ตอนที่แล้วบทที่ 223 เสียสละ (4)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 225 เสียสละ (6)

บทที่ 224 เสียสละ (5)


[แปลโดยฝีมือ...ยักษาแปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ\]

[Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย]

[หลังแปลจบ คิดว่าจะมีการเกลาคำเบื้องต้น แก้คำผิด ปรับสำนวนให้สละสลวย เทียบคำต่อคำ ขอบคุณที่ให้การสนับสนุนกันเสมอมานะครับ]

บทที่ 224 เสียสละ (5)

บนดาดฟ้าที่ว่างเปล่า บัดนี้เหลือเพียงคังวูจินยืนอยู่เพียงลำพัง สายตาของเขาทอดมองไปเบื้องหน้ายังไง้จุดหมาย ราวกับไม่รับรู้ถึงความน่าหวาดกลัวของสถานที่ ที่ซึ่งเพิ่งมีชีวิตหนึ่งร่วงหล่นลงไป

กล้องค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหาเขา บันทึกภาพใบหน้าเรียบเฉย ไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ ขณะที่คิโยชิ ผู้เฝ้ามองอยู่เบื้องหลังเลนส์ กลับรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกมาอย่างประหลาด

ความเงียบปกคลุมไปทั่วบริเวณ มีเพียงเสียงลมแผ่วเบาที่พัดผ่าน

ท่ามกลางความว่างเปล่านั้น...

“ซ่า...”

เศษละธุลีสีขาวโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ราวกับภาพลวงตา ลอยละลิ่วผ่านช่องว่างระหว่างคังวูจินกับกล้อง

“อืม?” วูจินเอียงศีรษะขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเหลือบมอง เกล็ดสีขาวนั้นค่อย ๆ โปรยปรายลงมามากขึ้น เรื่อย ๆ มันคือหิมะ ท่ามกลางบรรยากาศอันน่าสยดสยองของหมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้ การปรากฏตัวของหิมะกลับสร้างม่านหมอกแห่งความเศร้าสร้อย ให้แผ่ซ่านไปทั่วอย่างน่าประหลาด

วูจินค่อย ๆ ยื่นมือออกไป สัมผัสกับเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงมา แม้จะเป็นเพียงหิมะปลอมที่ถูกสร้างขึ้น แต่สัมผัสของมันในมุมมองของคิโยชิ กลับให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก จนสัมผัสได้ถึงความเหน็บหนาว

“ว่าจะมาก็มาสินะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบ ไร้ความหวั่นไหว

“ลงไปกันเถอะ”

วูจินพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหันหลังกลับ เดินอย่างสบาย ๆ ออกจากดาดฟ้าไป ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า และความรู้สึกหนุกเย็นไว้เบื้องหลัง กล้องเคลื่อนตามร่างของเขาไป เหมือนเฝงความรู้สึก เฝ้ามองทุกการกระทำอย่างเงียบงัน

"คัต!" เสียงเข้มของ เคียวทาโร่ ผู้กำกับ ดังก้องกังวาน สั่งให้ฉากเดิมถ่ายทำซ้ำอีกครั้ง หลังจากผ่านไปแล้วถึงสองเทค เสียง "โอเค" ดังขึ้น เป็นสัญญาณให้ทีมงานเร่งเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ลงไปจัดเตรียมฉากแอ็คชั่นเบื้องล่าง

ไม่นานนัก คังวูจินก็ก้าวออกมาจากตัวอาคาร เขากวาดสายตาไปทางซ้าย

"......"

ดวงตาคมกริบไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ จ้องมองร่างไร้วิญญาณของชายผู้หนึ่งที่นอนจมกองเลือดอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าหล่อเหลานิ่งเฉย เย็นชา ราวกับหุ่นยนต์ไร้หัวใจ คังวูจินค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้

คนไร้บ้านงั้นหรือ? ไม่สิ...เป็นมิซากิ ชูโทคุ ต่างหาก

เลนส์กล้องบันทึกภาพร่างที่แหลกเหลวอย่างชัดเจน

มิซากิ โทกะ พ่อของเธอ วูจินตามหาเขาก่อนเริ่มภารกิจ 1 ปี

‘สวัสดีครับ ผมชื่ออิโยตะ คิโยชิครับ’

วูจินนึกถึงครั้งแรกที่พบกับชายคนนี้ ชูโทคุในตอนนั้นใช้ชีวิตอย่างคนสิ้นหวัง ราวกับร่างไร้วิญญาณ ภรรยาของเขาเสียสติหลังจากลูกสาวจากไป ทิ้งให้เขาอยู่เพียงลำพัง ไร้ซึ่งสิ่งใด นอกจากร่างกายที่ว่างเปล่า

