ตอนที่แล้วบทที่ 61 รถไฟฟ้าใต้ดินสายสี่ ขบวนสุดท้าย ( ติดตามผล 1  )
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 63 โลกแห่งความจริง

บทที่ 62 รถไฟฟ้าใต้ดินสายสี่ ขบวนสุดท้าย ( ติดตามผล 2  )     


บทที่ 62 รถไฟฟ้าใต้ดินสายสี่ ขบวนสุดท้าย ( ติดตามผล 2  )

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 โลกอยู่ในช่วงที่ก้าวหน้าพัฒนาอย่างรวดเร็ว เมืองถังก็เช่นกัน พวกเขาต้องการเข้าถึงเส้นทางการพัฒนา จึงขอรับเงินทุนมหาศาลเพื่อพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน หนึ่งในโครงการใหญ่คือการสร้างรถไฟใต้ดิน ซึ่งในเวลานั้นเป็นระบบขนส่งที่มีเฉพาะในเมืองหลวงหรือเมืองขนาดใหญ่อันดับต้นๆ เท่านั้น

เมืองถังซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะเมืองที่มีธุรกิจเอาท์ซอร์สเป็นหลัก จึงมีบริษัทหลายแห่งในอุตสาหกรรมนี้เข้ามาตั้งรากฐานที่นี่ ส่งผลให้มีคนรุ่นใหม่หลั่งไหลเข้ามาทำงานมากขึ้น

หวังเจ๋อในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการหนึ่ง เกิดความโลภขึ้น อยากยักยอกเงินทุนโครงการ นำไปสู่การขาดแคลนวัสดุในโครงการรถไฟใต้ดินที่เขาควบคุม ซึ่งพวกเขาคิดว่าแม้จะมีข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อยก็คงไม่ส่งผลต่อเส้นทางรถไฟใต้ดินทั้งสาย ดังนั้นจึงเก็บเงินนั้นไว้ใช้เองอย่างสบายใจ จนกระทั่งเรื่องราวถูกเปิดโปงและพวกเขาทั้งหมดต้องโทษประหารชีวิต

นอกจากเรื่องการทุจริตแล้ว ผู้คนในโลกออนไลน์ยังได้ให้ความสนใจถึงเรื่องของครอบครัวของเด็กสาวสองคนที่เป็นเหยื่อในเหตุการณ์

...

เฉินม่านม่านและหยางเจาจี้ เป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน ทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนสนิทกันอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีพื้นเพครอบครัวที่คล้ายคลึงกัน

ในยุคต้นศตวรรษที่ 21 เรื่องการรักลูกชายมากกว่าลูกสาวยังพบเห็นได้บ่อย โดยเฉพาะในครอบครัวของสองสาวซึ่งต้องพึ่งพาระบบการศึกษาภาคบังคับของรัฐอย่างที่สุดเพื่อให้ได้เรียนรู้ผ่านหนังสือและเข้าใจว่าตนเองถูกกดขี่อย่างไรจากครอบครัวเช่นนี้

อย่างไรก็ดี พวกเธอไม่อาจฝ่าฝืนผู้ปกครองที่เข้มงวดได้ สองสาวเป็นพี่คนโต มีน้องชายและน้องสาว หากพวกเธอออกจากบ้านไป พวกเธอคงไม่สามารถเรียนต่อได้ และคงต้องเข้าสู่กระแสการทำงานตั้งแต่ยังเด็ก

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 คนหนุ่มสาวที่ออกมาทำงานมีอยู่มาก ทั้งคนที่เรียนไม่จบและคนที่ครอบครัวขาดแคลนเงินทอง หลังจากเรียนจบการศึกษาภาคบังคับก็ตัดสินใจออกมาทำงาน

หยางเจาจี้และเฉินม่านม่านต่างมีหน้าตาสะสวย ทำให้พ่อแม่ที่ละโมบคิดจะให้พวกเธอแต่งงานทันทีหลังจบมัธยมต้น เพื่อแลกกับเงินสินสอดจำนวนหนึ่งมาเตรียมสร้างอนาคตให้กับลูกชาย

สองสาวจึงหลบหนีออกจากครอบครัวไปทำงานโรงงาน แต่ในใจก็ยังเป็นห่วงว่าน้องสาวที่ยังเล็กอาจจะถูกจับตามองอย่างเข้มงวดมากขึ้น จนอาจไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ

หลังจากปรึกษากัน ทั้งคู่จึงตัดสินใจส่งเงินที่หาได้จากการทำงานกลับบ้าน เพื่อขอร้องให้พ่อแม่เปิดโอกาสให้น้องสาวได้เรียนต่อ โดยพวกเธอบอกว่าการศึกษาที่สูงขึ้นจะทำให้หาเงินได้มากกว่า และสามารถช่วยเหลือครอบครัวได้มากขึ้น

