บทที่ 115: เหตุผลที่มาอยู่ที่นี่
ไม่ใช่แค่เพียงเจ้าส้มเท่านั้นที่ส่งเสียงร้อง แต่ยังรวมถึงแมวตัวอื่น ๆ ที่ก่อนหน้านี้ทำท่าทีเกียจคร้าน ตอนนี้พวกมันพากันลุกขึ้นอย่างหวาดระแวง ขณะที่สายตาของพวกมันมองไปที่ด้านหลังของมู่ไป๋ไป่
เด็กหญิงเข้าใจได้อย่างรวดเร็วและตะโกนสั่งโดยไม่หันกลับไปมอง “จื่อเฟิง รีบพาเจ้าตัวโตไปก่อนเร็วเข้า”
“หา?” เด็กหนุ่มตกตะลึง ก่อนจะมองดูแมวที่ส่งเสียงข่มขู่ไม่หยุด สุดท้ายเขาก็ทำตามคำสั่งของมู่ไป๋ไป่โดยการพาหมาป่าสีเทาออกไป
แต่ถึงกระนั้น พวกแมวก็ยังไม่ยอมผ่อนคลายความระวังลงและยังส่งสายตามองไปที่หมาป่าตัวโต
“อะไรกัน เกิดอะไรขึ้น?” หลัวเซียวเซียวตกใจมากและหันไปถามมู่ไป๋ไป่ “องค์หญิง เจ้าส้มกับหมาป่ามีความแค้นอะไรกันหรือเพคะ?”
“พวกมันไม่เคยมีความโกรธแค้นต่อกัน มันเป็นเพียงสัญชาตญาณของสัตว์เท่านั้น” คนตัวเล็กโบกมือให้อีกฝ่ายเพื่อบอกนางว่าอย่าได้เป็นกังวล “นี่เป็นอาณาเขตของแมวอย่างเจ้าส้ม การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเจ้าตัวโตจะทำให้พวกมันรู้สึกว่าตัวเองโดนรุกล้ำอาณาเขต”
“มู่ไป๋ไป่ เจ้านั่นคืออะไร?” เจ้าส้มเพิ่งเคยเห็นสุนัขตัวใหญ่เช่นนี้เป็นครั้งแรก สายตาของมันจึงยังคงจับจ้องอยู่ที่ฝ่ายตรงข้าม จากนั้นมันก็กระโดดขึ้นไปบนตัวของมู่ไป๋ไป่และนั่งลงในตำแหน่งประจำซึ่งก็คือไหล่ของเธอ “ข้าหายไปไม่กี่วันเจ้าก็มีสัตว์เลี้ยงใหม่เร็วถึงเพียงนี้เลยหรือ?”
“มิหนำซ้ำ สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเจ้ายังเป็นสุนัขตัวใหญ่อีก”
“นี่เจ้าจะทำให้ข้าโมโหตายหรืออย่างไร?”
“เจ้าหุบปากไปเลย” มู่ไป๋ไป่ตบหัวของเจ้าส้มเบา ๆ
“องค์หญิงหก ที่จู่ ๆ พระองค์ก็วิ่งพรวดพราดออกมาก็เพื่อตามหาแมวอ้วนตัวนี้อย่างนั้นหรือ?” อวี้เซิ่งจำเจ้าส้มได้ทันทีที่มองดูร่างกายอ้วนกลมของมัน เขาจึงถามขึ้นมาด้วยสีหน้าซับซ้อน “ช่วงที่ผ่านมามันหายไปไหน?”
แมวที่ถูกพาดพิงตะโกนประท้วงใส่ชายหนุ่มทันที “เจ้านั่นแหละอ้วน โคตรเหง้าตระกูลเจ้าก็อ้วน!”
“เห็นหรือไม่ ข้าไม่ใช่คนเดียวที่คิดเช่นนั้น” มู่ไป๋ไป่พยายามกลั้นยิ้มในขณะที่พยักหน้าให้อวี้เซิ่ง “ก่อนหน้านี้เจ้าส้มวิ่งหนีออกมาตามลำพัง ข้าก็เลยตามหามันอยู่นาน”
“แล้วเมื่อกี้ตอนที่ข้าอยู่ในห้องน้ำ จู่ ๆ ข้าก็เห็นมันอยู่บนกำแพง ข้าจึงรีบวิ่งออกมาเพราะกังวลว่ามันจะหนีหายไปอีก”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” อวี้เซิ่งลูบคางของตัวเองเบา ๆ “ในเมื่อตอนนี้เราหาแมวพบแล้ว เรารีบออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ”
เพราะที่นี่อยู่ด้านหลังห้องน้ำ ทำให้มีกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยมาตลอดเวลา
“ไปกันเถอะ…” มู่ไป๋ไป่กล่าวพลางมองดูแมวป่าที่อยู่ด้านข้างอย่างลังเล เธอยังไม่รู้เลยว่าจวนที่ตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองนั้นอยู่ตรงไหน
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าจู่ ๆ เธอบอกว่าให้ทุกคนเดินทางไปทางใต้ของเมืองเพื่อตามหาเด็กหาย แล้วเธอจะอธิบายให้พวกเขาฟังว่าอย่างไร?
