บทที่ 66 หนังสือพิมพ์วัฒนธรรม
บทที่ 66 หนังสือพิมพ์วัฒนธรรม
เช้าวันจันทร์ต้วนเหวยกั๋ว ขี่จักรยานไฟฟ้าไอมาที่ลูกสาวซื้อให้เมื่อปีก่อน มาถึงแผงหนังสือใกล้โรงเรียน ก่อนหน้านี้เขามักขี่จักรยานมาสอนที่โรงเรียนมัธยมอันเฉิง แต่ตอนนี้อายุมากแล้ว ขาเริ่มไม่ดี ขี่จักรยานจึงอาจเป็นอันตรายได้
ในปี 2009 ไอม้าโปรโมตรถไฟฟ้าพร้อมกับ โจวเจ๋อหลุนโดยใช้คำโฆษณาที่ว่า “รักก็ต้องลงมือทันที” จนเป็นที่นิยมทั่วประเทศ ตอนนี้รถไฟฟ้าในอันเฉิงเกือบร้อยละแปดสิบเป็นของแบรนด์นี้
ยุคนี้โทรทัศน์ยังเป็นสื่อที่มีผู้ชมมาก การโฆษณาผ่านการแทรกระหว่างละครจึงส่งผลสูง นอกจากไอม้าแล้ว ยังมีแบรนด์ที่เป็นตำนานอีกหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์ไซค์ต้าหยุ่น, ชานมอู่เล่อเหม่ย, เครื่องอ่านบุ๊บๆเกา, เหล้าจือไป๋จิน ฯลฯ ล้วนได้ยอดขายมหาศาลในช่วงนี้ และโฆษณาเหล่านี้ก็เป็นหนึ่งในความทรงจำที่ไม่ลืมของคนยุค 80 และ 90 ทำให้ทุกครั้งที่ใครเอ่ยประโยคโฆษณาขึ้นต้น ก็สามารถต่อได้ทันที
“ขอหนังสือพิมพ์วัฒนธรรมมณฑลหุยโจวหนึ่งฉบับครับ” ต้วนเหวยกั๋วจอดรถแล้วบอก
“เจ็ดหมอ” เจ้าของแผงส่งหนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุดให้เขา
ชายคนนั้นชื่อ หลี่อวี้ แม้อายุสามสิบแล้ว แต่ก็เคยเป็นลูกศิษย์ของต้วนเหวยกั๋ว เพียงแต่ตอนนั้นต้วนเหวยกั๋วยังไม่ได้สอนคณิตศาสตร์ ม.5 และ ม.6 ที่อันเฉิง เขายังสอนคณิตศาสตร์ ม.4 และหลี่อวี้ก็เป็นลูกศิษย์ในห้องเรียนของเขา
ต้วนเหวยกั๋วล้วงเหรียญสิบสตางค์เจ็ดเหรียญจากกระเป๋าเงินส่งให้หลี่อวี้ ที่จริงหลี่อวี้ไม่กล้ารับเงินจากเขาเลยตอนแรก แต่ด้วยความที่ต้วนเหวยกั๋วเป็นคนหัวดื้อ แม้จะออกจากโรงเรียนมานานกว่าสิบปี แต่หลี่อวี้ก็ยังเกรงใจ ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ระบบการซื้อขายธรรมดาเหมือนลูกค้าทั่วไป
“เสียใจไหม?” ต้วนเหวยกั๋วถามขึ้นเมื่อรับหนังสือพิมพ์มา
หลี่อวี้เงียบไปพักหนึ่ง ไม่ตอบอะไร
“นอกจากนักเรียนที่เจอปีที่แล้ว นายคืออีกคนที่มีพรสวรรค์ทางคณิตศาสตร์มาก” ต้วนเหวยกั๋วกล่าวพร้อมมองหน้าเขา “บ้านของเธอก็ไม่ได้ต่างกับเธอมากนัก แต่เธอก็ไม่เคยยอมแพ้”
เมื่อพูดจบ ต้วนเหวยกั๋ววางหนังสือพิมพ์ไว้ในตะกร้ารถไฟฟ้าก่อนจะขี่จากไป
หลี่อวี้มองตามแผ่นหลังที่เริ่มแก่ชราของต้วนเหวยกั๋วและถอนหายใจ
เขาเคยเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นตอนที่ยังเรียนอยู่ที่อันเฉิง ตอนนั้นอาจารย์ของเขายังยืนตัวตรงและดูหนุ่มอยู่เลย
ตอนนี้เขาเองก็อายุมากขึ้นจนเข้าวัยกลางคนแล้ว
เสียใจหรือไม่?