พ่อแม่ของพวกเธอที่ละโมบเห็นเงินที่ส่งมาตรงเวลาในทุกเดือน จึงยอมให้ลูกสาวคนเล็กได้เรียนต่อ แต่ก็ได้เพียงระดับมัธยมปลายเท่านั้น เพราะตอนนั้นน้องสาวก็จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

พวกเขาคิดว่าเมื่อพี่สาวหาเงินได้มากขนาดนี้ น้องสาวที่จบมัธยมปลายแล้วออกมาทำงานก็น่าจะหาเงินได้มากกว่าเดิม ส่วนเรื่องเข้ามหาวิทยาลัยนั้นไม่ต้องคิดเลย ค่าเล่าเรียนสี่ปีนั้นเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่แม้แต่จะอยากจ่าย การที่ปล่อยให้น้องสาวได้เรียนมัธยมปลายนั้นก็เพราะเงินที่ส่งมานั้นมาจากพี่สาว

แม้จะตัดใจไปบ้าง แต่พ่อแม่ก็ยังคงรู้สึกเสียดายเงินที่ต้องใช้ไป

สถานการณ์นี้ดำเนินไปได้ปีหนึ่ง จำนวนเงินที่ส่งกลับบ้านเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พ่อแม่ของสองสาวล้มเลิกความคิดที่จะให้ลูกสาวคนอื่นแต่งงานออกไป พวกเขาคิดว่าหากให้ทุกคนออกไปทำงานและส่งเงินกลับมาทุกเดือน ลูกชายก็จะไม่ต้องกังวลเรื่องหาสินสอดและซื้อบ้านซื้อรถในอนาคต แถมอาจจะได้บ้านเพิ่มอีกสักหลังถ้าฐานะดีพอ

หยางเจาจี้ยืนยันให้น้องสาวเรียนต่อจนถึงมหาวิทยาลัย โดยคิดว่า หากมีคนที่ได้รับการศึกษาสูงในครอบครัวก็จะช่วยหนุนให้ครอบครัวก้าวหน้าได้ และยังสามารถสนับสนุนอนาคตของน้องชายได้อีกด้วย

แม้ว่าพ่อแม่จะบอกว่าให้เรียนถึงมัธยมปลายก็พอ แต่สองสาวก็วางแผนว่าค่อยพยายามเกลี้ยกล่อมอีกที เพราะน้องสาวเรียนเก่งแต่ลูกชายของพวกเขานั้นไม่เอาไหน

พ่อแม่ของหยางเจาจี้เริ่มใจอ่อนบ้าง เพราะลูกสาวแสดงออกว่าพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว

เงินค่าเรียนของน้องๆ จึงเป็นเงินที่หยางเจาจี้ส่งให้จากการทำงานในบริษัทเอาท์ซอร์สกับเฉินม่านม่าน ซึ่งงานนี้ต้องใช้ความคิดมากกว่าและได้เงินดีกว่าเดิม

พวกเธอคิดว่าอนาคตคงจะสดใสและสักวันน้องๆ ก็จะได้เรียนสูงๆ และออกไปใช้ชีวิตโดยไม่มีการควบคุมจากครอบครัวอีก

แต่ในคืนหนึ่ง รถไฟใต้ดินเกิดอุบัติเหตุรถตกราง สองสาวต้องจบชีวิตท่ามกลางเพลิงไหม้ ความหวังทุกอย่างมอดไหม้ไปพร้อมกับพวกเธอ

มีเพียงพ่อแม่ของพวกเธอที่ยอมรับเงินชดเชยจากการเสียชีวิตของลูกสาว และเมื่อพวกเขาเห็นว่าลูกสาวคนโตเสียชีวิตไปแล้ว จึงไม่ยอมให้ลูกสาวคนอื่นเรียนต่อ แถมอาจเพราะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง พ่อแม่ของ หยางเจาจี้และเฉินม่านม่านจึงตัดสินใจให้ลูกสาวที่เหลือรีบแต่งงาน

น้องสาวของพวกเธอที่ถูกพี่สาวปลูกฝังมาตลอด ไม่ต้องการชีวิตที่ถูกจัดการเช่นนั้น

จึงแอบเปิดตู้ที่บ้าน หยิบบัตรประชาชนกับทะเบียนบ้านออกมาหลบหนี พวกเธอกอดรูปพี่สาวไว้ ร้องไห้ไปด้วยและตัดสินใจอย่างหนักแน่นว่าจะประสบความสำเร็จให้ได้

...