แต่ วูจินคือผู้มอบชีวิตใหม่ให้เขาอีกครั้ง

‘ลูกสาวของคุณไม่ได้ฆ่าตัวตายครับ แต่เธอถูกฆาตกรรม’

ทุกสิ่งที่เขารู้ ทุกเรื่องราวที่ลูกสาวของเขาต้องเผชิญ สร้างความแค้นคลั่งให้กับชูโทคุ ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่คิโยชิคาดการณ์ไว้แล้ว ชูโทคุในตอนนั้นกำหมัดแน่น เขามีเป้าหมายในชีวิตอีกครั้ง เขามีชีวิตอยู่เพื่อแก้แค้นให้ลูกสาว และใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างคิโยชิ

และไม่กี่นาทีที่ผ่านมา การเดินทางของเขาทั้งสองก็จบลง

คิโยชิ หรือ คังวูจิน ในตอนนี้ จ้องมองร่างของชูโทคุที่นอนแน่นิ่ง เกล็ดหิมะสีขาวโปรยปรายลงมา ปกคลุมร่างที่เย็นชืด ดวงตาของเขาแห้งผาก ไร้ซึ่งน้ำตา

อ่า...น่าจะห้ามเขาไว้

"ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลย" คังวูจินพึมพำกับตัวเองเบา ๆ

คังวูจินร่างบทภาพยนตร์ไว้ในหัว บทที่สมมติว่าชูโทคุยังมีชีวิตอยู่ วางแผนไว้แล้วว่าจะสร้างความสับสนให้กับรูปคดียังไง จะออกคำสั่งใดให้กับชูโทคุ แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว สายตาของเขาทอดมองร่างของชูโทคุที่เย็นเฉียบลงทุกขณะ

“ผมอยากจะปกปิดทุกอย่างให้คุณ แต่คงลำบาก”

แม้รู้ดีว่าจะไม่ได้รับคำตอบใด ๆ เขาก็ยังเอ่ยถามออกไป

“เพราะถ้ายุ่งกับอะไรล่ะก็ คนอื่นจะรู้ว่ามีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง”

“…”

ความเงียบเข้าปกคลุมตามคาด ไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบตอบกลับ ทว่าขณะที่วูจินหันหลังกลับ เขากลับชะงัก เสียงกระซิบแผ่วเบาของชูโทคุที่ไม่น่าจะได้ยิน แว่วมาข้างหู

‘ขอบใจนะ ตอนนี้เธอก็ไปตามทางของเธอเถอะ’

ในสถานที่ถ่ายทำจริง เสียงนี้ไม่ได้ดังขึ้น เสียงของชูโทคุจะถูกแทรกเข้าไปในภายหลัง แต่ตอนนี้มีเพียงความเงียบและกล้องที่ซูมเข้ามาใกล้ จับภาพใบหน้าเรียบเฉยของคังวูจิน เปลือกตาของเขากระพริบอย่างสงบ บอกเล่าสถานการณ์ในตอนนี้ได้เป็นอย่างดี

แม้กระทั่งแววตาที่ไร้วิญญาณก็ยังสั่นไหวเล็กน้อย

ถึงแม้สีหน้าภายนอกจะดูว่างเปล่า แต่ความสั่นสะเทือนภายในที่ไร้เสียงก็แสดงออกมาอย่างชัดเจน ราว 5 วินาที วูจินที่ไร้ปฏิกิริยาใด ๆ ก็ขยับเท้าอีกครั้ง

-ตึก ตึก

หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาหนาขึ้นเรื่อย ๆ วูจินหยุดเดินที่ท่าเรือ ซึ่งมีเรือไม้จอดอยู่ 2 ลำ กล้องจับภาพด้านหลังของเขา อีกลำหนึ่งถ่ายภาพคินโจที่เปลือยกายขดตัวอยู่ในเรืออีกลำ

ดวงตาของเขาเบิกกว้าง แต่ร่างกายกลับไม่ขยับเขยื้อน

ที่ลำคอมีรอยแปลกประหลาด หิมะสีขาวบริสุทธิ์กำลังโปรยปรายลงมาปกคลุมทั่วร่าง คินโจสิ้นใจแล้ว คังวูจินมองดูคินโจอย่างไม่รู้สึกรู้สา ก่อนจะล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

-สวบ

กระดาษแผ่นนั้นยับยู่ยี่ วูจินค่อย ๆ คลี่มันออกทีละชั้น ทีละชั้น บนนั้นปรากฏรายชื่อของคนทั้ง 9 ชีวิต และมีหนึ่งในนั้นที่ถูกขีดฆ่าด้วยเครื่องหมายกากบาท 'X' นั่นคือชื่อของ 'โคนาคายามะ คินโจ'

