บทที่ 66 โรงแรมรุ่ยลี่ ตอนที่ 3
บทที่ 66 โรงแรมรุ่ยลี่ ตอนที่ 3
ซินเหอเช็กอินเข้าพักที่โรงแรมรุ่ยลี่ในช่วงกลางวัน หลังจากออกไปกินข้าวเย็นแล้วกลับมา เธอก็ได้รับสายจากแฟนหนุ่ม พวกเขากำลังมีปัญหากัน และแฟนของเธอเป็นคนออกเงินเช่าบ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่ ซินเหอจึงไม่อยากกลับไปที่นั่นและตัดสินใจพักที่โรงแรมเพื่อหาที่อยู่ชั่วคราว
ตอนรับสาย เธอรู้สึกดีใจ แต่คำพูดแรกของแฟนก็ทำให้เธอหงุดหงิดทันที
เนื่องจากมีคนอยู่รอบๆ เธอจึงเลี่ยงไปที่เงียบๆ แทนที่จะขึ้นลิฟต์ตรงนั้น เพื่อจะได้ทะเลาะกับแฟนหนุ่มอย่างเต็มที่
“นายหมายความว่ายังไง? ถ้าไม่ใช่นายไปแอบมีอะไรกับคนอื่น ฉันคงไม่ต้องแอบดูโทรศัพท์นาย แล้วตอนนี้นายมาโทษฉันที่เช็กโทรศัพท์นายงั้นเหรอ?”
ชายหนุ่มฝั่งนั้นก็โกรธเช่นกัน พยายามเบี่ยงประเด็นจากเรื่องที่ตัวเองนอกใจไปยึดประเด็นที่เธอแอบเช็กโทรศัพท์โดยไม่ได้รับอนุญาต
ซินเหอโมโหจนเลือดขึ้นหน้า “พูดบ้าอะไร! นายทำผิดก็คือทำผิด อย่ามาอ้อมค้อม ถ้านายไม่แอบไปมีอะไรกับคนอื่นจนทำให้ฉันสงสัย ฉันคงไม่เช็กโทรศัพท์นายหรอก! ต้นเหตุก็คือนาย!”
พูดจบ เธอก็เปิดประตูห้องเก็บของโดยไม่ทันมองรอบๆ แล้วปิดประตู
ทั้งสองคนทะเลาะกันเสียงดังอยู่ในโทรศัพท์ ท่ามกลางความเงียบสงบของห้องเก็บของ เสียงของซินเหอแหลมชัดไปทั่วห้อง
หลังจากทะเลาะกันสักพัก ซินเหอรู้สึกเหมือนความดันขึ้น มือกุมที่หน้าผากที่เริ่มมีเหงื่อซึม และเมื่อลืมตามองไปรอบๆ ถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองอยู่ในห้องเก็บของ
โชคดีที่นี่เป็นโรงแรมใหญ่ แม้แต่ห้องเก็บของก็ยังสะอาดสะอ้าน
ซินเหอถอนหายใจยาว รู้สึกเหนื่อยล้า แฟนหนุ่มของเธอแต่ก่อนก็เจ้าชู้มาตลอด แต่หลังจากคบกับเธอเขาก็เปลี่ยนไป เธอคิดมาตลอดว่าเธอเป็นคนพิเศษสำหรับเขา แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
“พอเถอะ อย่าพูดอะไรอีกเลย ฉันจะย้ายออก เราเลิกกันเถอะ”
ทางฝั่งแฟนของเธอพยายามจะพูดต่อ แต่ซินเหอก็กดวางสายไปแล้ว
เธอนั่งอยู่ที่นั่นอีกสักพัก หลังจากความโกรธเริ่มหายไป ความเศร้าก็ถาโถมเข้ามา ทำให้เธอเริ่มร้องไห้ออกมา เพราะยังไงที่นี่ก็ไม่มีใครเห็น
ร้องไห้อย่างหนักจนหน้าตาเลอะเทอะไปหมด แต่เธอก็มองไม่เห็น และตอนนี้ก็ไม่มีอารมณ์ที่จะสนใจมัน
ขณะนั่งร้องไห้อยู่ เธอรู้สึกชาไปทั้งขา ค่อยๆ พยายามลุกขึ้นยืน บีบนวดขาเล็กน้อยเตรียมจะออกจากห้อง
แต่แล้วไฟในห้องก็ดับลง ทำให้ซินเหอใจเต้นแรง แต่เธอก็พยายามรวบรวมสติ
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแสงไฟ พยายามมองหาประตู แต่เมื่อส่องไปด้านหลังกลับพบเพียงผนังเย็นเยียบเท่านั้น
ความกลัวเริ่มครอบงำจนลืมเรื่องที่โกรธแฟนไปชั่วขณะ เธอรีบหาทางออกจากห้องนี้
