ตอนที่ 68 จะต้องสร้างรายได้มากมายอย่างแน่นอน
ตอนที่ 68 จะต้องสร้างรายได้มากมายอย่างแน่นอน
ฉู่เสวียนบินไปรอบ ๆ และพบว่าศิษย์พี่ทั้งสามคนของเขาอย่างหลี่ซวนหมิง, หลิวเจิ้งสง และอู๋ถง นั้นดูมีอายุขัยที่ลดลง ซึ่งมันก็ไม่แปลง เนื่องจากว่าบนภูเขาแห่งนี้ไม่มีทรัพยากร พวกเขาจึงไม่ได้ทำการฝึกฝน แต่พวกเขาก็มีเทคนิคที่จะทำให้อายุขัยของตนเองลดลงเพื่อชะลอการบ่มเพาะ
ท้ายที่สุดแล้ว หลังจากที่เข้าสู้เส้นทางของการฝึกฝนอมตะ ทุกคนก็จะมีอายุขัยไม่ต่ำกว่าสองร้อยปี
แม้แต่ผู้บำเพ็ญสายมาร ก็จะมีวิธีสายมารบางอย่างที่ทำให้อายุขัยของพวกเขาลดลง
พวกเขาทั้งหมดดูมีอายุอย่างน้อย 117-118 ปี ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีการลดอายุขัยลงสามถึงสี่ปี
สำหรับหวันอู๋อิง อาจารย์ของฉู่เสวียนและอีกสามคน เขาจะต้องทำการฝึกฝนอย่างสันโดษเป็นเวลาอย่างน้อยสิบปีในแต่ละครั้ง
อย่างไรก็ตาม ฉู่เสวียนยังค้นพบว่าศิษย์น้องทั้งสี่คนที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณ ได้แก่ สวีหมิง, เฉินเกอ, เว่ยหัวและไป่เฟิง ได้เดินทางเข้าๆ ออกๆ อาณาเขตของมนุษย์และนิกายเทียนหยินทุกวัน
เมื่อเขาบินไปบนท้องฟ้าด้วยดาบบังเหินเทียนกัง เขาก็เห็นเฉินเกอและเว่ยฮัวพากลุ่มช่างฝีมือเผ่ามนุษย์เดินไปตามทาง เมื่อพิจารณาจากทิศทางที่พวกเขาตรงไป ก็น่าจะไปยังที่ราบบริเวณอาณาเขตของถ้ำจีหยิน
“ช่วงที่ผ่านมานี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง” ฉู่เสวียนหันกลับมาและบินไปปรากฏตัวเหนือเฉินเกอและคนอื่น ๆ
เฉินเกอและเว่ยหัวสังเกตเห็นการปรากฏตัวของออร่าอันทรงพลัง จึงแสดงท่าทางระมัดระวังอย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ แต่หลังจากพบว่าเป็นฉู่เสวียน พวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที
เฉินเกอพูดอย่างมีความสุขว่า "ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็อาจารย์อาฉู่นี่เอง! อาจารย์อาฉู่ เจ้าปลีกวิเวกออกไปเพื่อทำการบ่มเพาะมาได้สองสามเดือนแล้ว เหตุใดเจ้าถึงออกมาจากการปลีกวิเวกเล่า?"
ในอดีต เฉินเกอและเว่ยฮัวเป็นเพื่อนกับฉู่เสวียนมาก่อน แต่ตอนนี้ฉู่เสวียนได้เลือนระดับ และทะลวงเข้าสู่ช่วงสร้างรากฐานแล้วพวกเขาจึงเรียกฉู่เสวียนว่าอาจารย์อาฉู่แทน แต่ลึกๆ แล้วพวกเขาก็ยังคงภูมิใจที่เคยเป็นเพื่อนกับฉู่เสวียนมาก่อน
เว่ยหัวก็ได้มองไปที่มนุษย์คนนั้นและพูดเสียงดังว่า "นี่คือปรมาจารย์ลัทธิเต๋าที่อยู่ในช่วงสร้างรากฐานของถ้ำจีหยินของเรา อาจารย์อาฉู่ ...ฉู่เสวียน!"