"คนที่สองแล้วสินะ" วูจินพึมพำกับตัวเอง

สายตาคมกริบเลื่อนขึ้นไปยังชื่อที่อยู่เหนือชื่อของคินโจ 'โฮริโนจิ อามิเอะ' หญิงสาวผู้จบชีวิตลงด้วยสะเก็ดดอกไม้ไฟ

วูจินจ้องมองรายชื่อเหล่านั้นอย่างเงียบงัน นานเท่าใดก็ไม่อาจทราบได้ ก่อนจะพับกระดาษแผ่นนั้นอย่างเบามือ แล้วสอดเก็บเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทอย่างมิดชิด

"หนาวชะมัด"

เขาพึมพำอีกครั้ง พลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบนที่พร่างพราวไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ กล้องค่อย ๆ ซูมออก เผยให้เห็นภาพของวูจินที่ยืนหันหลังอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์นวลผ่อง ทะเลกว้างเบื้องหน้าสะท้อนเงาจันทร์เป็นประกายระยิบระยับ ตัดกับเกล็ดหิมะขาวโพลนที่โปรยปรายลงมา

ทิวทัศน์ที่งดงามราวกับภาพวาด แต่แฝงไว้ด้วยความลึกลับน่าขนลุก

ภาพทั้งหมดถูกส่งต่อมายังหน้าจอมอนิเตอร์คิว ผู้กำกับจ้องมองมันด้วยแววตาจริงจัง ขณะที่อาคาริ นักเขียนหญิง ผู้เขียนบทเรื่องนี้ ถึงกับต้องเอามือขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้ด้วยความตื้นตัน เธอค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองภาพเบื้องหน้า วูจินที่ยืนโดดเด่นอยู่บนหน้าจอ

'อิโยะตะ คิโยะชิ' ตัวละครที่เธอสร้างขึ้น เขากลายเป็นความจริง และยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว

ในฐานะเจ้าของผลงานต้นฉบับ 'บุปผาเร้น' เธอกำลังรู้สึกท่วมท้นจนแทบจะสิ้นสติ

'แบบนี้เนี่ยนะ… ได้เห็นอะไรแบบนี้จริง ๆ เหรอเนี่ย'

ดวงตาคู่สวยเริ่มเอ่อคลอ น้ำตาแห่งความปิติเอ่อล้น ทุกตัวอักษรที่เธอบรรจงร้อยเรียง ได้กลายมาเป็นภาพที่แฟน ๆ นับล้านต่างเฝ้ารอคอย และมันไม่ได้เป็นแค่การนำเรื่องราวมาเล่าใหม่ แต่มันเหมือนกับว่าโลกในนิยายที่เธอสร้างขึ้น ถูกดึงออกมาจนมาตั้งอยู่ตรงหน้าอย่างนั้นล่ะ

“งามเลิศ... คงไม่มีนักเขียนคนไหนในโลกนี้ที่สามารถถ่ายทอดมันออกมาได้ขนาดนี้อีกแล้ว ถ้าไม่ใช่วูจิน... ใช่แล้ว ถ้าไม่ใช่อิโยะตะ คิโยะชิ ล่ะก็...”

นักเขียนต้นฉบับซึ้งใจยิ่ง ยามผลงานของตนถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพ เธอต้องยอมรับความจริงที่ว่า มันคงไม่อาจเหมือนกับโลกในจินตนาการที่เธอสรรค์สร้างขึ้นมาได้ แต่สำหรับนักเขียนอากิริในตอนนี้ เธอกลับรู้สึกราวกับว่าตนเองก้าวข้ามผ่านกำแพงแห่งความจริง กำแพงที่กั้นระหว่างโลกแห่งความจริงกับโลกในจินตนาการเข้ามาแล้ว

ณ ที่แห่งนี้ คือโลกของ 'บุปผาเร้น'

และความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในใจของเธอเวลานี้ คือความปรารถนาอันแรงกล้า

‘เร็วเข้า... อยากให้ทุกคนที่เคยอ่านผลงานของฉัน ได้เห็นมันเร็ว ๆ จัง’

ผลงานชิ้นเอกที่ถูกเนรมิตขึ้นใหม่โดยคังวูจิน 'บุปผาเร้น' เธออยากจะเปิดเผยให้ผู้อ่านทุกคนได้สัมผัสกับโลกใบนี้ โลกที่เธอเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา แม้แต่ตัวผู้เขียนเองยังรู้สึกตื่นเต้นได้ถึงเพียงนี้ แล้วแฟน ๆ ที่อ่านและชื่นชอบผลงานชิ้นนี้จะตื่นเต้นขนาดไหน

ไม่เพียงแต่เธอ ผู้กำกับเคียวทาโร่เองก็รู้สึกไม่ต่างกัน

‘การแสดง... วูจิน การแสดงของนายมันยอดเยี่ยมมาก ตอนอ่านบทฉันก็อ้าปากค้างไปแล้ว แต่พอได้เห็นกับตา ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความยืดหยุ่น หรืออะไรก็ตามที่ไม่สามารถอธิบายได้ มันให้ความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง'

แม้จะให้ความสำคัญกับการกำกับเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ให้ความสำคัญกับการแสดงของคังวูจินไม่แพ้กัน

‘ถึงจะเป็นความสามารถที่คนทั่วโลกยอมรับอยู่แล้ว แต่การแสดงของนาย มันก็ยังคงพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด'

ความรู้สึกโล่งอกผสมปนเปกับความตื่นเต้นแล่นผ่านเข้ามาในหัวใจ

‘รังสีอำมหิตที่ชัดเจน แต่ว่างเปล่า... ใครจะแสดงออกมาได้ นอกจากคุณวูจินแล้วคงไม่มีใครทำได้อีกแล้ว’

ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ

‘เขาเป็นอสูรกายอย่างแท้จริง อิโยะตะ คิโยะชิ ที่เขาสร้างขึ้นมานั้น จะต้องกลายเป็นประวัติศาสตร์ของวงการภาพยนตร์ญี่ปุ่นอย่างแน่นอน’

ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งกองถ่ายชั่วขณะ

คังวูจินที่เงยหน้ามองหิมะก็หยุดนิ่ง กล้องที่กำลังถ่ายด้านหลังของเขาและทีมงานอีกหลายสิบคนต่างก็กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เหล่านักแสดงคนอื่น ๆ ที่แม้จะไม่ได้เข้าฉาก แต่ก็ออกมาดู ต่างก็เฝ้ามองการแสดงของวูจินด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเลื่อมใส

“······”

“······”

ความเงียบสงัดปกคลุมไปทั่วบริเวณราวกับม่านหมอกหนาวเย็นจนแทบลืมหายใจ บรรยากาศตึงเครียดจนอึดอัดจนสัมผัสได้

และในเสี้ยววินาทีนั้นเอง

“คัต!!”

เสียงตวาดดังก้องของเคียวทาโร่ ผู้กำกับมากฝีมือ ดังกึกก้องไปทั่วกองถ่าย

“โอเค!!!”

แน่นอนว่าฉากนี้ผ่านฉลุยในเทคเดียว

เวลาล่วงเลยผ่านไปสามสิบนาที

บริเวณกองถ่าย ‘บุปผาเร้น’ คลาคล่ำไปด้วยผู้คน แม้เวลาจะล่วงเลยห้าโมงเย็น ทีมงานหลายสิบชีวิตยังคงขะมักเขม้นกับการเก็บกวาดอุปกรณ์ต่าง ๆ แม้การถ่ายทำในวันนี้จะเสร็จสิ้นลงแล้ว แต่การถ่ายทำในวันรุ่งขึ้นยังรอคอยพวกเขาอยู่ตั้งแต่เช้าตรู่

ท่ามกลางผู้คนที่กำลังวุ่นวาย เคียวทาโร่ ผู้กำกับระดับปรมาจารย์ เดินทักทายและให้กำลังใจนักแสดงที่กำลังพักผ่อนอยู่ ไม่เว้นแม้แต่นักแสดงสมทบที่รับบทคนจรจัดอย่างมิซากิ ชูโทคุ และนักแสดงหนุ่มดาวรุ่ง

“ฮ่า ๆ ๆ เหนื่อยกันหน่อยนะ ฉากบนดาดฟ้านี่แสดงได้ยอดเยี่ยมมาก”

“ขอบคุณครับ ผู้กำกับ”

คินโจ หรือยาสุตะเอ่ยขึ้น

“ส่วนคุณโอกิโมโตะ ฉากตั้งแต่ช่วงกลางเรื่องจนถึงตอนจบ คุณแสดงอารมณ์ออกมาได้ดีมาก ทั้งน้ำเสียงและแววตา มันตรงกับที่ผมต้องการเลย”

“อย่างงั้นหรือครับ?”

“ใช่แล้ว ทั้งผมและคนเขียนบท เราอยากเห็นคินโจแบบนี้แหละ หรือว่าที่จริงแล้ว คุณแอบไปฝึกวิชาการแสดงขั้นเทพมางั้นหรือ? ฮ่า ๆ ๆ”

“อ อ๊ะ ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ!”

“เอาล่ะ ๆ ทุกคนทำงานกันหนักมากแล้ว พรุ่งนี้เช้าก็ฝากตัวด้วยล่ะ ถึงการแต่งหน้าเป็นศพหรือท่าทางจะลำบากหน่อยก็ตามเถอะนะ”

“ได้เลยครับ!”

ยาสุตะในชุดเสื้อโค้ทหนาที่ปกปิดร่างกายเปลือยเปล่า เบื้องหลังดวงตาทอประกายเปี่ยมล้นไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า เขาได้รับคำชมจากเคียวทาโร่ ทาโนะงูจิ ผู้กำกับที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในปรมาจารย์แห่งวงการภาพยนตร์ญี่ปุ่น ชีวิตของเขาจะต้องก้าวหน้ากว่านี้ เขาจะต้องโด่งดัง เขาจะต้องประสบความสำเร็จให้ได้

ไม่นานนัก ผู้กำกับเคียวทาโร่ในชุดลองแพดดิงสีกรมท่า ก็เดินตรงมายังคังวูจินที่กำลังสนทนากับชเวซองกุน

“คุณวูจิน”

เมื่อได้ยินเสียงทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่น วูจินซึ่งเดิมทีทำสีหน้าเรียบเฉยก็หันกลับไปมองคู่สนทนาแวบหนึ่ง ก่อนจะปรับน้ำเสียงให้สุภาพอ่อนโยนลง

“อ๊ะ ผู้กำกับครับ เหนื่อยหน่อยนะครับ”

“ไม่หรอกครับ คุณวูจินต่างหากที่เหนื่อยที่สุด พรุ่งนี้คุณวูจินถ่ายบ่าย ค่อย ๆ พักผ่อนก็ได้นะครับ”

“ครับ ผู้กำกับ”

ฝ่ายชเวซองกุนที่ยืนอยู่ด้านหลังเห็นบทสนทนาของทั้งคู่ ก็พาลูกทีมอย่างฮันเยจองถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ปล่อยให้ผู้กำกับเคียวทาโร่เข้าไปหาคังวูจินที่กำลังอินกับบทบาท จากนั้นผู้กำกับเคียวทาโร่ก็เผยยิ้มบาง ๆ

“ตอนถ่ายทำ คุณบอกอะไรกับคุณโอกิโมโตะไปงั้นเหรอครับ?”

เขาหมายถึงยาสุตะ ในสายตาของผู้กำกับเคียวทาโร่ คังวูจินคือคนให้คำแนะนำจนทำให้ยาสุตะแสดงได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนวูจินพอได้ยินผู้กำกับเคียวทาโร่เอ่ยถาม ก็คิดในใจ 'อะไรนะ? ฉันไปบอกอะไรเขาน่ะ?' สักพักเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่อยู่บนเรือ เขาเคยเตือนยาสุตะเรื่องการหายใจ

'อ้อ เรื่องนั้นเอง'

วูจินคิดว่าผู้กำกับเคียวทาโร่คงเห็นเหตุการณ์นั้นจากในมอนิเตอร์ เขาจึงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย

“ครับ ใช่ครับ พอดีผมเห็นเขาดูกังวลจนเครียดครับ”

“งี้เอง!” ผู้กำกับเคียวทาโร่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้าง

“ขอบคุณนะ คุณนี่ทำหน้าที่แทนผมเลย”

“ไม่เป็นไรครับ ผมว่าใครเห็นก็ต้องบอกแบบนั้นแหละครับ ป้องกันอุบัติเหตุไว้ก่อน”

“อุบัติเหตุ... ใช่แล้ว ถ้าปล่อยไปแบบนั้น วันนี้อาจจะถ่ายไม่ได้เลยก็ได้นะ”

'ถ้าเกิดนักแสดงเป็นลมไปคงไม่ได้ถ่ายแค่ไม่กี่วันหรอกมั้ง' คังวูจินคิดในใจ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

"ดีแล้วครับที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี"

"แค่นั้นก็ถือว่าแสดงได้ดีมากแล้วล่ะ... ไม่คิดเลยว่าคุณวูจินจะใส่ใจดูแลสภาพจิตใจนักแสดงคนอื่นได้ขนาดนี้ นึกว่าจะมีแต่บุคลิกเย็นชาเสียอีก ว่าแต่คุณวูจินไปพูดอะไรกับเขาหรือ โอกิโมโตะถึงกับบอกว่าคุณวูจินปลุกสัญชาตญาณการแสดงของเขาขึ้นมาได้"