มู่ไป๋ไป่เม้มปากพร้อมกับครุ่นคิดในใจ ก่อนจะเหลือบมองเจ้าแมวตัวโต
เจ้าส้มเข้าใจเจตนาของเด็กหญิงได้ทันที มันจึงกลอกตามองบน “ไม่มีทาง เจ้าจะใช้ข้าเพื่อแสดงละครอีกแล้วใช่หรือไม่?”
“เจ้าไม่คิดจะหาวิธีใหม่ ๆ บ้างหรือ?”
มู่ไป๋ไป่ไม่ตอบอะไรออกไป เธอหยิกก้นมันพร้อมกับกระซิบว่า “เจ้าขอให้เจ้าดำนำทางไปก่อน ข้าอยากจะไปจวนที่พวกเด็ก ๆ ถูกขังเอาไว้”
“เจ้าบอกมันไปว่าหากมันพาเราไปหาเด็กพวกนั้น เราจะตกรางวัลให้อย่างงาม”
“แง้ววว!” เจ้าส้มที่ถูกหยิกก้นส่งเสียงร้องเกินจริง จากนั้นมันก็กระโดดลงจากไหล่ของมู่ไป๋ไป่และรีบพุ่งเข้าไปหาเจ้าดำ ไม่กี่อึดใจต่อมา ทุกคนก็เห็นแมว 2 ตัวกระโดดขึ้นไปบนกำแพงพร้อมกันแล้ววิ่งไปทางตอนใต้ของเมือง
“โอ๊ะ! เจ้าส้มวิ่งหนีไปอีกแล้ว!” คนตัวเล็กตะโกนเสียงดังก่อนจะรีบวิ่งไปที่ด้านข้างของอวี้เซิ่ง แล้วทำท่าทางให้เขาอุ้มเธอขึ้นไป “เร็วเข้า รีบตามเจ้าส้มไป หลังจากที่เราจับเจ้าส้มกลับมาได้แล้ว เราค่อยไปตามหาคนหายต่อ!”
ชายหนุ่มที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องอุ้มองค์หญิงหกและไล่ตามเจ้าแมวอ้วนไป
ทางด้านหลัวเซียวเซียวก็ปีนขึ้นไปบนหลังของจื่อเฟิงเช่นกัน
ไม่นานมนุษย์ 4 คนกับหมาป่า 1 ตัวก็หายไปที่สุดถนน โดยไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าเซียวถังอี้ยังคงยืนจ้องแมวที่เหลืออย่างครุ่นคิด
ดูเหมือนว่าเมื่อครู่นี้เขาจะเจออะไรที่น่าสนใจเข้าแล้ว
เด็กน้อยคนนั้นดูไม่ธรรมดาเลย…
…
ขณะเดียวกัน ณ เรือนหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองหลวง
เสิ่นจวินเฉากำลังนั่งอยู่ที่มุมห้องในสภาพที่น่าสังเวช ไม่ไกลนัก มีเด็กกลุ่มหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าสะอาดกำลังแย่งกันกินข้าว
“พี่เสิ่น… พี่จะไม่กินข้าวจริง ๆ หรือ?”
ถัดจากเด็กชายมีเด็กคนหนึ่งที่อยู่ในสภาพน่าอนาถไม่แพ้เขา
แม้ว่าใบหน้าของเด็กคนนั้นจะดูไร้ความรู้สึก แต่โดยรวมแล้วนางก็ยังดูน่ารักมาก ด้วยดวงตากลมโตครู่หนึ่ง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเด็กคนนี้ดูเหมือนมู่ไป๋ไป่
“ไม่กิน” เสิ่นจวินเฉาหลับตาในขณะที่มือยังคงลูบจี้หยกที่เอวด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“แต่...” เด็กคนนั้นหันไปมองกลุ่มคนที่กำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย จากนั้นนางก็หันมามองเด็กชายตรงหน้า สุดท้ายแล้วนางก็โน้มตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับกระซิบ ในขณะที่กลืนน้ำลายเสียงดังว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่กินเช่นกัน พี่เสิ่นช่วยข้าไว้ ข้า… ข้าอยากจะติดตามท่าน”
“...” เสิ่นจวินเฉาไม่ได้ตอบอะไรออกไป
ใช่… นั่นเป็นเหตุผลที่เขาต้องมาอยู่ที่นี่
เมื่อ 2 วันก่อน ตอนที่เขากำลังจะออกไปเจรจาการค้า เขาเห็นคนกำลังขโมยเด็ก เขาจึงเข้าไปขวางอย่างกล้าหาญ
แต่โชคไม่ดีที่เจ้าโจรขโมยเด็กพวกนั้นมีผู้ช่วย ในขณะที่เขาไม่ทันตั้งตัว อีกฝ่ายก็ทำให้เขาหมดสติและลักพาตัวเขามาพร้อมกับเด็กคนนั้น
แล้วทันทีที่เขามาถึงสถานที่แห่งนี้ เขาก็พบว่าโจรลักพาตัวเด็กดูเหมือนจะไม่ได้ตื้นเขินอย่างที่คิด
กลุ่มโจรไม่ได้ทำอะไรรุนแรงกับเด็กพวกนี้ ขอเพียงแค่เหล่าเด็ก ๆ ยอมเชื่อฟัง พวกโจรก็จะมอบเสื้อผ้าสะอาดและอาหารอร่อยให้ทุกคนกิน
ด้วยเหตุนี้ ในไม่ช้าเด็ก ๆ ที่ถูกลักพาตัวมาก็ไม่คิดที่จะหลบหนีและยังรวมพลังกันเพื่อขัดขวางคนที่ต้องการหลบหนีอีกด้วย
ระหว่างที่เขาหลบหนีเมื่อเช้านี้ โชคไม่ดีที่เขาถูกเด็กคนหนึ่งค้นพบเข้าแล้วไปรายงานหัวหน้ากลุ่มโจร
แต่พวกโจรไม่ได้ทำร้ายเขา คนพวกนั้นเพียงแค่ไม่ให้น้ำและอาหารแก่เขาเท่านั้น
“ฮึ! คนบางคนไม่รู้ว่าอะไรดีไม่ดี” พวกเด็ก ๆ ที่กำลังรับประทานอาหารอยู่ตรงนั้นได้ยินการเคลื่อนไหวของเสิ่นจวินเฉา ก่อนที่จะตะโกนประชดประชันว่า “คนบางคนมีของดี ๆ ให้กินก็ไม่ยอมกิน เสแสร้งทำเป็นสูงส่งเหนือใคร”
เสิ่นจวินเฉาเหลือบมองเด็กชายคนที่พูด ซึ่งก็คือคนที่ไปแจ้งหัวหน้าโจรเมื่อเช้านี้
“พวกเจ้าไม่ต้องเลียนแบบเขา” เด็กชายที่วางเท้าข้างหนึ่งบนเก้าอี้และถือน่องไก่มันเยิ้มในมือพูดขึ้นมา “เราโชคดีแล้วที่ได้มาอยู่ที่นี่ ดูสิ ที่นี่มีทั้งเสื้อผ้าและอาหารดี ๆ ทั้งนั้น ดีกว่าตอนที่เราอยู่ที่บ้านอีก”
“แถมเราไม่ต้องทำอะไรตอบแทนด้วย”
“นี่ยังดีไม่พออีกหรือ?”
ในบรรดาเด็กที่อยู่รอบตัวเขา บางคนก็ก้มหน้าลงเงียบ ๆ ในขณะที่บางคนพยักหน้าเห็นด้วย
“ไม่! คนพวกนั้นเป็นคนไม่ดี!” เสิ่นจวินเฉาโต้กลับเด็ก ๆ เหล่านั้น “พวกมันพรากเรามาจากอกของพ่อแม่ นี่เจ้ายังกล้าพูดแทนคนพวกนี้อีกหรือ?”
“หุบปาก!” เด็กชายคนนั้นลุกขึ้นยืน “เด็กอย่างเจ้าจะไปรู้อะไร? ในตอนที่เราอยู่กับพ่อแม่น่ะหรือ? พ่อแม่จะต้องวิ่งโร่ออกไปนอกบ้านทุกวันเพื่อหาเลี้ยงพวกเรา แต่มันก็ยังไม่พอ ต้องลำบากพวกเราออกไปหากินเองด้วย ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ไม่เคยมีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่ ไม่มีอาหารดี ๆ ให้กินอิ่มท้องทุกวัน”
“ตอนนี้มันไม่เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเราและพ่อแม่ของพวกเราหรอกหรือ?”
“ไร้สาระ!” เด็กหญิงที่อยู่ข้างกายเสิ่นจวินเฉาต้องการจะตอบโต้อีกฝ่าย แต่เด็กชายเข้ามาขวางนางเอาไว้
“พี่เสิ่นดูพวกเขาสิ คนพวกนี้เป็นบ้าไปแล้ว”
“เสี่ยวฮวา อย่าไปสนใจพวกเขาเลย ทุกคนย่อมมีความทะเยอทะยานของตัวเอง”
‘เสี่ยวฮวา’ เด็กหญิงตัวน้อยที่เสิ่นจวินเฉาช่วยชีวิตเอาไว้เม้มปากแน่นพร้อมกับทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่นางก็ยังเด็กเกินไปและไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก ดังนั้นนางจึงจำใจต้องนั่งลงอย่างไม่ยินยอม