ในสายตาของเว่ยหัวที่มองมายังฉู่เสวียนนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม ยิ่งเว่ยหัวพูดถึงฉู่เสวียนมากเท่าไหร่ เขาก็รู้สึกประทับใจในตัวของอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น
นักบวชลัทธิเต๋าที่อยู่ในช่วงสร้างรากฐาน!
ในสายตาของมนุษย์ที่ไม่สามารถทำการบ่มเพาะได้นั้น พวกเขาก็เป็นดังเทพอยู่แล้ว!
“ข้าไม่มีอะไรทำ เดี๋ยวข้าจะพาพวกเจ้าไปยังจุดหมายเอง” ฉู่เสวียนพูดอย่างไม่เป็นทางการ
เฉินเกอและเว่ยหัวรู้สึกซาบซึ้งใจ "ขอบคุณมาก อาจารย์อา!"
พวกมนุษย์ก็รู้สึกขอบคุณเช่นกัน
อู๋โจวเต็มไปด้วยสัตว์มีพิษอยู่ทุกหนทุกแห่ง ในเวลากลางคืนก็มีวิญญาณชั่วร้ายด้วย แม้ว่าจะมีนักบวชลัทธิเต๋าที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณอย่างเฉินเกอและเว่ยหัวคอยคุ้มกันพวกเขาอยู่ แต่ก็จะมีผู้เสียชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี และอัตราการตายของมนุษย์กลุ่มก่อนหน้านี้ก็มีมากถึง 30%
แต่ตอนนี้นักบวชลัทธิเต๋าที่อยู่ในช่วงสร้างรากฐานได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว
สิ่งนี้ก็จะรับประกันความปลอดภัยของพวกเขาได้มากขึ้นไปอีก
“เฉินเกอ มานี่สิ” ฉู่เสวียนโบกมือ
จากนั้นเฉินเกอก็เข้ามาหาเขาพร้อมกับเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
เขาคิดว่าเป็นเพราะเขาทำสิ่งต่าง ๆ ได้ไม่ดีนัก ฉู่เสวียนจึงคิดที่จะลงโทษเขา
แต่เมื่อเห็นสีหน้าแบบนี้ของเฉินเกอ ฉู่เสวียนก็รู้สึกขบขัน "ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้จะลงโทษเจ้า ข้าแค่จะถามคำถามบางอย่างกับเจ้าก็เท่านั้น"
เมื่อได้ยิน เฉินเกอก็ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแล้วพูดว่า "อาจารย์อาฉู่ถามข้ามาได้เลยขอรับ ข้าพร้อมตอบ ”
เมื่อทั้งสองได้พูดคุยกันแล้ว ฉู่เสวียนก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาอย่างคร่าว ๆ
ตามที่เขาคาดไว้ ห้านิกายฝ่ายธรรมะไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวใดๆ
เรื่องที่หวันอู๋อิงหนีออกจากคฤหาสน์หยุนอู๋ และฮุยคงอัจฉริยะของวัดจินหลงได้เสียชีวิตลงยังคงถูกเก็บเงียบ เห็นได้ชัดว่านิกายเสินกังและวัดจินหลงรู้สึกอับอายที่ต้องกระจายข่าวนี้ออกไป เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก
เมื่อผู้บ่มเพาะทั้งอาณาจักรรู้ว่านิกายเสินกังผู้นำของนิกายฝ่ายธรรมะทั้งห้า จริงๆ แล้วแอบกักขังหวันอู๋อิงเพื่อเอาเลือดของเขามาสังเวยให้กับวิญญาณชั่วร้ายเพื่อมาช่วยขัดเกลาปราณกระบี่ของเขา มันจะต้องทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นมาในอาณาจักรหยูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน
สถานะของนิกายเสินกังในฐานะผู้นำของนิกายฝ่ายธรรมะทั้งห้า จะต้องได้รับผลกระทบอย่างมาก
ผู้บ่มเพาะทั่วทวีปก็จะรู้ว่านิกายเสินกังและวัดจินหลงที่สวมหน้ากากว่าเป็นนิกายฝ่ายธรรมะทั้งคู่ แท้จริงแล้วพวกเขากำลังลวงโลกเพื่อทำให้ตนเองน่าเลื่อมใส่ศรัทธา!