เอ๋? ปลุกสัญชาตญาณการแสดง? คำแนะนำ? ฉันรู้สึกเหมือนจะไม่ตรงประเด็นเอาเสียเลย แต่วูจินก็ตอบแบบขอไปที

"ผมแค่บอกให้เขาหายใจช้า ๆ ลงเท่านั้นเอง"

"หายใจเหรอ? สำหรับโอกิโมโตะในตอนนี้ คงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้วล่ะนะ"

ทั้งคู่ต่างคนต่างพูด แต่แปลกที่การสนทนากลับเป็นไปอย่างราบรื่น พอถึงตอนนั้น ยาสุตะที่ได้พบกับนักแสดงนำของ 'บุปผาเร้น' ก็โดนรุมถาม

"ยาสุตะ เมื่อกี้นายอยู่บนเรือกับคังวูจิน ทำอะไรกัน? ตั้งแต่ตอนนั้นมา ฉันรู้สึกว่าอารมณ์การแสดงของนายเปลี่ยนไปเลย"

"ใช่ ๆ คุณวูจินเขาให้คำแนะนำอะไรนายหรือเปล่า? เขาพูดอะไรกับนายกันแน่-"

"เขาสอนทักษะการแสดงอะไรนายงั้นเหรอ??"

ยาสุตะ ใบหน้าหล่อเหลาราวกับดอกไม้ผุดยิ้ม ก่อนจะพยักหน้ารับ

"ใช่ เพราะคำแนะนำของเขา ทำให้ผมเปลี่ยนไปได้ ถ้า 'บุปผาเร้น' ถ่ายทำเสร็จแล้ว... ผมว่าจะกลับไปเล่นละครเวทีอีกครั้ง"

"หะ หา อะไรนะ?"

"ผมเหลือถ่ายทำอีกไม่กี่วันหรอก พวกคุณน่ะเตรียมตัวเตรียมใจกันไว้ได้เลย การที่ได้มองคุณวูจินอยู่ห่าง ๆ กับการได้เห็นเขาอยู่ตรงหน้า มันต่างกันราวฟ้ากับเหว ลืมเรื่องการแสดงไปซะ แล้วปล่อยตัวเองจมดิ่งไปกับภวังค์ของคังวูจิน เมื่อนั้น ที่นี่ก็จะกลายเป็นโลกของ 'บุปผาเร้น' "

จากนั้น ยาสุตะก็ประกาศกร้าวกับนักแสดง 'บุปผาเร้น' ที่เหลือ

"พวกคุณน่ะยังต้องต่อสู้กับสัตว์ประหลาดอย่าง 'อิโยตะ คิโยชิ' ตัวเป็น ๆ"

แสงอรุณรุ่งแห่งวันใหม่สาดส่อง ท้องฟ้าเบื้องบนแต่งแต้มด้วยสีสันสดใส บอกใบ้ถึงวันเวลาที่ผันผ่าน

ยี่สิบเอ็ดวันที่ชินโอคุโบะ เมืองที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น 'ย่านเกาหลี' กลางกรุงโตเกียว ความนิยมของวัฒนธรรมเกาหลีที่แผ่ขยายไปทั่วโลก ดึงดูดให้ผู้คนมากหน้าหลายตาหลั่งไหลเข้ามาเยือน จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะเป็นชาวเกาหลี ชาวญี่ปุ่น หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ต่างก็เดินทางมาสัมผัสบรรยากาศอันมีชีวิตชีวา ณ ที่แห่งนี้

ท่ามกลางผู้คนที่คลาคล่ำ บริเวณที่นั่งริมกระจกของร้านกาแฟขนาดใหญ่ ปรากฏร่างของชาวต่างชาติสามคน

หญิงสาวผมสั้นสีน้ำตาลประกาย ชายหนุ่มผมสั้นสีเหลืองทองอร่าม และชายร่างท้วม ทั้งสามคนนั่งสนทนากันอย่างออกรส แต่ที่สะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นหญิงสาวผมสั้นสีน้ำตาล ใบหน้าของเธอช่างดูคุ้นตาเสียเหลือเกิน

ใช่แล้ว เธอคือ เมแกน สโตน ผู้อำนวยการมือทองผู้รับผิดชอบการคัดเลือกนักแสดงในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์แห่งฮอลลีวูดเรื่อง 'ปิดบัญชีเลือด 3'

เธอผู้นี้คือบุคคลแรกที่นำเสนอชื่อของ คังวูจิน ให้กับ จอร์จ เมนเดส ผู้กำกับมากฝีมือ และยังได้ร่วมชมการทดสอบบทของวูจินกับ โจเซฟ เฟลตัน PDชื่อดังอีกด้วย แล้วเหตุใดวันนี้เธอถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ที่ญี่ปุ่นเช่นนี้?