จริง ๆ ก็ไม่เสียใจ
ผลการเรียนเขาดี แต่บ้านยากจนมาก และยังมีน้องชายสองคนที่ต้องดูแล ถ้าเขาไม่ลาออกมาทำงาน ครอบครัวก็คงลำบากมาก
เสียใจหรือไม่?
คงจะบอกว่าไม่เสียใจก็คงไม่ได้
ไม่เช่นนั้นคงไม่มาเปิดแผงหนังสือข้างโรงเรียนที่ยังมีความทรงจำอยู่แบบนี้
“เถ้าแก่ ขอนสพ.วัฒนธรรมมณฑลหุยโจวหนึ่งฉบับครับ” มีคนเดินเข้ามาและพูดขึ้น
“เจ็ดหมอ” หลี่อวี้ส่งหนังสือพิมพ์ไปให้
เฉินเฉิง ล้วงกระเป๋าเพื่อหาสตางค์ แต่พบว่ามีแต่แบงค์ร้อย ไม่เหลือเหรียญหรือแบงค์ย่อยไว้เลย
“มีเงินทอนแบงค์ร้อยไหม?” การซื้อของราคาถูก ๆ ด้วยแบงค์ใหญ่เป็นปัญหาในยุคนั้น เพราะร้านส่วนใหญ่จะเข้าใจผิดว่าเป็นการตั้งใจมาซื้อเพื่อแลกแบงค์ทอน พ่อค้าแม่ค้าหลายคนจึงเลือกที่จะไม่ขายแทนการให้แลกเงินทอนออกไป
หลี่อวี้กล่าวว่า “ก็ทอนได้ แต่อาจจะเป็นเหรียญสลึงห้าสลึงเป็นส่วนใหญ่นะ” เขาเปิดแผงหนังสือ ขายของในราคาเจ็ดสลึง คนมาซื้อส่วนใหญ่จะมีแต่เหรียญสลึงหรือเหรียญห้าสลึงติดตัว บางคนก็ใช้แบงค์หนึ่งหยวนมาแลก ดังนั้นเหรียญใหญ่ ๆ จึงไม่มีให้แลกเท่าไหร่
“หาได้ก็คงเจอแต่เหรียญน่ะ” เฉินเฉิงคิด เพราะถ้าจะต้องได้เหรียญกลับมาเป็นร้อยคงไม่สะดวกเท่าไหร่
โชคดีที่ไม่นานนัก เฉินเฉิงมองเห็นเงาร่างหนึ่งที่คุ้นเคยบนถนน แสงไฟสลัว ๆ ทอดเงาผมเปียที่แกว่งเบา ๆ ไปบนพื้น
เฉินเฉิงจึงยกมือเรียกเธอให้หยุด
เจียงลู่ซีจอดจักรยาน มองมาทางเฉินเฉิงด้วยดวงตาสดใสอย่างสงสัย
“ขอยืมเงินหนึ่งหยวนได้ไหม?” เฉินเฉิงเอ่ยขึ้น
“พวกเธอกำลังทำอะไรกันอยู่?” ในตอนนั้นเอง เฉินชิง และ หวังเยี่ยน ก็เดินเข้ามาใกล้
“ไม่เป็นไร ให้เอาหนังสือพิมพ์ไปก่อน แล้วค่อยเอามาจ่ายครั้งหน้า ฉันรู้ว่าพวกเธอเรียนที่โรงเรียนนี้ ผ่านมาทุกวัน” หลี่อวี้กล่าว
“เธอลืมเอาเงินมาเหรอ?” หวังเยี่ยนถาม
“ไม่ใช่ลืมเอามา แต่เขามีแต่แบงค์ร้อย” หลี่อวี้ตอบ
เฉินชิงล้วงกระเป๋าหยิบเงินหนึ่งหยวนห้าสิบเซ็นต์ออกมา “เดี๋ยวฉันจ่ายให้เขาเอง” พร้อมกับซื้ออีกฉบับสำหรับตัวเอง
ในขณะที่เจียงลู่ซีกำลังเอาเงินหนึ่งหยวนออกจากกระเป๋าผ้า ก็ต้องเก็บมันกลับไป
ก่อนหน้านี้ เจียงลู่ซีเคยทำเงินหล่นหายเวลาล้มจักรยานเพราะถนนในหมู่บ้านไม่มีไฟและขรุขระ และเงินที่พกมาก็มีไม่มากพอ หากหายไปจะทำให้เธอต้องอดอาหารไปทั้งวัน ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ทรมานอย่างมาก
ดังนั้นเวลาพกเงินเธอจึงมักจะมัดไว้ในกระเป๋าผ้าที่ทำเอง และจะกำเงินไว้แน่นตอนทานข้าวเช้าและกลางวัน เพื่อความปลอดภัย
“ขอบใจนะ เดี๋ยวถึงโรงเรียนจะคืนให้” เฉินเฉิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ระหว่างเราสองคนไม่ต้องขอบคุณหรอก เธอเคยซื้อของให้ฉันเท่าไหร่แล้วล่ะ ของแค่นี้คืนมาฉันก็ไม่เอาหรอก” เฉินชิงยิ้ม
“ว่าไปแล้ว นี่ก็เป็นหนังสือพิมพ์ที่พ่อฉันให้เธอซื้อ ฉันคิดมาตลอดสองวันที่ผ่านมา ว่าพ่อให้ซื้อหนังสือพิมพ์นี้ทำไม ในที่สุดก็จะได้รู้คำตอบแล้ว ฉันถามเขาอยู่หลายรอบ เขาก็ไม่ยอมตอบ จนฉันจะตายเพราะอยากรู้แล้ว” เฉินชิงยิ้มก
ว้างจนเห็นฟันเรียงสวย
เจียงลู่ซีเก็บเงินกลับใส่กระเป๋าผ้าแล้วขี่จักรยานออกไปจากตรงนั้น
“พวกเธอพูดอะไรกันน่ะ? ในนสพ.นี้มีอะไรบ้าง? ฉันต้องซื้อมาดูด้วย” หวังเยี่ยนหยิบเงินแล้วขอซื้อหนังสือพิมพ์อีกฉบับ
หลี่อวี้เองก็อดสงสัยไม่ได้ หนังสือพิมพ์วัฒนธรรมมณฑลหุยโจวตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1988 เป็นที่นิยมเพราะคุณภาพและเนื้อหา แต่โดยมากแล้วนักเรียนจะไม่ซื้อ นักเรียนที่ซื้อหนังสือพิมพ์จะเลือกซื้อฉบับอื่นมากกว่า
หลังจากเสียเวลาอยู่ที่แผงหนังสือสักพัก เมื่อไปถึงโรงเรียน จางฮวนก็มาเปิดประตูแล้ว
เฉินเฉิงนั่งที่โต๊ะเรียนพร้อมกับหนังสือพิมพ์
“โจวหยวน มีเงินติดตัวไหม?” เฉินเฉิงถาม
“มีครับ ทำไมเหรอ?” โจวหยวนถาม
“หลังคาบเสร็จไปคืนเงินหนึ่งหยวนให้เฉินชิงแทนฉันหน่อย” เฉินเฉิงกล่าว
ถ้าไปคืนเอง เฉินชิงคงไม่ยอมรับ แต่ถ้าให้โจวหยวนไปคืนก็น่าจะง่ายกว่า
“ได้เลยครับ” โจวหยวนพยักหน้า
เฉินเฉิงหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านทบทวน
ในห้องพักครู ต้วนเหวยกั๋วเพิ่งชงชาพร้อมกับเดินตรวจนักเรียนในห้องสองเสร็จ จึงหยิบหนังสือพิมพ์ที่เพิ่งซื้อขึ้นมาอ่าน
ต้วนเหวยกั๋วชอบอ่านหนังสือพิมพ์วัฒนธรรมตั้งแต่เริ่มสอนที่อันเฉิงจนถึงปัจจุบัน ผ่านมาสองสามสิบปีแล้ว เขาจิบชาพลางอ่านไปเรื่อย ๆ
เมื่อมาถึงบทกลอนที่เขียนโดย หลี่โป๋ ประธานสมาคมนักเขียนในเมืองลูโจว เขาหยุดอ่าน บทกวีฤดูใบไม้ร่วงของหลี่โป๋นั้นตีพิมพ์บ่อยครั้งในหนังสือพิมพ์เล่มนี้ และต้วนเหวยกั๋วก็เคยเห็นมาก่อนจึงไม่รู้สึกแปลกใจ
แต่เมื่ออ่านไปถึงหน้าถัดไป เขาก็หยุดชะงักไปอย่างฉับพลัน