บทที่ 30 แค่เดือนเดียวจะทำได้สำเร็จจริงเหรอ?
“เสี่ยวหลิน เรื่องที่ลูกพูดนี่เป็นเรื่องจริงเหรอ?” หลินเหยียนยังคงไม่เชื่อ จึงถามด้วยความไม่แน่ใจ
“แม่ ผมจะหลอกแม่ได้ยังไง?” จางหลินหัวเราะเบาๆก่อนจะใช้วิธีเดิม โดยหยิบยอดเงินคงเหลือในบัญชีส่งให้แม่ดู
เมื่อหลินเหยียนเห็นยอดเงิน แม้จะเห็นตัวเลขชัดเจนแล้ว ก็ยังไม่อยากจะเชื่อ “เสี่ยวหลิน การทำธุรกิจขายส่งผลไม้มันทำเงินได้เยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”
ใครก็คงจะรู้สึกไม่เชื่อแบบเธอ เพราะตั้งแต่ลูกชายรับฟาร์มมาก็ดูเหมือนยังไม่ครบหนึ่งเดือนเต็ม คนทั่วไปทำเงินได้เดือนละสองหมื่นหยวนก็นับว่าเก่งแล้ว แต่ลูกชายกลับทำได้ขนาดที่สามารถคืนหนี้ที่ยืมจากญาติพี่น้องมากกว่า 6 แสนหยวนในเวลาไม่ถึงเดือน
จางหลินหัวเราะเบาๆแล้วตอบ “แม่ ก็ไม่ใช่ว่าใครทำผลไม้ขายส่งก็จะได้กำไรงามแบบนี้ นี่เป็นเพราะลูกแม่เก่งไงครับ”
หลินเหยียนฟังแล้วก็รู้สึกคลายใจ ใช่แล้ว ถ้าลูกไม่เก่งจริงคงทำไม่ได้ถึงขนาดนี้ในเวลาเพียงสั้นๆ
“งั้นเดี๋ยวแม่จะโทรหาพี่ใหญ่ของแม่กับญาติคนอื่นๆ ชวนพวกเขามาเที่ยวที่ฟาร์มพรุ่งนี้” หลินเหยียนพูดพร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมา หาหมายเลขและโทรออกเบอร์แรกทันที
“พี่ใหญ่ เสี่ยวหลินทำศูนย์บริการที่ฟาร์ม มีร้านอาหารด้วย พรุ่งนี้เที่ยงมาพักผ่อนที่นี่กันเถอะค่ะ...”
“…ใช่ค่ะ มีเพื่อนที่มีฐานะดีคนหนึ่งลงทุนให้เขา… อีกอย่างคือเงินที่เรายืมมา เสี่ยวหลินบอกว่าจะคืนให้ค่ะ…”
ยิ่งพูด หลินเหยียนก็ยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจและมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า
เมื่อเห็นแม่อารมณ์ดีแบบนี้ จางหลินก็ยิ้มตาม เพราะการที่แม่มีความสุขและอารมณ์ดีจะช่วยให้สุขภาพร่างกายดีขึ้น ไม่ต้องคอยไปโรงพยาบาลให้น้ำเกลือตลอด คนเรามักมีโรคมากขึ้นเพราะจิตใจที่อัดอั้น ถ้าอารมณ์ดี ปัญหาสุขภาพก็ดีตามไปด้วย
หลังจากหลินเหยียนวางสายจากจางเหอพี่ชายของเธอแล้ว ก็เริ่มโทรหาเจ้าหนี้คนอื่นๆด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในขณะที่จางหลินเดินไปที่ห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ
…
รุ่งเช้าวันต่อมา จางหลินจัดการผลไม้สำหรับขายส่งในวันนี้และเตรียมตัวออกไปที่ฟาร์ม แม่ของเขาแต่งตัวอย่างประณีตราวกับว่านี่เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง
“เสี่ยวหลิน มากินข้าวเช้าเร็ว” หลินเหยียนเห็นลูกชายออกมาก็รีบเรียก “กินเสร็จแล้วพาแม่ไปฟาร์ม แม่อยากดูว่ามีอะไรให้ช่วยบ้าง”
จางหลินยิ้มแล้วตอบ “แม่ วันนี้ฟาร์มมีพนักงานเพียบ พวกเขาจัดการได้เรียบร้อยอยู่แล้วครับ งั้นไปซื้อของที่ตลาดสดด้วยกันดีไหม?”
