บทที่ 22 พันธสัญญา
สีหน้าของจินเป่าเอ๋อแข็งทื่อเล็กน้อย ใครจะไปคิดว่านกฟินิกซ์ที่สูงศักดิ์และทรงพลังอย่าง “จินหวง” นั้น ตอนแรกเกิดจะมีรูปร่างหน้าตาน่าขบขันแบบนี้ ดูไปเหมือนลูกเจี๊ยบไร้ขน หัวโตเท่าลำตัว แถมตายังกลมแป๋วเป็นสีดำสนิท!
ส่วนลูกนกน้อยที่เพิ่งฟักออกมานั้น ดูเหมือนจะมีความคิดเห็นตรงกันข้าม เมื่อมันหันมามองจินเป่าเอ๋อก็เห็นว่า "โอเค หน้าตาใช้ได้" มันพึงพอใจพร้อมให้การยอมรับ
ทันใดนั้นเอง เจ้าลูกนกก็สังเกตเห็นแววตารังเกียจเล็กๆ ที่แฝงในสายตาของจินเป่าเอ๋อ ทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ของมันแทบแตกสลาย
"เอ๊ะ! นั่นอะไรน่ะ เจ้าไปเก็บไข่ไก่จากที่ไหนมา? พอดีข้ากินยาอิ่มท้องจนเบื่อแล้ว ขอเอามาทอดเป็นไข่กินดีไหม"
หลี่ชิงจิ่วที่เห็นจินเป่าเอ๋อวิ่งออกไปนานแล้วไม่กลับมา ก็เลยเดินตามมาดู พอเห็น “ไข่ใบใหญ่” ที่จินเป่าเอ๋อกำลังกอดอยู่ สายตาของเขาก็แวววาวขึ้นทันที
จินเป่าเอ๋อหันไปมองเขาพลางเตรียมอธิบายว่านี่คือไข่ของเทพอสูร แต่จู่ๆ ไข่ในมือของนางก็เริ่มกระตุกอย่างแรง เจ้าลูกจินหวงที่อยู่ในไข่เหมือนจะได้ยินคำพูดของหลี่ชิงจิ่วเข้า จนโกรธสุดขีด จากเดิมที่คิดจะเลิกพยายามฟักตัว ตอนนี้มันฮึดสู้ทันที เมื่อถูกเจ้านายที่เลือกเองมาดูถูกยังไม่พอ ยังมีมนุษย์เพศผู้โง่เขลาคิดจะกินมันอีก! ยังบังอาจเรียกมันว่า “ไข่ไก่” อีกหรือ
มันพยายามดันตัวออกมาจากเปลือกไข่จนเกิดรอยแตกกว้างขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด มันก็เผยให้เห็นหัวกลมๆอ้วนๆ โผล่ออกมา...
เมื่อเปลือกไข่แตกออกหมด ลูกนกตัวน้อยที่มีตัวสีชมพูอ่อนนอนอยู่บนฝ่ามือของจินเป่าเอ๋อ หายใจหอบถี่ๆ พร้อมกับจ้องเขม็งใส่หลี่ชิงจิ่วด้วยความโกรธจัด ร่างกายที่อ่อนแอและบอบบางนั้นทำให้จินเป่าเอ๋อเผลอคิดว่านางอาจจะได้ไข่ผิดใบมา…ไม่สิ! ไข่จินหวงต่างหาก!
หลี่ชิงจิ่วตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า "นี่…นี่…กินได้ไหมเนี่ย"
ทันทีที่ได้ยินคำว่า “กิน” เจ้าลูกนกก็พลิกตาอย่างแรง เกือบจะลุกขึ้นมาฟาดหน้าเขาเข้าให้!