แน่นอนว่าการเดินทางมาที่นี่ของเธอ ไม่ใช่เพราะ คังวูจิน อย่างแน่นอน

ทีมงานแคสติ้ง รวมถึงเมแกน เพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจจาก ‘เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตเกียว’ ที่เพิ่งปิดม่านไปเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เพราะเป็นเทศกาลภาพยนตร์ที่เหล่าคนดังในวงการฮอลลีวูดแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเป็นประจำทุกปี พูดง่าย ๆ ก็คือ พวกเขามาทำงานนั่นเอง

ซึ่งนั่นหมายความว่า การที่เมแกนได้มาพบกับคังวูจินที่ญี่ปุ่นในครั้งนี้ เป็นเรื่องบังเอิญโดยแท้จริง

เทศกาลภาพยนตร์ผ่านพ้นไป ทิ้งไว้เพียงความทรงจำและร่องรอยของผู้คน บ่ายคล้อยของวัน ทีมงานของเมแกนต่างเตรียมตัวเดินทางกลับหลังจากใช้เวลาพักผ่อนช่วงสั้น ๆ พวกเขาเลือกที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่กับการท่องเที่ยวรอบ ๆ โตเกียว เมืองหลวงที่ไม่เคยหลับใหล แน่นอนว่าหัวข้อสนทนาหลักของพวกเขายังคงวนเวียนอยู่กับ ‘เทศกาลภาพยนตร์สั้นนานาชาติโตเกียว’ ที่เพิ่งจบลง

“น่าผิดหวังกว่าที่คิดไว้นิดหน่อยนะ” เสียงทุ้มต่ำของชายร่างท้วมชาวต่างชาติเอ่ยขึ้น ชายหนุ่มผมสีส้มข้าง ๆ พยักหน้าเห็นด้วย

“จริง จัดงานใหญ่โตแท้ ๆ แต่กลับไม่มีอะไรน่าสนใจ ดาราที่เราตามหาก็ไม่เห็นวี่แวว”

เสียงพูดคุยภาษาอังกฤษเบา ๆ ดังขึ้น ท่ามกลางผู้คนมากหน้าหลายตา ทำให้คนญี่ปุ่นรอบข้างหันมามองเป็นตาเดียว เมแกนสะบัดผมบ็อบสีน้ำตาล สบตาพวกเขาอย่างไม่ใส่ใจ

“คังวูจินก็มานี่” เธอเอ่ยขึ้นลอย ๆ

จู่ ๆ ชื่อของนักแสดงหนุ่มชาวเกาหลีก็ถูกหยิบยกขึ้นมา ทำให้เพื่อนร่วมทีมหันมาสนใจ พยักหน้าเห็นด้วย

“คังวูจิน? อ๋อ... นายแบบคนนั้น”

“ใช่ ตอนเขาโผล่มาในงานเลี้ยงปิดเทศกาล ฉันนี่ตกใจเลย นึกว่าจะอยู่อเมริกา ที่แท้ก็มาญี่ปุ่น” หญิงสาวอีกคนเสริม

เมแกนพยักหน้ารับเบา ๆ มือเรียวสวยยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ

“คงมาถ่ายหนังของผู้กำกับเคียวทาโร่ ทาโนะงูจิล่ะมั้ง”

“อ่า... ใช่ ตอนที่ฉันหาข้อมูลก็เห็นอยู่นะ เหมือนงานจะชุกน่าดู”

ความจริงแล้ว ทั้งเมแกนและทีมงานไม่ได้ให้ความสนใจคังวูจินมากนักหลังจากการทดสอบหน้ากล้อง ‘ปิดบัญชีเลือด 3’ บทที่วูจินได้รับก็เป็นเพียงตัวประกอบ อีกทั้งเขายังดูยุ่งอยู่ตลอดเวลา แต่มีเพียงเมแกน หัวหน้าทีมแคสติ้งหรือเรียกว่าฝ่ายคัดตัวนักแสดง ที่ยังคงเฝ้าจับตามองเขาอย่างสนใจ

‘เขาเปลี่ยนไปมากเลยแฮะ’ เมแกนคิดในใจ

“สงสัยอะไรเหรอ” เสียงของเพื่อนร่วมงานดึงสติเธอกลับมา

“คังวูจินน่ะ” เมแกนตอบ

“ทำไมเหรอ”

“เขาดูเปลี่ยนไป สังเกตเห็นกันบ้างไหม?”

ถ้าจะให้นึกถึงข่าวที่เป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องของไมลีย์ คาร่า เป็นแน่ ทำไมถึงเป็นเธอคนนั้นที่ได้พบเจอกับคังวูจินในระหว่างที่เดินทางไปประเทศเกาหลี แถมยังกล้าเอ่ยถึงเขาในรายการ ‘เจมี่โชว์’ อย่างออกหน้าออกตา คำชมที่พรั่งพรูออกมา ฟังดูแล้วแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแค่คำสุภาพตามมารยาท

ยิ่งไปกว่านั้น...

‘สายตาที่โจเซฟ เฟลตัน มองเขามันช่าง... แปลกประหลาด’

แม้แต่โจเซฟ เฟลตัน PDมากฝีมือแห่งฮอลลีวูดเอง ก็ยังซักถามเรื่องราวของคังวูจินกับเธออย่างละเอียดราวกับเป็นการสอบสวน แถมยังขอแบบสอบถามเพิ่มเติมอีกต่างหาก นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมคนอย่างเขาถึงให้ความสนใจนักแสดงชาวเกาหลีคนนี้มากมายถึงเพียงนี้?

‘แน่นอน... ฉันรู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา’

ทั้งผลงานที่ผ่านมา รวมไปถึงลีลาศิลปะการต่อสู้ที่ได้เห็นกับตาในวันทดสอบ ล้วนแล้วแต่ตอกย้ำความไม่ธรรมดาของเขา แต่กระนั้น มันยังไม่ใช่คำตอบที่น่าพอใจ เมแกนจึงใช้เวลาหลายวันหลังจากที่ได้พบกับคังวูจิน ค้นคว้าหาข้อมูลของเขาเพิ่มเติม

กระทั่งได้พบกับบทความมากมายที่สร้างความตกตะลึงให้กับเธอ

ไม่ใช่แค่ฝั่งประเทศเกาหลีเท่านั้น แม้แต่ทางฝั่งประเทศญี่ปุ่นที่เขาเคยไปถ่ายทำ ก็ยังมีข่าวคราวที่ประกาศศักดาอย่างองอาจผ่าเผย

ความสงสัยในใจของเมแกนก่อตัวขึ้นจนแทบจะระเบิดออกมา

“ทำไมรอบตัวของคังวูจินถึงมีแต่บุคคลระดับสูงล้อมรอบไปหมดแบบนี้นะ?”

ชายร่างท้วมข้างกายได้แต่ยักไหล่ อย่างไม่ใส่ใจกับคำถามของเธอ

“อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้นะ แต่ก็นั่นแหละ คงเป็นเพราะเขามีความสามารถเหนือกว่าคนทั่วไปกระมัง? จะว่าไป ลีลาศิลปะการต่อสู้ที่เห็นในวันทดสอบก็สุดยอดมากเลยนะ”

“แต่ตัวฉันเองยังไม่เคยเห็นการแสดงของเขาเลยสักครั้งนะ”

“การแสดงเหรอ? เอ่อ... คือว่า... หลังจากการออดิชั่น ผู้กำกับจอร์จ แล้วก็คนอื่น ๆ พวกเขาบอกว่า พวกเขาตะลึงการแสดงของเขาจนกลัวไปเลยล่ะ”

กลัว? นี่พูดจริง ๆ เหรอ? แน่นอนว่าในตอนนั้นที่คังวูจินปฏิเสธบทใน 『ปิดบัญชีเลือด 3』 อย่างไม่ใยดี ทำให้เมแกนเองก็สับสนมากอยู่พอสมควร เพราะโดยทั่วไปแล้ว คงไม่มีใครหน้าไหนกล้าปฏิเสธโอกาสทองแบบนั้นลง แต่พอมาคิดทบทวนดูอีกที การกระทำของเขาก็ดูมีแต่จะแปลกพิกลอยู่ไม่น้อย

อีกอย่างคือ ท่าทีของคังวูจินมันช่างดูมั่นใจในตัวเองมากเกินไปหน่อย

“..ช่างเถอะ ยังไงซะ ฉันก็ต้องไปเห็นกับตาตัวเอง”

น้ำเสียงพึมพำของเมแกน ทำให้เหล่าทีมงานต่างพากันขมวดคิ้วฉงน

“ต้องเห็นอะไร? เห็นอะไรของเธอ?”

เมแกนยิ้มน้อย ๆ ให้กับทีมงาน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา

“ดูเหมือนว่าพวกเราต้องเลื่อนตั๋วบินออกไปอีกสองสามวันนะ”

สิ้นคำพูด เธอก็กดโทรศัพท์ติดต่อหาใครบางคนทันที

-จบ-

ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_

5 2 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด