บทที่ 112: ไปโรงพนันใต้ดินอีกครั้ง
อวี้เซิ่งก้าวเท้าเดินเข้าไปในประตูลับในขณะที่พูดว่า “ไม่มีอะไร ข้าแค่รู้สึกแปลกใจที่องค์หญิงหกกับคุณชายเซียวสนิทกัน”
“ข้ากับเขาสนิทกันอย่างนั้นหรือ?” มู่ไป๋ไป่กลอกตามองบน “อวี้เซิ่ง ท่านตาบอดหรืออย่างไร หรือท่านเข้าใจคำว่า ‘สนิทกัน’ ผิดไป!”
นักฆ่าหนุ่มทำเพียงแค่ยิ้ม แต่ไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืด
อย่างไรก็ตาม เท่าที่เขารู้มา จำนวนคนที่สามารถพูดคุยกับเซียวถังอี้แบบที่องค์หญิงหกพูดได้นั้นมีชีวิตอยู่ไม่เกินนับนิ้วมือ
เนื่องจากในครั้งนี้มีคนมากับมู่ไป๋ไป่เป็นจำนวนมาก เธอจึงไม่ได้รู้สึกกลัวเท่าครั้งก่อน อีกทั้งทางเดินนี้ก็ไม่ได้ยาวไกลเหมือนครั้งที่แล้วด้วย
ในระหว่างทางเธอได้พูดคุยกับหลัวเซียวเซียวและจื่อเฟิงเกี่ยวกับสถานการณ์ในโรงพนันที่เธอเคยเห็นเมื่อครั้งก่อน
“ที่นั่นมีคนเต็มไปหมด แล้วก็มีควันอะไรไม่รู้ฟุ้งไปทั่ว ทำให้ข้ากลัวแทบตาย”
“พอออกไปพวกเราต้องตามอวี้เซิ่งไปติด ๆ แล้วก็ไม่ต้องกลัวถ้าคนพวกนั้นจ้องมาที่เรา”
“โดยเฉพาะจื่อเฟิง ท่านต้องอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม!”
จื่อเฟิงกับหลัวเซียวเซียวพยักหน้าตอบรับ
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ทุกคนก้าวเข้าไปในโรงพนัน พวกเขาก็พบว่ามันแตกต่างไปจากที่มู่ไป๋ไป่พูดโดยสิ้นเชิง ที่นั่นมีโต๊ะพนันมากมายวางเรียงอยู่ในพื้นที่ขนาดใหญ่ แต่กลับไร้วี่แววผู้คน
“หืม?” คนตัวเล็กขยี้ตาด้วยความเหลือเชื่อ “คนล่ะ? ครั้งก่อนที่ข้ามาที่นี่มีคนอยู่เยอะมากเลย”
“องค์หญิงหกอาจยังไม่รู้ แต่ตอนนี้เป็นเวลากลางวัน” อวี้เซิ่งอธิบายด้วยรอยยิ้ม “เรื่องเช่นนี้จะต้องทำกันตอนกลางคืน”
มู่ไป๋ไป่ตกตะลึง แต่แล้วเธอก็มีคำถามใหม่ผุดขึ้นมาในหัว “ไม่สิ เรากำลังสืบหาเด็กที่หายตัวไปไม่ใช่หรือ? ในเมื่อที่นี่ไม่มีคน แล้วเราจะสืบสวนได้อย่างไร?”
“หรือเด็กพวกนั้นถูกขังอยู่ที่นี่?”
“องค์หญิงหก พระองค์จำกลุ่มคนลึกลับที่ข้าเคยเล่าให้ฟังได้หรือไม่?” นักฆ่าหนุ่มลดเสียงถาม
เมื่อเด็กหญิงเห็นท่าทางมีเลศนัยของเขา เธอก็รู้สึกกังวลขึ้นมา ในขณะที่กวาดสายตามองรอบ ๆ และเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก “นี่อาจจะเป็นฐานของพวกมันอย่างนั้นหรือ?”
อวี้เซิ่งยิ้มและพยักหน้า
ในเวลาเดียวกัน เซียวถังอี้ที่อยู่ตรงหน้าอดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองคนทั้ง 2 แล้วส่งสายตาเอือมระอามองพวกเขา
“ไม่น้าาา!” มู่ไป๋ไป่รีบปิดปากตัวเอง “ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา ไม่สิ กลุ่มคนพวกนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับท่าน ดังนั้นสถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นถิ่นของพวกท่าน แล้วเราจะมาที่นี่เพื่ออะไร?”
“จริงสิ ข้าเกือบโดนท่านหลอกแล้ว”
พออวี้เซิ่งเห็นว่าแผนการของตัวเองล้มเหลว เขาก็ทำเพียงแค่ยักไหล่และวางเด็กหญิงลงกับพื้น
“ไม่มีอะไร นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของข้า ข้าเพียงแค่อยากรบกวนให้องค์หญิงหกมากับข้าเพียงเท่านั้น” หลังจากที่ชายหนุ่มพูดจบ เขาก็เดินไปรอบ ๆ โรงพนันและเริ่มตรวจสอบอย่างละเอียด
มู่ไป๋ไป่ไม่เข้าใจว่าอวี้เซิ่งต้องการทำอะไร ซึ่งเธอก็ไม่สนใจเช่นกัน เธอเพียงแค่อยากตามหาเสิ่นจวินเฉาให้ได้โดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นผลเพลิงสีชาดของเธอก็จะเน่าลงในไม่ช้า
ของพวกนั้นมีมูลค่ามหาศาลเชียวนะ!
เมื่อคนตัวเล็กเห็นว่าธุระของอวี้เซิ่งดูเหมือนจะไม่จบง่าย ๆ เธอจึงอ้าปากเตรียมจะบอกให้หลัวเซียวเซียวกับจื่อเฟิงหาโต๊ะเพื่อนั่งพักผ่อน
ขณะที่เธอกำลังจะพูด เธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างตกลงมาจากข้างบนแล้วกระแทกหัวเธออย่างจัง
ปั้ก!
“โอ๊ย!”
“องค์หญิง!”
จื่อเฟิงกับหลัวเซียวเซียวต่างตกใจและรีบพุ่งเข้ามาขวางทางอย่างรวดเร็ว
“แฮ่! คนเลว!” จื่อเฟิงหันกลับไปจ้องผู้กระทำผิดอย่างเซียวถังอี้ “เจ้า! ทำไม! โยน…”
เด็กหนุ่มทั้งโกรธทั้งตกใจ แต่เขาก็ไม่สามารถสื่อสารออกมาได้ เขาได้แต่พูดออกมาเป็นคำ ๆ ขณะที่ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
เขาอยากจะพุ่งเข้าไปฟาดฟันกับชายผู้สวมหน้ากากเงินเหมือนที่เคยทำกับอวี้เซิ่งตอนที่อยู่ในวัดฮู่กั๋ว แต่พอนึกถึงคำพูดของมู่ไป๋ไป่เมื่อครู่นี้ เขาจึงทำได้เพียงยอมแพ้ไป
“เจ้าสัตว์ประหลาด!” มู่ไป๋ไป่หยิบพวงองุ่นที่ถูกโยนมาพลางจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาโกรธเคือง
“องุ่น กินสิ!” เซียวถังอี้นั่งลงที่โต๊ะแล้วดื่มสุราอย่างสบายใจ “เจ้าไม่ชอบหรือ? เช่นนั้นเปลี่ยนเป็นผิงกั่ว*ดีหรือไม่?”
*ผิงกั่ว คือ แอปเปิล
ขณะที่พูดเขาก็หยิบผิงกั่วขึ้นมาจากถ้วยผลไม้และโยนให้เธอทันที
เด็กหญิงรีบหดตัวหนีด้วยความตกใจ ก่อนจะพบว่าผิงกั่วลูกนั้นไม่ได้ถูกโยนมาทางตน เธอจึงมองอีกฝ่ายและเห็นว่าเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นเหยียดยิ้มเยาะใส่เธอ
มันทำให้มู่ไป๋ไป่ยิ่งโมโหมากขึ้น “ถ้าเสือไม่แสดงพลัง คงจะคิดว่าข้าเป็นแมวป่วยสินะ? จื่อเฟิง! ไปจัดการเขาซะ!”
เด็กหนุ่มที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว หลังจากได้รับคำสั่งของผู้เป็นนาย เขาก็ส่งเสียงร้องตื่นเต้นพร้อมกับพุ่งตัวออกไป
ไม่ไกลนัก อวี้เซิ่งได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมจึงหันกลับมามองและถอนหายใจอย่างเอือมระอา “องค์หญิงหก เจ้าเด็กโง่นั่นไม่ใช่คู่มือของคุณชายเซียว พระองค์จะสั่งให้เขาไปตายหรืออย่างไร”
มู่ไป๋ไป่กำลังจะเอ่ยปากบอกว่า ‘ไม่แน่ว่าใครจะตาย’ แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงดังสนั่น แล้วร่างของจื่อเฟิงก็ลอยอัดเข้าไปที่กำแพง จากนั้นเขาก็หมดสติไปทันทีที่ตัวกระแทกผนัง
ส่วนเซียวถังอี้ยังคงนั่งอยู่บนโต๊ะ โดยที่ในจอกยังเหลือสุราอีกครึ่งหนึ่ง
“...” คำพูดที่กำลังจะออกจากปากเล็ก ๆ จึงไหลกลับไปที่เดิมทันที
“องค์หญิงหกดูสิ” อวี้เซิ่งที่กำลังเฝ้าดูเรื่องตื่นเต้นพูดขัดจังหวะโดยไม่ได้แสดงท่าทีเป็นกังวล “ข้าบอกพระองค์แล้ว”
“...”
“องค์หญิง ช่างเถิดเพคะ” หลัวเซียวเซียวดึงแขนเสื้อของมู่ไป๋ไป่แล้วเอ่ยปากแนะนำ “คนผู้นี้ดูเหมือนจะแข็งแกร่งมาก เราอดทนกันสักหน่อยเถิดเพคะ”
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าชายคนนี้เป็นผู้มีพระคุณขององค์หญิงหก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เช่นนั้น
ในเวลาเดียวกัน หมาป่าสีเทาวิ่งเข้าไปหาจื่อเฟิงและพยายามเลียให้เขาตื่น จากนั้นจึงนั่งลงอยู่ข้างหน้าเขาพร้อมกับเขม็งมองเซียวถังอี้อย่างระแวดระวัง “ท่านจ้าวอสูร ท่านต้องการให้ข้าจัดการเขาหรือไม่?”
“เจ้าตัวโต อย่าขยับ!” มู่ไป๋ไป่รีบห้ามมันไว้
เธอแค่รู้สึกโกรธและอยากให้จื่อเฟิงสั่งสอนเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นสักหน่อย เธอไม่อยากให้เกิดการต่อสู้ให้ต้องตายกันไปข้างจริง ๆ
เนื่องจากเซียวถังอี้เป็นคนที่แข็งแกร่ง เธอจะปล่อยให้เจ้าตัวโตเสี่ยงเข้าไปให้อีกฝ่ายเชือดได้อย่างไร?
“คนผู้นี้เป็นใครกัน?” เด็กหนุ่มที่ยกสุราดื่มจนหมดจอกแล้วมองดูจื่อเฟิงที่กำลังพยายามลุกขึ้นจากพื้น “เขามีพื้นฐานที่ดีทีเดียว”
“จริงหรือ?” อวี้เซิ่งเงยหน้าขึ้นมอง “ในวันที่ข้าเจอเขาครั้งแรก ข้าก็คิดว่าเขามีพื้นฐานที่ดีและยังเด็กอยู่”
ทางด้านมู่ไป๋ไป่ตัดสินใจที่จะไม่ไปยุ่งกับอีกฝ่าย เธอจึงทิ้งสายตามองเซียวถังอี้ ก่อนจะสะบัดหน้าหนีแล้ววิ่งไปหาจื่อเฟิงเพื่อตรวจสอบเขา
เธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นไม่ได้ลงมือหนักมาก หรือเป็นเพราะจื่อเฟิงเป็นคนที่แข็งแรงดีกันแน่ เขาถึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก
“นี่ เจ้าหนู แม่ของเจ้าคือพระสนมคนไหน?” เซียวถังอี้รู้สึกเบื่อหลังจากดื่มอยู่คนเดียวสักพัก เขาจึงเงยหน้าขึ้นถามมู่ไป๋ไป่
นิสัยของเจ้าตัวเล็กคนนี้แตกต่างไปจากมู่เทียนฉงอย่างสิ้นเชิง
แต่ในความรู้สึกของเขา ดูเหมือนว่าจะไม่มีพระสนมคนไหนที่มีนิสัยเหมือนนางเลยสักคน
“ท่านเรียกใครว่าเจ้าหนู!” มู่ไป๋ไป่มองเขาด้วยหางตาและตอกกลับสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ “แล้วอีกอย่าง ข้าก็ไม่ได้ชื่อว่า ‘นี่’ ด้วย”
เซียวถังอี้หัวเราะและอ้าปากเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง ในขณะที่อวี้เซิ่งเดินกลับมา “พวกท่านกำลังคุยอะไรกันอยู่ มันตลกขนาดนั้นเลยหรือ?”
“เรากำลังคุยกันว่าใครเป็นแม่ขององค์หญิงหก” เด็กหนุ่มเหลือบมองมู่ไป๋ไป่พลางยกยิ้มมุมปาก “แต่องค์หญิงหกไม่ยอมบอกข้า”
ส่วนอวี้เซิ่งเทสุราจากกาเข้าปากตัวเองโดยตรง “สุราดี! ท่านไม่รู้หรือว่าแม่ขององค์หญิงหกเป็นใคร?”