“...โอ้ อาจารย์อาฉู่ ข้ายังมีเรื่องสำคัญอยู่อีกเรื่องหนึ่ง” เฉินเกอกระซิบ “นิกายเทียนหยินกำลังเตรียมทำสงครามกับนิกายพื้นเมืองของแคว้นอู๋โจว ว่ากันว่าบรรพบุรุษแก่นปราณทองคำถูกนิกายพื้นเมืองของแคว้นอู๋โจวลอบทำร้าย จนตอนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส มันจึงสงผลทำให้ภูเขาเทียนหยินเร่งความเร็วขึ้น”
ฉู่เสวียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เขารู้สึกมานานแล้วว่านิกายเทียนหยินมักจะจัดการสิ่งต่างๆ ได้ไม่ดีนัก
ทั้งที่พวกเขาควรจะรวบรวมความแข็งแกร่งทั้งหมดของนิกายและเคลื่อนทัพไปทางทิศตะวันออกเพื่อกวาดล้างนิกายพื้นเมือง ของแคว้นอู๋โจวลงไปให้หมด ด้วยช่องว่างของความแข็งแกร่งนี้ พวกเขาย่อมชนะได้อยู่แล้ว
แต่กลับส่งให้ผู้บ่มเพาะกลุ่มเล็กๆ ออกมาสร้างห้องโถงเฟยซานและอพยพมนุษย์
ส่งผลให้เกิดการรุกล้ำอาณาเขตของนิกายพื้นเมือง จนเกิดความไม่พอใจขึ้นมาและต่อสู้กันจนบรรพบุรุษแก่นปราณทองคำจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและตกอยู่ในอาการโคม่า แล้วคนอื่นๆ พวกเจ้ามัวทำอะไรอยู่
อย่างไรก็ตาม จริงๆ แล้วมันก็ไม่ยากที่จะคาดเดา เขาคาดว่าน่าจะมีการแย่งชิงอำนาจภายในนิกายเทียนหยินเกิดขึ้น
นิกายพื้นเมืองของแคว้นอู๋โจวนั้นเป็นเพียงนิกายเล็กๆ จะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอก็อยู่ที่ว่าจะจัดการหรือไม่ หากว่านิกายเทียนหยินรวมมือกันเพื่อจัดการ นิกายพื้นเมืองก็จะถูกกำจัดออกไปอย่างแน่นอน
แต่เพื่อปกป้องตนเอง นิกายพื้นเมืองจึงต้องต่อสู้กลับเต็มกำลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
จึงส่งผลทำให้ผู้บ่มเพาะบางคนในนิกายเทียนหยินต้องได้รับบาดเจ็บหรือแม้กระทั่งเสียชีวิตลงไป
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคงจะแบ่งพรรคแบ่งพวกกัน หากฝ่ายใดสามารถจัดการกับนิกายพื้นเมืองของแคว้นอู๋โจวได้ ก็จะได้เป็นผู้นำ
แต่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน พวกเขาก็ต้องรวมรวบความแข็งแกร่งของตนเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่จะได้คว้าชัยชนะมา! ฉะนั้นแม้แต่บรรพบุรุษแก่นปราณทองคำก็ถูกรวบรวมให้มาช่วยต่อสู้
ในฐานะหนึ่งในห้านิกายฝ่ายธรรมะ นิกายเทียนหยินนั้นมีอาณาเขตอันกว้างใหญ่และมีศิษย์จำนวนมาก ดังนั้นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เฉินเกอยังกระซิบออกมาเบาๆว่า "ตอนนี้ผู้บ่มเพาะของนิกายจำนวนมากที่เดินทางมาจากห้องโถงใหญ่ของภูเขาเทียนหยิน ได้มาถึงห้องโถงเฟยซานแล้ว"
“โดยมีผู้บ่มเพาะห้าคนที่อยู่ในช่วงสร้างรากฐาน และยังมีศิษย์ที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณอีกมากมาย รวมแล้วประมาณ70-80 คน นี่เป็นเพียงชุดแรกเท่านั้น ข้าเห็นคนเหล่านี้ดูหดหู่ใจ ดูเหมือนพวกเขาจะหงุดหงิดที่ถูกส่งมาที่นี่”
ฉู่เสวียนพยักหน้าเล็กน้อย ไม่มีใครอยากเสี่ยงชีวิตกันทั้งนั้น และที่สำคัญผู้บ่มเพาะชุดแรกที่ถูกส่งเข้าสู่สนามรบนั้นมีอัตราการตายที่สูงกว่าชุดอื่นๆ และผู้บ่มเพาะกลุ่มแรกที่ถูกโยนเข้าไปในสนามรบ ก็ไม่ต่างจากเหยื่อของการต่อสู้ในครั้งนี้
เฉินเกอยังหัวเราะออกมาเบา ๆ “อาจารย์อาฉู่ ที่สำคัญคือคนพวกนี้สรรหาวิธีการทุกประเภทมาพัฒนาตนเอง แม้แต่วิชามารของเรา ก็ไม่เว้น”
ฉู่เสวียนหัวเราะเบา ๆ "เมื่อมองดูเจ้าแล้ว ดูเหมือนเจ้าเองก็จะทำเงินได้มากมายจากมันนะ"
เฉินเกอยิ้มราวกับจิ้งจอกเฒ่า "เฮ่เฮ่เฮ่ มันเป็นเพียงกำไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้มาจากผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณเท่านั้น ถ้าอาจารย์ฉู่สนใจ ก็ไปกับข้าได้ เจ้าอาจจะทำเงินได้มากมายกับการค้าขายในครั้งนี้!”
หัวใจของฉู่เสวียนขยับ นี่ถือเป็นความคิดที่ดี ผู้บ่มเพาะกลุ่มแรกที่ต้องลงสนามรบ จะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งในการปกป้องตนเอง
เขาเองก็ได้สะสมลูกปัดโลหิตทั้งเม็ดเล็กเม็ดใหญ่ไว้มากมาย ทั้งศพหยินและปราณปีศาจ ตลอดจนเทคนิคต่างๆ ตำรา และอาวุธเวทย์มนตร์ที่ได้รับมาจากการฆ่าผู้บำเพ็ญฝ่ายธรรมะมากมาย
มันต้องได้ราคาดีมากแน่ๆ!
"ไม่เลว" ฉู่เสวียนพยักหน้าเล็กน้อยและมองเฉินเกอด้วยความชื่นชม
เฉินเกอเข้าใจทันทีและพูดอย่างรวดเร็วว่า "ข้ารู้ที่ตั้งของตลาดมืด เมื่อคุ้มกันมนุษย์เหล่านี้ไปถึงที่หมายแล้ว ข้าจะพาอาจารย์อาฉู่ไปที่นั่นเอง!"
ฉู่เสวียนยิ้มเล็กน้อย เจ้าเด็กคนนี้อยู่เป็นไม่น้อย
ในฐานะผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐาน ฉู่เสวียนได้คุ้มกันพวกเขาไปตลอดทางเป็นการส่วนตัว จึงไม่มีอุบัติเหตุใดๆเกิดขึ้นระหว่างทางเลย ผู้บ่มเพาะพื้นเมืองที่ต้องการฆ่ามนุษย์ต่างก็ถอยกลับทันทีเมื่อสังเกตเห็นรัศมีของฉู่เสวียน
ให้ตายเถอะ ไม่คิดเลยว่าผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานจะมาคุ้มกันมนุษย์ที่อพยพ?
นี่มันกลั่นแกล้งกันชัดๆ