บทที่ 65 โรงแรมรุ่ยลี่ ตอนที่ 2
บทที่ 65 โรงแรมรุ่ยลี่ ตอนที่ 2
การทำงานที่โรงแรมรุ่ยลี่นั้น สามารถพักอาศัยในหอพักได้ โดยเพียงแค่จ่ายค่าเช่าเล็กน้อย แน่นอนว่าถูกกว่าการเช่าห้องเองมาก
หอพักนี้เป็นอพาร์ตเมนต์ใกล้โรงแรม ส่วนใหญ่จะเป็นห้องแบบสามห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น แต่ละคนได้ห้องของตัวเอง
อาคารนี้มีอายุมากแล้ว แต่ภายในห้องพักก็ยังตกแต่งได้ดีอยู่ เสิ่นชงหรานเจอห้องของตัวเองและล้มตัวลงนอนโดยไม่ทันได้อาบน้ำ
ตอนที่เปลี่ยนกะยังไม่รู้สึกง่วงมากนัก แต่พอเห็นเตียง ความง่วงก็ถาโถมขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
เมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เป็นเวลาเย็นแล้ว เสิ่นชงหรานมองนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นกว่า เธอลุกขึ้นล้างหน้าแล้วออกไปหาอะไรกิน เพราะคืนนี้เธอต้องไปทำงานกะกลางคืน
ช่วงนี้ในโลกของภารกิจนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ตอนกลางวันอาจจะยังร้อนนิดหน่อย แต่ตอนเย็นอากาศก็เย็นลง สายลมยามค่ำคืนที่พัดมากระทบใบหน้าช่วยเพิ่มความเย็นสบาย
โรงแรมรุ่ยลี่ตั้งอยู่ใกล้ย่านการค้า มีศูนย์การค้าสองสามแห่งอยู่แถวนั้น และแผงขายของกินก็มีมากมาย ช่วงใกล้ค่ำที่นี่จะยิ่งคึกคัก
เมื่อเสิ่นชงหรานเดินออกมา ก็ต้องเดินเบียดเสียดกับผู้คนบนถนน เพราะคนเยอะมาก
เธอเจอแผงขายเกี๊ยวเล็กๆ จึงนั่งลงที่โต๊ะและสั่งเกี๊ยวไส้ผักหนึ่งชุด
งานกะกลางคืนเริ่มตั้งแต่สองทุ่มไปจนถึงแปดโมงเช้าของวันถัดไป ซึ่งเป็นเวลาที่ยาวนาน แต่ค่าจ้างช่วงกลางคืนก็ค่อนข้างสูง ทำให้ไม่มีใครบ่นเรื่องเวลาที่ยาวนาน
กลับถึงหอพัก เธอใช้คอมพิวเตอร์ของตัวตนในภารกิจนี้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรมรุ่ยลี่
โรงแรมรุ่ยลี่เป็นกิจการของคู่สามีภรรยา เดิมทีเป็นเพียงโรงแรมเล็กๆ ทั้งสองทุ่มเทจนสร้างโรงแรมแห่งนี้เป็นเครือโรงแรมใหญ่
สาขาที่เสิ่นชงหรานทำงานอยู่คือสาขาหลัก ซึ่งเดิมทีเป็นโรงแรมเล็กๆ สาขาแรก เจ้าของโรงแรมปรับปรุงขึ้นใหม่ ทำให้เจ้าของมักจะมาที่นี่ทุกๆ สองสามวัน
เสิ่นชงหรานอ่านข้อมูลคร่าวๆ และเริ่มค้นหาข่าวการเกิดคดีในโรงแรมนี้
แต่เธอไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตเลย เช่น เสียชีวิตปีไหน เป็นชายหรือหญิง
หลังจากตรวจสอบโดยรวม พบว่าสาขาหลักนี้สร้างขึ้นใหม่เมื่อสิบปีที่แล้ว และมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นสี่คดี
คดีแรกเกิดขึ้นในปีที่สองหลังการปรับปรุง เป็นคู่รักทะเลาะกัน จบลงด้วยฝ่ายหญิงตกจากชั้นบนเสียชีวิต
ภายหลังการสอบสวนพบว่าฝ่ายหญิงข่มขู่ฝ่ายชายเพื่อไม่ให้เลิกกัน ขณะทะเลาะกันอย่างรุนแรงก็พลัดตกจากหน้าต่างไป
เสิ่นชงหรานอ่านถึงตรงนี้ก็แอบขบขันอยู่ในใจ รักตัวเองสำคัญที่สุดจริงๆ
คดีที่สองเกิดขึ้นในปีที่สี่ของโรงแรม มีชายสูงอายุที่มาร่วมงานเลี้ยงของญาติ แต่โชคร้ายที่เกิดอาการป่วยเฉียบพลันและเสียชีวิตในห้องพักระหว่างที่ญาติที่พักด้วยกันออกไป
คดีที่สามเกิดขึ้นในปีที่หก เป็นหญิงสาววัยรุ่นเสียชีวิตบนดาดฟ้าของโรงแรม สันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตายจากอาการซึมเศร้า
คดีที่สี่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ตรงกับวันที่ 16 พอดี พนักงานที่เข้าเวรกะกลางคืนเสียชีวิตอย่างกระทันหันในห้องครัวหลังบ้าน ส่วนพนักงานกะกลางคืนคนอื่นๆ ไม่มีใครเป็นอะไร ภายหลังจากการชันสูตรพลิกศพ แพทย์ระบุว่าเขาเสียชีวิตจากอาการป่วยเฉียบพลัน เจ้าของโรงแรมจ่ายค่าชดเชยให้ครอบครัวพนักงาน และเรื่องก็จบลง
เมื่ออ่านไปจนถึงคดีที่สี่ คดีนี้ดูน่าสงสัยที่สุด เพราะโรงแรมเพิ่งตัดสินใจปิดให้บริการในวันที่ 16 ของปีนี้ ซึ่งเป็นวันที่พนักงานคนนั้นเสียชีวิต ความเกี่ยวข้องระหว่างสองสิ่งนี้มีแน่ๆ
ข่าวเหล่านี้ไม่ได้เป็นที่ฮือฮาบนโลกออนไลน์มากนัก และยังปกปิดข้อมูลส่วนตัวของผู้เกี่ยวข้องไว้อย่างดี
เสิ่นชงหรานปิดคอมพิวเตอร์ไป ตั้งใจว่าจะสอบถามจากเพื่อนร่วมงานที่มีประสบการณ์เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนกะดูว่าเธอรู้เรื่องอะไรบ้าง
•
ก่อนสองทุ่มเล็กน้อย เสิ่นชงหรานก็มาถึงโรงแรมและเปลี่ยนเป็นชุดทำงาน เพื่อนร่วมงานที่ทำกะกลางวันยังคงนั่งเบื่ออยู่ที่เคาน์เตอร์
เมื่อเธอมาถึงหน้าเคาน์เตอร์จึงเอ่ยทักขึ้น “วันนี้ยุ่งไหม?”
หยวนซิน เพื่อนร่วมงานที่มีประสบการณ์ตอบว่า “ไม่ยุ่งหรอก เหมือนเดิม แขกมากันพอประมาณ”
เสิ่นชงหรานวางแก้วน้ำของตัวเองลงบนโต๊ะ “พี่ซินคะ ตอนเช้าได้ยินพี่พูดว่าปีนี้วันที่ 16 เราจะหยุดบริการ มันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผ่านมาไหม?”
หยวนซินชะงักไปชั่วครู่ “อ๋อ? เรื่องอะไรเหรอ?”
เสิ่นชงหรานกล่าวว่า “ก็เรื่องที่ฉันได้ยินมาน่ะค่ะ ตอนที่ฉันเพิ่งมาทำงานใหม่ๆ มีคนพูดกันถึงพนักงานคนหนึ่งของเรา ที่เสียชีวิตกระทันหันในห้องครัวตอนทำงานกะกลางคืนวันที่ 16 เมื่อปีที่แล้ว”
หยวนซินกลอกตา คิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาได้ “อ้อ เรื่องนั้นสินะ ตอนนั้นพวกเรายังพูดถึงกันตั้งหลายวัน เดี๋ยวนี้คนหนุ่มสาวก็แบบนี้ อยากได้เงินเยอะ ก็ต้องแลกกับสุขภาพน่ะสิ”
พวกเธอต่างคิดว่าพนักงานคนนั้นคงทำงานกะกลางคืนบ่อยเกินไป จนสุขภาพทรุดโทรมและเสียชีวิตอย่างกะทันหัน
แต่พอลองคิดอีกที ก็รู้สึกว่ามันแปลกจริงๆ “ที่เธอพูดก็มีเหตุผลนะ เพราะเวลามันประจวบเหมาะเหลือเกิน พอคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาเหมือนกัน”
โจวเมิ่งเยว่ เพื่อนร่วมงานอีกคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ยื่นมือไปตบไหล่ของหยวนซินเบาๆ “พี่ซิน ดึกๆ อย่าพูดเรื่องน่ากลัวสิคะ เดี๋ยวเราต้องกลับบ้านด้วยนะ”
โจวเมิ่งเยว่พักห้องเดียวกับหยวนซิน แม้ทางกลับหอพักจะมีไฟถนน แต่ด้วยอายุของตึก บางช่วงก็มีไฟถนนที่ชำรุด หากเอาแต่พูดเรื่องนี้ตลอดทาง เดี๋ยวเธอจะกลัวขึ้นมาจริงๆ
หยวนซินพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ๆ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เอาเป็นว่าจะไปหาของกินดี หรือกลับไปกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่บ้านดี?”
โจวเมิ่งเยว่ตอบ “กินอะไรล่ะคะ ฉันลดน้ำหนักอยู่ ถ้ายังกินอีก ชุดทำงานคงใส่ไม่ได้แล้ว”
เสิ่นชงหรานหันไปมองโจวเมิ่งเยว่ อันที่จริงเพื่อนร่วมงานคนนี้ผอมมากแล้ว เป็นแบบผอมแห้งเสียด้วยซ้ำ
หยวนซินหัวเราะ “พูดอะไรของเธอ ดูสิ ผิวหนังเธอแทบจะไม่มีเนื้ออยู่แล้ว”
ในระหว่างการหยอกล้อ เวลาก็ผ่านไปถึงสองทุ่ม เพื่อนร่วมงานทั้งสองคนกล่าวลาแล้วออกจากโรงแรมไปพร้อมเสียงหัวเราะ
เสิ่นชงหรานนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ ท่ามกลางแสงไฟสว่างทั่วทั้งโถงกลาง คืนนี้พนักงานรักษาความปลอดภัยที่เข้าเวรกลางคืนก็ทักทายเธอด้วย
หลังจากดื่มน้ำหมดแก้ว เสิ่นชงหรานก็รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ
“ลุง รบกวนช่วยดูที่นี่ให้หน่อยนะคะ ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ แป๊บเดียวค่ะ”
คุณลุงที่ยืนอยู่ใกล้โถงกลางพยักหน้าให้ เสิ่นชงหรานลุกขึ้นและเดินไปที่ห้องน้ำ
ห้องน้ำพนักงานอยู่ชั้นล่าง ไม่ไกลจากโถงกลางนัก
เมื่อเสร็จธุระ เสิ่นชงหรานเดินออกมา พลางสะบัดมือที่ยังเปียก
เธอเดินไปไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงคนพูด จึงหยุดฟังอย่างตั้งใจ
“…ออกไป นี่มันที่ไหน…”
เสียงพูดไม่ปะติดปะต่อ เสิ่นชงหรานพยายามฟังอย่างระมัดระวัง เสียงนั้นดูเหมือนมาจากห้องเก็บของ ซึ่งเป็นที่เก็บไม้ถูพื้นและไม้กวาด ในเวลานี้ไม่น่ามีใครอยู่ตรงนั้น
แม้ว่าตัวเธอจะมาทำภารกิจ แต่บทบาทในภารกิจนี้ก็คือพนักงานโรงแรม หากมีใครน่าสงสัย เธอก็ต้องเข้าไปตรวจสอบ
ยิ่งเดินเข้าใกล้ห้องเก็บของ เสียงยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ
“มีใครอยู่ไหม ฉันออกไปไม่ได้แล้ว”
เสียงนั้นฟังดูเหมือนกำลังจะร้องไห้ เป็นเสียงของผู้หญิง เสิ่นชงหรานเริ่มรู้สึกระแวง
..........