายเป็นเหมือนสัตว์ร้ายธรรมดาต่อหน้าคนในตระกูลลู่
หลังจากกลับมาที่หมู่บ้านแล้ว ทั้งสามก็ทานอาหารเย็นอย่างเร่งรีบ จากนั้นจึงรีบกลับไปที่บ้านพักของพวกเขา
“น่ากลัวเกินไปแล้ว พวกเขาล้วนไม่ธรรมดาเลย ผู้ชายคนนั้นดูเหมือนจะอยู่ในขอบเขตศักดิ์สิทธิ์แต่เขาตบสัตว์อสูรอมตะจนตายได้!” เมื่อฉีเหิงคิดถึงภาพที่น่าสะพรึงกลัวในนั้น ขาของเขาก็สั่นเทา
“ใช่ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาทำมันได้ยังไง แม้แต่ตอนนี้ข้ายังรู้สึกกลัวอยู่เลย!” ฉินซิ่วหยวนตบหน้าอกของตัวเองเบาๆ แล้วพูดด้วยความกลัวที่ยังคงอยู่
เขาเป็นอ๋องเซียวเหยาแห่งจักรวรรดิต้าเฉียน! อนุชาของจักรพรรดิต้าเฉียน!
แต่แล้วตอนนี้ล่ะ? หลังจากได้พบพี่น้องร่วมสาบานทั้งสองคนนี้
เขาได้ใช้ชีวิตด้วยความกลัวทุกวัน มันยากยิ่งกว่าตอนที่เขาต่อสู้ในสนามรบ หากเขาไม่ระวัง เขาอาจเสียชีวิตได้ไม่ยาก
“เอาล่ะ คิดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ต่อให้ถามพวกเขาก็คงไม่บอกเราหรอก”
มารเฮยเย่ขัดจังหวะพวกเขาทั้งสอง และมองไปที่ฉีเหิงด้วยความจนใจ ในตอนแรกๆ อีกฝ่ายดูเป็นคนดี แต่ทำไมถึงกลายเป็นคนไม่น่าเชื่อถือมากขึ้นเรื่อยๆ ในภายหลัง
“ข้าคิดว่าที่นี่ค่อนข้างดี มีอาหาร และน้ำมากมาย สิ่งสำคัญที่สุดคือเราสามารถกินสัตว์อสูรเหล่านั้นได้! คิดไม่ถึงว่าในชีวิตนี้ ข้าจะได้กินเนื้อของสัตว์อสูรอมตะ” ฉีเหิงหัวเราะเบาๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
แค่อาหารเช้าที่เขากินก็ให้ประโยชน์กับตัวเขามากมายแล้ว แต่ก็ล่าก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่ใช่เพราะคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน คงจะลำบากมากกว่านี้หลายเท่า
“มีบางอย่างผิดปกติกับหมู่บ้านแห่งนี้ หากถามข้า เราควรรีบออกไปโดยเร็วที่สุด” มารเฮยเย่รู้สึกกังวลใจ จากนั้นเขาก็พูดขึ้น
“พี่ใหญ่ ท่านกลายเป็นคนขี้ขลาดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ข้าไม่เห็นจะรู้สึกว่าหมู่บ้านนี้มีอะไรแปลก และเรายังสามารถกินเนื้อสัตว์อสูรเหล่านั้นได้ทุกวัน ทำไมไม่อยู่ที่นี่ให้นานหน่อยล่ะ” ฉีเหิงพูดอย่างไม่แยแส
“ข้าคิดว่าพี่ใหญ่พูดถูก มีเรื่องแปลกๆ อยู่ทุกที่ที่นี่ เราควรจะจากไปโดยเร็ว” หลังจากที่ฉินซิ่วหยวนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็พูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลังจากได้ยินสิ่งที่ทั้งสองคนพูด ฉีเหิงก็นึกถึงทุกสิ่งที่เขาเคยประสบ และรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
แดนลับฝังมังกรแห่งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ทำไมจึงมีสรวงสวรรค์อย่างหมู่บ้านนี้อยู่?
บางที หมู่บ้านที่ดูปลอดภัยแห่งนี้อาจเป็นสถานที่ๆ อันตรายที่สุดในแดนลับฝังมังกร!
“เก็บข้าวของแล้วเตรียมตัวออกเดินกันเถอะ ข้ายอมตายในปากของสัตว์อสูรเหล่านั้น ดีกว่าตายโดยไม่รู้ตัวในหมู่บ้านนี้!” มารเฮยเย่พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม
“ตกลงเราจะฟังท่าน” ฉีเหิง และฉินซิ่วหยวนมองหน้ากัน จากนั้นก็เห็นด้วยกับมารเฮยเย่
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และยามค่ำคืนก็มาถึง
พวกเขาทั้งสามเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว และพร้อมที่จะออกจากสถานที่แปลกๆ นี้ได้ตลอดเวลาแม้ว่าพวกเขาจะต้องออกไปแต่ตัวก็ตาม
เมื่อพวกเขาทั้งสามกำลังจะจากไป ฉีเหิงก็หยุดเดินราวกับว่าเขานึกอะไรบางอย่างได้
“แคะ แคะ พี่ใหญ่ ข้ามีความคิดบางอย่างอยู่ แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดมันออกมาหรือไม่” ฉีเหิงถามมารเฮยเย่
“ถ้ารู้ว่าไม่ควรก็ไม่ต้องพูด!” มารเฮยเย่ตบหัวฉีเหิงแล้วพูดด้วยความโกรธ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อใจน้องชายคนนี้ เพียงแต่ว่าชายคนนี้บ้าบิ่นแล้วโง่เขลา และแผนการของอีกฝ่ายทุกครั้งมักจะไม่ค่อยน่าเชื่อถือ ถ้าพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งพอ พวกเขาคงได้ตายไปนับครั้งไม่ถ้วนเลย
แม้ว่าฉินซิ่วหยวนจะไม่มีปฏิกิริยารุนแรงเท่ามารเฮยเย่ แต่เขาก็ไม่สนใจแผนการของฉีเหิง ท้ายที่สุดแล้ว สาเหตุที่พวกเขาลงเอยในสถานการณ์เช่นนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับอีกฝ่าย!
“ในเมื่อเรามาถึงที่นี่แล้ว หากจากไปเช่นนี้ก็คงจะน่าเสียดายไม่น้อย”
ฉีเหิงไม่สนใจเกี่ยวกับทัศนคติของทั้งสองคนที่มีต่อเขา แต่กลับพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เจ้าคิดจะทำอะไร” มารเฮยเย่ขมวดคิ้ว และถาม
“จำได้ไหมว่าลู่เฉิงเคยพูดว่ามีพื้นที่ต้องห้ามอยู่ในหมู่บ้านนี้ซึ่งเราไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปโดยเด็ดขาด มันต้องมีความลับอะไรอยู่อย่างแน่นอน?” ดวงตาของฉีเหิงเป็นประกายแล้วหัวเราะเบาๆ
“หากเจ้าต้องการตายก็ไปตายคนเดียว อย่าลากพวกข้าสองคนไปตายด้วย” มารเฮยเย่บอกปัดอย่างชัดเจน เมื่อฉีเหิงพูด เขาก็เดาได้เลยว่าชายคนนี้กำลังจะพูดอะไรต่อ
จากประสบการณ์ที่ผ่านๆ นิสัยเก่าของเขาคงกำเริบแล้ว เขาอยากตรงดิ่งเข้าไปในสถานที่อันตรายๆ !
“พวกท่านไม่ต้องกังวลไป หลังจากที่พวกท่านหลับไปเมื่อคืนนี้ ข้าได้แอบลองไปตรวจสอบเส้นทางดูก่อนแล้ว รู้ไหมว่าข้าได้พบอะไร” ฉีเหิงกล่าวสิ่งที่ทำให้ทั้งสองตกใจออกมา
ชายคนนี้ออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ และเขาได้ทำอะไรในพื้นที่ต้องห้ามของหมู่บ้านนี้?