“วันนี้เราจะจัดพิธีเปิดครัวของร้านอาหารด้วย มีทั้งญาติพี่น้องและพนักงาน จะได้โชคดีมีความสุขกันครับ”
เขารู้ว่าแม่แค่อยากมีส่วนร่วมไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เพราะคนรุ่นเก่ามักกลัวว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งลูกหลานจะไม่ต้องการพวกเขาอีกแล้ว
“ได้สิ พอพูดถึงการซื้อของ แม่ก็ต้องเก่งกว่าลูกแน่ๆ” หลินเหยียนตอบด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
หลังจากกินข้าวเสร็จ จางหลินพาแม่ไปซื้อของที่ตลาดสด และด้วยปริมาณของที่ต้องซื้อเยอะมาก จึงเช่ารถเข็นมาใช้ เมื่อซื้อของครบแล้ว เขาก็โทรเรียกหลิวเต๋อให้มาช่วยขนของไปส่งที่ฟาร์ม
จางหลินพาแม่มาถึงฟาร์ม แม่ของเขาถึงกับอึ้งไปชั่วครู่เมื่อเห็นว่าฟาร์มเปลี่ยนแปลงไปมาก บรรดาพนักงานมากกว่า 30 คนกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น นั่นทำให้เธอคิดถึงสามีที่จากไป ถ้าเขาได้เห็นภาพนี้คงจะภูมิใจและดีใจมาก
เวลาผ่านไปจนกระทั่งสาย
จางเจาออกจากที่ทำงาน พอถึงบ้านก็เห็นพ่อแม่กำลังรออยู่ข้างล่างพร้อมกับรถที่จอดอยู่ข้างๆ
“รีบขึ้นรถ” จางเหอเรียก เมื่อทุกคนขึ้นรถพร้อมแล้วก็ออกเดินทางไปยังฟาร์มของจางหลิน
รถเคลื่อนออกจากตัวอำเภอไปตามเส้นทางบนถนนหลวง จางเหอเคยไปที่ฟาร์มครั้งหนึ่งตอนน้องชายยังมีชีวิต จึงยังจำทางได้ดี ขณะขับไปก็เห็นธงที่มีข้อความว่า “ฟาร์มหลียวน” ชัดเจนตลอดทาง
จางเจาพูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “เสี่ยวหลินทำให้ข้างนอกดูเหมือนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวจริงๆ แล้วข้างในจะเป็นยังไงนะ? เห็นว่ามีศูนย์บริการและร้านอาหารด้วย”
จางเหอขมวดคิ้ว “เสี่ยวหลินเพิ่งรับช่วงฟาร์มมาไม่ถึงเดือนใช่ไหม?”
“ใช่ครับ ยังไม่ครบเดือนดีเลย” จางเจาตอบ
จางเหอถอนหายใจ “เวลาสั้นแค่นี้ คิดว่าจะทำอะไรได้ทันเหรอ?”
“นั่นสิ เวลานิดเดียวสร้างศูนย์บริการก็แทบไม่พอแล้ว” จางเจาพยักหน้าเห็นด้วย แต่คิดตามแล้วก็แปลกใจ “แต่ว่า ไม่ใช่ว่าเขาจะคืนเงินให้ด้วยเหรอ?”