เธอจำได้ว่าเธอเพิ่งเข้ามาและไม่เคยขยับตัวไปไหน ประตูน่าจะอยู่ตรงหลังเธอนี่เอง
แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งใจสั่น เธอพยายามรวบรวมสติและส่องไฟจากมือถือเดินวนไปรอบๆ ห้อง คิดว่าอย่างไรก็คงเจอประตูสักมุม
แต่ไม่ว่าเธอจะวนไปที่กำแพงด้านไหนก็ไม่มีประตูอยู่เลย ขนบนตัวลุกชันไปหมด รู้สึกเหมือนตัวเองเจอเรื่องลึกลับเข้าแล้ว
ความคิดนั้นทำให้เหงื่อเย็นซึมชุ่มตัวเธอ รู้สึกเหนอะหนะไม่สบายตัว
เธอตัวสั่นไม่อาจควบคุม ตบกำแพงพลางร้องออกไป “มีใครอยู่ไหม! ฉันติดอยู่ในนี้!”
แต่มันเหมือนเธอถูกขังอยู่ในคุกไร้ทางออก รอบตัวไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมาเลย
ซินเหอสูดน้ำมูก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ปลดล็อกหน้าจอ หวังจะโทรขอความช่วยเหลือจากแฟนหนุ่ม
แต่กลับพบว่าสัญญาณโทรศัพท์ขึ้นกากบาท บ่งบอกว่าไม่มีสัญญาณในห้องนี้
“ทำไมไม่มีสัญญาณล่ะ เมื่อกี้ฉันยังโทรได้อยู่เลย” ซินเหอเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง คิดกับตัวเองว่าทำไมต้องเข้ามาที่นี่เพื่อคุยโทรศัพท์
เธอพยายามโทรซ้ำแต่ก็ไม่สำเร็จ
ซินเหอตบกำแพงพลางร้อง “ปล่อยฉันออกไป นี่มันที่บ้าอะไรกัน!”
โดยที่เธอไม่รู้เลยว่า เสียงร้องของเธอนั้นได้ยินไปถึงหูของเสิ่นชงหรานที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำพอดี
น้ำตาของซินเหอหยดลงบนหน้าจอโทรศัพท์ ขณะที่เธอมองภาพคู่กับแฟนและเริ่มคิดว่าเธออาจจะต้องตายในที่นี่
จู่ๆ ซินเหอก็หยุดร้องไห้ อุณหภูมิในห้องลดลงอย่างรวดเร็ว
แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในจิตใต้สำนึกกลับรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่รุนแรงต่อสถานการณ์นี้
ซินเหอยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่กล้าขยับตัว
มีบางสิ่งบางอย่างอยู่ข้างหลังเธอ
แต่…นั่นคือคนหรือเปล่า? ตอนที่ไฟยังเปิดอยู่ เธอมองไปรอบห้องแล้ว เห็นว่าไม่มีใครอยู่เลยนอกจากเธอ
แล้วสิ่งที่อยู่ข้างหลังนั้นคือใคร? หรือว่าเป็นแค่ภาพหลอนจากความกลัว
ซินเหอกำโทรศัพท์แน่น เงียบหายใจเข้าเบาๆ แล้วค่อยๆ หมุนตัวกลับ
เธอตั้งใจจะใช้แสงจากโทรศัพท์ส่องดูว่ามีใครอยู่หรือไม่
แม้จะกลัวจนตัวสั่น แต่เธอก็ยังไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะได้เจอกับสิ่งแปลกประหลาดเข้าแล้วจริงๆ
ซินเหอไม่กล้าส่องตรงๆ จึงค่อยๆ ส่องไฟไปที่พื้นก่อน แล้วเลื่อนขึ้นทีละน้อย พร้อมกับที่สายตาเธอเลื่อนตามไป
มือที่สั่นเทายังคงส่องไฟขึ้นไปเรื่อยๆ ในใจภาวนาไม่ให้เจออะไรน่ากลัว
เธอเลื่อนสายตาขึ้นตามแสงไฟ ก่อนจะหยุดทุกการเคลื่อนไหว
สมองของซินเหอว่างเปล่า ร่างกายแข็งทื่อด้วยความกลัวสุดขีด ราวกับวิญญาณได้หลุดออกจากร่างไปแล้ว
มันคือเท้า!