“ข้าได้เห็นลู่เฉิงกำลังฝึกอยู่ในวิหารบรรพบุรุษ! มันให้ความรู้สึกลึกลับมาก และเขาไม่รู้ว่าสุดยอดวิชาใดที่เขากำลังฝึกอยู่ แล้วทำไมเขาต้องไปที่วิหารบรรพบุรุษเพื่อฝึกด้วย แต่เมื่อนำสองสิ่งนี้มารวมกัน ที่นั่นต้องมีความลับที่ยิ่งใหญ่บางอย่างๆ แน่นอน!” ดวงตาของฉีเหิงเป็นประกาย และเขาพูดอย่างช้าๆ
พวกเขาทั้งสองเงียบไปหลังจากได้ยินสิ่งนี้ ดูเหมือนจะคิดถึงความเป็นไปได้จริงๆ
แม้ว่าฉีเหิงจะไม่น่าเชื่อถือสักหน่อย แต่ความอ่อนไหวต่อสมบัติของเขานั้นช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ!
แม้ว่าก่อนหน้านี้ของพวกเขาต้องเผชิญกับอันตรายครั้งใหญ่ แต่ค่าตอบแทนก็ถือว่าไม่น้อยเลย
เพียงแต่คราวนี้มันอันตรายเกินไป ซึ่งทำให้ทั้งสองรู้สึกลังเล
หากพวกเขาทำอะไรแบบนั้นจริงๆ คนในหมู่บ้านจะไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปอย่างแน่นอน แม้ว่าพวกเขาจะสามารถหลบหนีไปได้โดยบังเอิญ พวกเขาก็ต้องเผชิญกับสัตว์อสูรที่น่าสระพรึงกลัวเหล่านั้นในแดนลับฝังมังกร
ทั้งสามมองหน้ากันไปมา ไม่มีใครพูดอะไร และดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งหมดกำลังชั่งน้ำหนักอยู่ในใจ
“งั้นก็ลองไปดูกัน!” มารเฮยเย่พูดอย่างหนักแน่นกับ ทำตามเสียงหัวใจที่เรียกร้อง
เขาไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใด ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงไม่มีทางรวมวิถีมารให้เป็นหนึ่งได้!
สำหรับฉินซิ่วหยวนล่ะ? ความแข็งแกร่งของเขาต่ำที่สุด และเขาก็ไม่ได้คิดจะค้าค้าน เนื่องจากมารเฮยเย่ได้ตัดสินใจไปแล้ว เขาก็จะเอาตามนั้น
ต้องลองดู อย่างมากก็แค่ตาย!
ดังนั้น ทั้งสามจึงแอบออกจากบ้านพักไปอย่างเงียบๆ ในขณะที่กลางคืนมืดมน และมีลมแรง การเคลื่อนไหวของพวกเขาก็ไม่มีใครพบเห็น
คืนนี้ เพราะการกระทำของทั้งสาม มันจะถูกกำหนดให้เป็นค่ำคืนที่ไม่ธรรมดา
ในหมู่บ้านเงียบสงบ และมืดมิด ทุกครัวเรือนปิดประตูและหน้าต่าง ยกเว้นเสียงคำรามของสัตว์อสูรที่มาจากนอกหมู่บ้านเป็นครั้งคราว โดยไม่มีเสียงใดๆ อีก
ยามค่ำคืนเงียบมากจนน่ากลัวเล็กน้อย
พวกเขาทั้งสามเดินย่องไปทั่วหมู่บ้าน พวกเขากลัวที่จะทำเสียงดังจนดึงดูดความสนใจ ดังนั้นจึงเดินช้ามาก
“บัดซบ เจ้ารู้ทางจริงๆ เหรอ” มารเฮยเย่โกรธมาก แต่เขาไม่กล้าตะโกนดังๆ เขาทำได้เพียงระงับความโกรธในใจแล้วถามเบาๆ
แต่ครั้งนี้ ฉีเหิงไม่ได้ทำให้ทุกคนผิดหวังเลย
“ชู่ว มันอยู่ข้างหน้านี่เอง” ฉีเหิงชี้ไปข้างหน้า จุดหมายปลายทางของพวกเขาอยู่ใกล้ๆ แล้ว