จางเหอขมวดคิ้วอีกครั้ง “แม่เขาบอกว่ามีเพื่อนของเสี่ยวหลินลงทุนให้ แต่เขาจะรีบคืนเงินทำไมล่ะ? เราก็ไม่ได้เร่งเขาสักหน่อย”
“นั่นสิ เงินก้อนนี้ควรใช้ทำประโยชน์ในจุดที่จำเป็นก่อน เราควรจะพูดเตือนเสี่ยวหลินสักหน่อย” จางเจาตอบเห็นด้วย
“ใช่ เราต้องคุยกับเขาให้ดี เงินลงทุนต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด” จางเหอพูดไปตามที่คิด แต่แล้วก็ตะลึงไปทันทีที่เห็นภาพโปสเตอร์โฆษณาขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นภาพของทุ่งดอกคาโนลาสีทองที่ดูสวยงามและมีเสน่ห์อย่างมาก
“สวยจังเลย” จางเหยียนภรรยาที่นั่งมาในรถซึ่งเงียบมาตลอดก็อดอุทานไม่ได้
“ใช่ครับ” จางเจาก็พลอยเห็นด้วย เพราะภาพโปสเตอร์นั้นมีเสน่ห์และน่าประทับใจมาก
จากนั้นเขาก็เห็นครอบครัวจางตงยืนอยู่ตรงป้าย จางเหอจึงหยุดรถแล้วทักทาย “เหอเกิน พวกนายก็มาด้วยเหรอ?”
เหอเกินตอบพร้อมรอยยิ้ม “ใช่ ฟาร์มของจางหลินเขามีทุ่งดอกคาโนล่า 500 ไร่ ตามที่เห็นบนโปสเตอร์นี่แหละ”
เมื่อจางเหอเห็นภาพโปรโมต เขาก็ตะลึงเพราะไม่คิดว่าเสี่ยวหลินจะทำได้ถึงขนาดนี้ในเวลาอันสั้น เขาจึงรีบขับรถต่อไปเพื่อเข้าไปดูข้างใน
ถนนข้างในถูกจัดเตรียมและเคลียร์สิ่งกีดขวางต่างๆจนสะอาดสะอ้าน และไม่ไกลจากนั้นก็ปรากฏลานจอดรถขนาดใหญ่ให้เห็น
จางเหอจอดรถ ทุกคนลงจากรถแล้วก็ได้เห็นอาคารศูนย์บริการที่มีขนาดใหญ่ถึง 2 ไร่ตั้งอยู่ไม่ไกล
“นี่คือศูนย์บริการที่จางหลินสร้างเหรอ?” จางเหออุทานด้วยความทึ่ง
“เสี่ยวหลินเก่งจริงๆ ใช้เวลาไม่ถึงเดือนก็ทำได้ขนาดนี้ ต้องใช้เงินไปเยอะแน่ๆ” จางเจาเห็นแล้วรู้สึกแปลกใจที่คิดว่าจางหลินอาจจะทำได้ไม่มาก แต่กลับเป็นตรงกันข้าม
“ดูนั่นสิ นั่นทุ่งดอกไม้!” จางเหยียนชี้ไปที่ทุ่งดอกคาโนล่าเหลืองอร่ามที่มองเห็นอยู่ไกลๆ ซึ่งลานจอดรถถูกออกแบบให้เห็นทุ่งดอกไม้ตั้งแต่ลงจากรถ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้มาเยือน
จางเจาหันไปมองพ่อและพูดอย่างล้อเลียน “พ่อ นี่พ่อบอกว่าเสี่ยวหลินจะทำอะไรไม่เป็นโล้เป็นพายไม่ใช่เหรอ?”
จางเหอทำหน้ามึนงงก่อนจะตอบออกมาทันที “พูดอะไรน่ะ? พ่อพูดว่าเสี่ยวหลินเก่งมากต่างหาก ถ้าไม่เชื่อถามแม่สิ!”
“ใช่แล้วจ้ะ” จางเหยียนหัวเราะและยืนยันสนับสนุนสามี เพราะปกติสามีก็รักและดูแลเธออย่างดี วันนี้เธอจึงยืนข้างสามี
จางเจายืนอึ้งไป “อะไรนะ พ่อพูดแบบนี้จริงๆเหรอ?”
…
(จบบท)