เท้าคู่หนึ่งเปลือยเปล่า!
เท้าที่เปื้อนเลือด และข้อเท้าก็หักอย่างเห็นได้ชัด
ซินเหอไม่อาจทนต่อไปได้อีกแล้ว
“อ๊ากกกก!”
เธอร้องออกมาอย่างหวาดกลัว ก่อนจะโยนโทรศัพท์ทิ้งแล้วถอยหลังออกไป นั่งยองๆ กับพื้น
และในตอนนั้นเอง “แกร๊ก——”
ได้ยินเสียงนั้น ซินเหอก็หวีดร้องออกมาอีก “อ๊ากกก อย่าเข้ามา!”
“คุณโอเคไหมคะ?”
เสิ่นชงหรานที่อยู่ข้างนอกพอดี ได้ยินเสียงกรีดร้องจึงเปิดประตูเข้ามา ในห้องมืดสนิท เธอยกมือเปิดสวิตช์ไฟข้างประตู
ภายในห้องสว่างขึ้นอีกครั้ง
ซินเหอเห็นแสงไฟจึงหันกลับไปมองว่าใครอยู่ตรงนั้น
พบว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง จากชุดที่สวมทำให้รู้ได้ว่าเป็นพนักงานต้อนรับของโรงแรม
เสิ่นชงหรานมองเห็นรอยน้ำตาสีดำที่แก้มของซินเหอ บ่งบอกว่าเธอคงร้องไห้อย่างหนัก
“คุณโอเคไหม?” เสิ่นชงหรานถามอีกครั้ง
หลังจากที่ความกลัวผ่านพ้นไป การที่ได้เจอคนจริงๆ ทำให้ซินเหอเริ่มร้องไห้ออกมาอีก
“ไม่โอเคเลยค่ะ เมื่อกี้ไฟดับลงกะทันหัน ฉันหาประตูกับสวิตช์ไม่เจอ” พูดจบก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง ดูน่าสงสารเหลือเกิน
เสิ่นชงหรานเดินเข้าไป หยิบโทรศัพท์ที่ตกอยู่ข้างๆ ซึ่งหน้าจอแตกละเอียดขึ้นมาดู
จากนั้นก็เดินเข้าไปประคองซินเหอขึ้นยืน “ที่นี่ปกติไม่มีใครเข้ามา อาจจะเป็นเพราะไฟเสีย ต้องขอโทษที่ทำให้คุณตกใจนะคะ เดี๋ยวฉันจะแจ้งปัญหานี้ต่อไป”
ซินเหอยืนแทบไม่ไหว ร่างกายอ่อนแรงและต้องพึ่งการประคองของเสิ่นชงหราน
จนเมื่อเสิ่นชงหรานพาเธอออกมาจากห้องเก็บของ ซินเหอก็รู้สึกโล่งใจลงบ้าง อย่างน้อยเธอก็ออกจากห้องนั้นมาได้แล้ว
“เมื่อกี้ฉันใช้แสงจากโทรศัพท์หาทางออกก็ยังหาไม่เจอ หลังจากนั้น…” พูดแล้วน้ำตาเริ่มจะไหลอีกครั้ง แต่เธอกลั้นไว้ “หลังจากนั้นฉันรู้สึกเหมือนมีคนอยู่ในห้อง เลยส่องไฟโทรศัพท์ไป แล้วก็เห็นเท้าคู่หนึ่ง นั่นแหละที่ทำให้ฉันกลัวจนทำโทรศัพท์ตก”
เธอลูบหน้าจอโทรศัพท์ที่แตก เพราะโทรศัพท์เครื่องนี้ราคาแพงมาก โดยเฉพาะจอที่ต้องใช้เงินเยอะหากจะเปลี่ยนใหม่
ตอนนี้ไม่รู้ว่าควรร้องไห้เพราะเจอเรื่องน่ากลัว หรือเพราะต้องเสียเงินเปลี่ยนจอหลังจากกำลังจะเลิกกับแฟน
..........