จินเป่าเอ๋อที่ไม่เคยเลี้ยงสัตว์อสูรมาก่อน ก็ได้แต่พยายามโน้มน้าวตัวเองว่าเพราะมันเพิ่งเกิดใหม่ ร่างกายยังโตไม่เต็มที่ คงต้องเลี้ยงดูไปสักพักถึงจะงดงามขึ้น
“หลี่ชิงจิ่ว เจ้าเลี้ยงสัตว์อสูรเป็นใช่ไหม” จินเป่าเอ๋อจำได้ว่าเคยมอบสัตว์อสูรให้ลี่ชิงจิ่วไปเลี้ยง เลยส่งลูกจินหวงไปให้เขาดูแลแทน เพราะกลัวจะเลี้ยงไม่รอด
ลูกนกน้อยรับรู้ถึงการกระทำของนางและรู้สึกตกใจมาก เกรงว่านางจะเอามันไปให้คนอื่นเลี้ยงจริงๆ แม้ว่าตอนนี้มันจะดูน่าเกลียดไปบ้าง แต่มันสัญญาว่าจะสวยสง่าในอนาคต ขอแค่เก็บมันไว้เถอะ!
ตากลมโตสีดำของมันแทบจะกินพื้นที่ทั้งใบหน้า จ้องมองจินเป่าเอ๋ออย่างวิงวอน แต่ทว่า จินเป่าเอ๋อไม่รู้สึกถึงความน่ารักของมันเลย มือที่ยื่นไปนั้นไม่มีท่าทีจะหดกลับ
เจ้าลูกนกหมดความอดทน คิดว่าถ้าอย่างนั้นต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว มันอ้าปากงับนิ้วของจินเป่าเอ๋ออย่างแรง! เลือดที่ไหลออกมาได้ถูกมันดื่มเข้าไปอย่างรวดเร็ว จินเป่าเอ๋อรู้สึกเจ็บที่นิ้ว แต่ก็ดึงสติกลับมาทันที ก่อนจะอดกลั้นความรู้สึกอยากบีบเจ้าลูกนกให้ตายไปเสีย
หลังจากได้ดื่มเลือดของจินเป่าเอ๋อจนพอใจ ลูกนกก็นอนลงอย่างพึงพอใจ พลางเปล่งแสงสีทองล้อมรอบทั้งร่างก่อนจะจมหายไปในฝ่ามือของนาง...
สัญญาผูกพันเสร็จสิ้น!
ตัวอักษรแวบเข้ามาในความคิดของนาง จินเป่าเอ๋อถึงกับอึ้งไป…ยืนยันได้แล้วว่านี่คือไข่จินหวงของแท้! ไม่มีสัตว์ธรรมดาหรือสัตว์อสูรที่ไหนทำได้ขนาดนี้
คราวนี้นางคงปฏิเสธการดูแลเจ้าตัวน้อยนี้ไม่ได้แล้ว เพราะนางรู้สึกถึงสัญญาผูกพันที่เป็นพันธะร่วมชีวิต!
พันธะนี้ต่างจากสัญญาแบบนายบ่าว หรือสัญญาเสมอภาค เพราะเป็นสัญญาที่หายากและซับซ้อนกว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย อีกฝ่ายก็ต้องตายตามไป ไม่มีทางเลี่ยงได้ ซึ่งมักจะเป็นสัญญาระหว่างคู่รักสัตว์อสูรที่ภักดีต่อกัน
และที่สำคัญคือ! พันธสัญญานี้มีผลเพียงต่อนางเท่านั้น หากนางตาย เจ้าตัวน้อยจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย!
หมายความว่า… เจ้าตัวน้อยนี้ยอมยกชีวิตให้กับนางแล้วหรือนี่? ช่างโง่งมเสียจริง! หากนางต้องเผชิญหน้ากับแม่ของมันในภายภาคหน้า นางจะไม่โดนไล่ล่าหรอกหรือ?
พอนึกเช่นนั้น ทันใดนั้นทั้งมิติลับเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ความรู้สึกต่อต้านแผ่กระจายไปทั่วทุกทิศทาง พร้อมกับพลังมหาศาลที่ผลักดันให้นางหลุดออกจากมิตินั้นทันที
ในขณะเดียวกัน ในทะเลจิตของนางก็ปรากฏการเชื่อมโยงที่คุ้นเคยขึ้นมา คฤหาสน์เซียนยอมรับนางเป็นนายแล้ว!
ย้อนไปช่วงก่อนหน้า
ซูเซียนจือและพวกฝ่าดงก้อนหินที่แตกกระจายเข้าไปยังดินแดนแห่งหิมะหนาวเหน็บได้ก็เพราะการที่จินเป่าเอ๋อทำลายค่ายกลหินใหญ่
ด้วยพลังแห่งโชคลาภ ซูเซียนจือ “บังเอิญ” เจอลูกอสูรที่มีระดับสูงถึงขั้นจินตัน และแน่นอน การที่นางพบมันก็ย่อมดึงดูดเหล่าอสูรเข้ามาไล่ล่าพวกเขา นางและเพื่อนๆ จึงหนีตายกันจ้าละหวั่น เหนื่อยล้าจนบาดเจ็บ
ภายในถ้ำ
“เจ้าไปเอาอะไรมา? ทำไมอสูรพวกนั้นถึงได้คลุ้มคลั่งเช่นนี้!”
ปิงหนิงที่ทนไม่ไหวมาแต่แรก พูดออกมาเสียงเข้ม พวกเขาอยู่ด้วยกันสามวันแล้ว พอคลาดสายตากันแค่ครู่เดียว ซูเซียนจือก็หายตัวไปแล้วกลับมาพร้อมกับฝูงอสูรหิมะที่ไล่ล่ามาอย่างบ้าคลั่ง ในกลุ่มนั้นยังมีอสูรขั้นจินตัน หากพวกเขาไม่มีไพ่ตายติดตัว เกรงว่าคง…
ท่ามกลางคำตำหนิ ซูเซียนจือเบิกตากว้าง มองพวกเขาด้วยดวงตาเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาและความรู้สึกผิด
“ข้า…ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าแค่เผลอหลงทาง กว่าจะหาพวกท่านเจอ เหล่าอสูรหิมะก็โผล่มาพอดี ขอโทษ ข้าผิดเอง หากข้าไม่วิ่งพล่าน พวกท่านก็คงไม่…”
หญิงสาวในชุดขาวที่อ่อนแอสวยงาม แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจจนแทบล้นออกมา มือเล็กๆ บีบชายเสื้อด้วยความประหม่า ท่าทางนั้นชวนให้ผู้อื่นรู้สึกสงสาร ความโกรธที่คุกรุ่นพลันลดลงครึ่งหนึ่งทันที…
“ศิษย์น้องหนิง ซูเซียนจืออาจเพียงแต่หลงเข้าไปในเขตแดนอสูรหิมะโดยบังเอิญ พวกอสูรจึงเข้าใจผิดว่าเป็นผู้บุกรุกและไล่ล่าพวกเรา ตราบใดที่เราออกจากดินแดนของพวกมัน พวกมันคงไม่ไล่ตามมาอีก”
จูผิงชวนมองปิงหนิงอย่างเหนื่อยใจ เอ่ยปลอบอย่างไม่แยแส แม้ว่าเขาเองจะเสียสมบัติที่ช่วยชีวิตไปด้วย แต่เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของซูเซียนจือ… ก็คงไม่ใช่เจตนา
ไม่ทันไร เขาก็ได้รับสายตาขอบคุณจากซูเซียนจืออีกครั้ง แววตาอ่อนโยนซ่อนความละอายไว้ในที ช่วยลดความหงุดหงิดในใจของจูผิงชวนให้สงบลงอีก
“เหอะ จริงหรือ? ศิษย์พี่ช่างมีน้ำใจเสียจริง ไม่รู้ว่าใครเป็นศิษย์ร่วมสำนักกันแน่!”
ปิงหนิงที่ไม่ใช่คนเช่นเขา ย่อมไม่อาจทนเห็นท่าทีของซูเซียนจือได้ ในน้ำเสียงมีแต่ความประชดประชันและความหึงหวงเบาบาง
จูผิงชวนยังอยากพูดอะไรอีก แต่ก็ถูกอีกคนหนึ่งขัดไว้
“พอเถอะ! ตอนนี้สิ่งสำคัญคือคิดหาทางออกไปจากที่นี่ ข้าไม่อยากตายใต้กรงเล็บของอสูรหิมะ!”