เรื่องราวของเด็กสาวสองคนนี้ทำให้ชาวเน็ตโกรธเคือง โดยเฉพาะหญิงสาวหลายคนที่รู้สึกเจ็บปวดเช่นเดียวกัน

ไม่รู้ว่าเพราะกรรมตามสนองหรือไม่ พ่อแม่ของเด็กสาวสองคนนี้ใช้เงินก้อนใหญ่ที่ได้รับไปซื้อบ้านและรถยนต์ รวมถึงเปิดร้านค้า

สำหรับน้องชายของเฉินม่านม่าน เมื่อเขาเติบโตขึ้นก็ตระหนักว่าการกระทำของพ่อแม่นั้นผิด หลังจากพี่สาวคนโตเสียชีวิตและพี่สาวคนอื่นหลบหนีออกจากบ้าน เขารู้สึกผิดและออกไปทำงานไกลบ้านเพื่อชดเชย

พ่อแม่ของเขาใช้เงินมากมายตามหาตัวเขา แต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายทั้งคู่ก็ล้มป่วยอย่างหนักและใช้เงินที่เหลือจนหมด ท้ายที่สุดได้พบกับลูกชายอีกครั้งก่อนตาย แต่เขาก็ไม่สามารถให้อภัยพวกเขาได้ รวมถึงยังโทษตัวเองที่การมีตัวตนของเขานำมาซึ่งโศกนาฏกรรมของพี่สาว

ส่วนด้านน้องชายของหยางเจาจี้ เขาติดอบายมุขทุกอย่าง พอจบมัธยมต้นก็ออกไปพเนจรนอกบ้าน เงินในบ้านไม่เพียงพอให้เขาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย

ไม่นานหลังการเสียชีวิตของหยางเจาจี้ เงินล้านที่ได้รับมาทั้งหมดก็หมดสิ้นภายในไม่กี่ปี พ่อแม่ต้องออกไปทำงานใช้หนี้พนันของเขา และมักถูกลูกชายทำร้ายร่างกายเพราะต้องการเงิน

เพื่อนบ้านเล่าว่าพ่อแม่ของเขามักพร่ำเพ้อว่า น่าจะเลี้ยงลูกสาวให้ดีตั้งแต่แรก

เมื่อความจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของพี่สาวปรากฏ น้องสาวที่หนีออกจากบ้านในอดีตและประสบความสำเร็จในชีวิตต่างกลับมายังสถานีรถไฟใต้ดินสายสาม พวกเธอนั่งคุกเข่าอยู่ในมุมเงียบ ร้องไห้เบาๆ

ในค่ำคืนที่เงียบสงัด ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม เดินมายังชานชาลา เขาคุกเข่าลงปิดหน้าร้องไห้

"พี่ครับ ผมขอโทษ ถ้าผมไม่เกิดมามันคงดีกว่านี้!"

เมื่อร้องไห้ได้สักพัก เขารู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังลูบศีรษะเขา เฉินเชาเงยหน้าขึ้น เห็นพี่สาวคนโตเฉินม่านม่านในวัยสาวยืนอยู่ตรงหน้า

“อย่าร้องนะ เชาเชา พี่ไม่เคยโทษเธอเลย”

เฉินเชาโอบกอดขาพี่สาวไว้ ราวกับตอนที่เขายังเด็กและโดนรังแกแล้วมักมาหาพี่สาวเพื่อปลอบใจ ซึ่งพี่สาวก็จะปลอบเขาและตักเตือนคนที่รังแกเขาเสมอ

เฉินม่านม่านลูบศีรษะน้องชาย เธอรู้ดีว่าความผิดไม่ใช่เพราะการมีอยู่ของน้องชาย แต่เป็นเพราะความลำเอียงของพ่อแม่ แต่ตอนนี้เธอก็ไม่โกรธแล้ว

เหล่าวิญญาณในรถไฟใต้ดินสายสี่ค่อยๆ เลือนหายไปตามการคลี่คลายของคดี เหล่าวิญญาณที่เคยอาฆาตค่อยๆ ปลดปล่อยตัวเองจากความแค้น

เฉินเชาเดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน หันกลับไปเห็นพี่สาวที่งดงามอ่อนโยนโบกมือให้เขา

ข้างๆ กันนั้นมีหยางเจาจี้และคนอื่นๆ พวกเขากำลังอำลากันเป็นครั้งสุดท้าย

เฉินม่านม่านจับมือหยางเจาจี้ไว้ "อย่าโกรธอีกเลย ไปกันเถอะ เพื่อชดใช้ความผิดของเรา"

พวกเธอต่างก็เคยทำร้ายผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ จึงต้องชดใช้กรรมที่ได้กระทำไว้

..........

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด