ตอนที่แล้วบทที่ 107: ไหน ๆ ท่านก็มาแล้ว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 109: แกล้งป่วย

บทที่ 108: สายลับแคว้นหนานซวน


“ไอ้หนู เจ้ามีพื้นฐานร่างกายที่ดี สนใจจะเรียนวรยุทธหรือไม่?” อวี้เซิ่งคว้ามือของจื่อเฟิงและมองเขาด้วยสีหน้าพอใจ “ข้ารู้จักคนที่เหมาะสมที่จะเป็นอาจารย์ของเจ้า ข้าสามารถช่วยให้เจ้ากลายเป็นศิษย์ของเขาได้”

“แต่หลังจากที่เจ้าร่ำเรียนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เจ้าต้องสัญญาว่าจะทำตามคำขอของข้า 3 สิ่ง”

“ปล่อย!” เด็กหนุ่มไม่สนใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เขาเพียงแค่ดิ้นรนอย่างหนัก พอเห็นว่าตนหนีไม่พ้นจึงได้ใช้อวัยวะส่วนอื่นที่ไม่ใช่แขนโจมตีแทน

“ซี๊ดดด!” อวี้เซิ่งไม่คิดว่าตนจะถูกกัด “นี่เจ้าเป็นสุนัขจริง ๆ หรืออย่างไร?”

“ท่านพูดผิดแล้ว เขาไม่ใช่สุนัข เขาเป็นหมาป่า” มู่ไป๋ไป่รีบเข้าไปขัดจังหวะการต่อสู้ของคนทั้ง 2 “จื่อเฟิง ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร ท่านออกไปก่อนเถอะ”

ทว่าจื่อเฟิงยังคงยืนขวางหน้าเจ้านายโดยไม่ยอมออกไปไหน และจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างหวาดระแวง

เมื่อคนตัวเล็กเห็นว่าเธอไม่สามารถสั่งให้เขาหลบออกไปได้ เธอจึงทำได้เพียงถอนหายใจ “เอาเถอะ ท่านได้รับเงินไปแล้ว ท่านช่วยบอกข้าก่อนที่จะลงมือได้หรือไม่? ทำเช่นนี้มันกะทันหันเกินไป”

“ท่านกำลังทำให้จื่อเฟิงคิดว่าท่านต้องการทำร้ายข้าไปเสียแล้ว”

“ข้าลืมไป” อวี้เซิ่งยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ

“ข้าคิดว่าท่านตั้งใจ” มู่ไป๋ไป่แย้งเขาก่อนที่จะยกแขนขึ้นถามว่า “จุดฝังเข็มจุดนี้มีหน้าที่อะไร?”

“มันสามารถทำให้ชีพจรของพระองค์เหมือนจะป่วยจริง ๆ” นักฆ่าหนุ่มยืนขึ้นพลางปัดเสื้อผ้าของตัวเอง “ในตอนที่หมอหลวงจับชีพจรของพระองค์วันพรุ่งนี้ พระองค์เพียงแค่กดมันเหมือนที่ข้าทำเมื่อครู่นี้ก็พอ”

คำตอบของเขาทำให้ดวงตาของมู่ไป๋ไป่เป็นประกายทันที “มีวิธีดี ๆ เช่นนี้ด้วยหรือ?”

อวี้เซิ่งไม่ตอบ เขาทำเพียงหันหลังและเดินออกจากลานบ้านไป

เด็กหญิงได้ลองกดจุดฝังเข็มที่ชายหนุ่มบอกอีกครั้ง เนื่องจากเธอกลัวว่าจะลืมตำแหน่งจุดฝังเข็มในตอนที่ตื่นขึ้นวันพรุ่งนี้เช้า เธอจึงได้สั่งให้หลัวเซียวเซียวนำพู่กันและหมึกมาแต้มทำเครื่องหมายไว้ที่แขน

ในยามค่ำคืนอันมืดมิด

จวนร้างแห่งหนึ่งที่เขตชานเมืองมีแสงไฟสลัว 2-3 ดวงสว่างขึ้น

หากมองดูใกล้ ๆ จะพบว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ในลานบ้าน

ขณะนี้เซียวถังอี้แอบย่องเข้าไปเงียบ ๆ

คนของเขารายงานว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้มีกลุ่มคนน่าสงสัยปรากฏขึ้นที่นอกเมืองหลวง และมันเป็นเวลาใกล้เคียงกับช่วงที่มีกลุ่มเด็กหายตัวไป ดังนั้นเขาจึงฉวยโอกาสที่ตัวเองกำลังเมามายไปตรวจสอบดู

“นั่นใครน่ะ?!” ชายคนหนึ่งเปิดประตูออกมา พอเขาเห็นเซียวถังอี้ก็ตะโกนถามเสียงดัง

เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “คนของแคว้นหนานซวน?”

ในขณะนั้นเอง ชายคนนั้นก็ตระหนักว่าตนเองได้พูดภาษาของชาวหนานซวนออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ พลันดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นดุดันและพุ่งเข้าโจมตีผู้บุกรุกทันที

“หึ อย่าได้ประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป” เซียวถังอี้เยาะเย้ยอีกฝ่ายก่อนที่จะจัดการศัตรูได้ภายในการเคลื่อนไหวไม่กี่กระบวนท่า

“มีคนเยอะทีเดียว”

“ข้าอยากจะรู้นักว่าทำไมกลุ่มคนที่มีวรยุทธจากแคว้นหนานซวนจึงมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ มันหมายความว่าอย่างไร?”

หลังจากที่คนกลุ่มนั้นได้เห็นการเคลื่อนไหวของชายผู้สวมหน้ากากสีเงิน พวกเขาก็มองอีกฝ่ายอย่างประหม่า

คนเหล่านี้ไม่ค่อยรู้อะไรในแคว้นเป่ยหลงมากนัก จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเซียวถังอี้มาก่อน แต่การเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาเพิ่งแสดงให้เห็นนั้นก็เพียงพอให้พวกเขารับรู้ว่าคนผู้นี้ทรงพลังเพียงใด

“เจ้าเป็นใคร?” คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มพูดด้วยสำเนียงเป่ยหลงที่ฟังดูกระท่อนกระแท่น “เจ้ามาที่นี่ทำไม?”

“ข้าเป็นใครอย่างนั้นหรือ?” เด็กหนุ่มเย้ยหยัน “ข้าเป็นคนของแคว้นเป่ยหลง ที่นี่คืออาณาเขตของเป่ยหลง แล้วทำไมข้าจะมาที่นี่ไม่ได้?”

“ในทางกลับกัน พวกเจ้าต่างหากที่แอบลักลอบเข้ามาในเป่ยหลงโดยอาศัยการใช้ข้ออ้างในการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ตบตา”

“พวกเจ้านี่มันไม่รู้จักยอมแพ้เสียจริง”

“เจ้าเป็นคนในราชสำนัก!” เมื่อคนของแคว้นหนานซวนได้ยินเขาพูดเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ พวกเขาก็ต้องตกใจเพราะเรื่องนี้มีคนรู้อยู่เพียงไม่กี่คน

จนกระทั่งตอนนี้ หนานซวนยังกล่าวถึงเรื่องนี้กับฮ่องเต้เป่ยหลงเพียงในจดหมายเท่านั้น

กล่าวได้ว่าในเวลานี้คนที่รู้เรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์นั้นจะต้องเป็นคนของฮ่องเต้เป่ยหลง

“สหาย เราจะปล่อยคนผู้นี้ไปไม่ได้เด็ดขาด!”

“ฆ่ามัน!”

หลังจากคนของแคว้นหนานซวนได้ยินคำสั่งของหัวหน้ากลุ่ม คนทั้งหมดก็พุ่งออกไปข้างหน้า

เซียวถังอี้ซึ่งอยู่ตรงกลางแค่นเสียงในลำคอ ก่อนจะขยับมือ

ในความมืดมิดของค่ำคืน เข็มเงินจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปจากปลายนิ้วของเขา ก่อนที่คนพวกนั้นจะทันได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็เห็นสหายของตนล้มลงไปทีละคน

เพียงชั่วพริบตา คนส่วนใหญ่ของแคว้นหนานซวนก็เสียชีวิตไปแล้ว

“อะไรน่ะ… เกิดอะไรขึ้น?” คนของแคว้นหนานซวนมองชายผู้สวมหน้ากากสีเงินด้วยสายตาหวาดกลัว “มันไม่ใช่มนุษย์ มันเป็นผี!”

“มีเพียงผีเท่านั้นที่ฆ่าคนโดยที่ไม่ขยับตัว”

เซียวถังอี้จับมือตัวเองพลางก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยท่วงท่าสบาย ๆ “แคว้นเล็ก ๆ ก็คือแคว้นเล็ก ๆ ผู้คนช่างโง่เขลาเสียนี่กระไร”

“ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า แต่ต้องแลกกับบางสิ่ง”

“บอกข้ามาว่าใครส่งพวกเจ้ามาที่นี่ มีจุดประสงค์อะไร และพวกเจ้ามีผู้ติดต่ออยู่ในเมืองหลวงหรือไม่?”

ในตอนแรกคนของแคว้นหนานซวนลังเลไม่กล้าพูด แต่แล้วพวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นวิธีการที่คาดเดาไม่ได้ของศัตรู นั่นทำให้พวกเขาต้องเปิดปากอธิบายทุกอย่างออกมาทันที

“พวกเจ้าวางแผนที่จะลอบสังหารฮ่องเต้ในขณะที่พระองค์กับพระสนมเสด็จระหว่างทางเช่นนั้นหรือ?” เซียวถังอี้หรี่ตาลงมองกลุ่มชายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาเย็นชา “พวกเจ้าวางแผนได้ดี”

ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะเอ่ยปากชม แต่คนของแคว้นหนานซวนก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ทุกคนได้แต่นั่งคุกเข่าตัวสั่นอยู่กับพื้น

“น่าเสียดายที่พวกเจ้าคำนวณผิด” สิ้นเสียงพูด กลุ่มคนจากแคว้นหนานซวนทั้งหมดก็ถูกฆ่าตาย

ส่วนหัวหน้าเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ก็หวาดกลัวจนเป็นลมหมดสติไป

จากนั้นเซียวถังอี้ก็ส่งสัญญาณให้คนของเขามาเอาตัวผู้ที่รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวกลับไปยังวังหลวงเพื่อส่งมอบให้กับมู่เทียนฉง

“ข้าลืมไปเลย ข้าลืมถามพวกเขาว่าเรื่องที่เด็กสูญหายไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาหรือไม่?” เมื่อเด็กหนุ่มเห็นคนของเขาพาตัวศัตรูออกไป เขาก็เพิ่งนึกถึงจุดประสงค์ในการเดินทางมาครั้งนี้ได้

ดังนั้นเขาจึงแสดงท่าทีผิดหวัง ก่อนจะเดินไปค้นทั่วจวนที่คนจากแคว้นหนานซวนซ่อนตัวอยู่อีกครั้ง

แต่เขาก็ไม่พบสิ่งใด

ยามนี้ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นแล้ว เสียงระฆังยามเช้าที่ดังขึ้นจากวัดฮู่กั๋วก็ก้องกังวาน

“องค์หญิงหก ถึงเวลาแล้ว ตื่นได้แล้วเพคะ” นางกำนัลมาเคาะประตูห้องของมู่ไป๋ไป่ และเอ่ยเตือนด้วยเสียงแผ่วเบา

ตามปกตินิสัยของคนตัวเล็ก เธอจะกลิ้งอยู่บนเตียงสักพักก่อนจะตอบ

ซึ่งเป็นที่รู้กันดี ทำให้นางกำนัลไม่รีบร้อน และกำลังจะตัดสินใจมาเรียกอีกครั้งในภายหลัง ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังมาจากในห้อง

“โอ๊ยยย ปวดท้อง!”

สีหน้าของนางกำนัลเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินเสียงร้อง นางจึงรีบเปิดประตูเข้าไปถามอย่างเป็นกังวล

ที่ห้องชั้นใน มู่ไป๋ไป่หน้าซีดเซียวและมีเหงื่อออกโทรมกาย เธอกำลังกลิ้งตัวอยู่บนเตียงพลางกุมท้องตัวเองเอาไว้

“โอ๊ยยย ปวดท้อง ข้าปวดท้องมาก!”

“องค์หญิงหก!” นางกำนัลตื่นจากภวังค์ก่อนจะรีบหันหลังวิ่งออกไปพร้อมตะโกนเรียกหมอหลวงตลอดทาง

เมื่อมู่ไป๋ไป่ได้ยินเสียงนางกำนัลไกลออกไปเรื่อย ๆ เธอก็หยุดเสแสร้งและถามคนที่ซ่อนตัวอยู่ว่า “เป็นอย่างไร ข้าแสดงได้สมจริงหรือไม่?”

“เพคะ!” หลัวเซียวเซียวที่ซ่อนตัวอยู่ที่ปลายเตียงพูดว่า “หม่อมฉันคิดว่าพระองค์ปวดท้องจริง ๆ เสียแล้ว”

“ฮี่ ๆ” เด็กน้อยลูบใบหน้าขาวซีดราวหิมะของตัวเอง “ต้องขอบคุณเครื่องประทินผิวของท่านแม่”

“ไม่อย่างนั้นไม่ว่าฝีมือการแสดงของข้าจะดีมากเพียงใด แต่คนอื่นที่เห็นหน้าสีเลือดฝาดของข้าคงจะไม่มีใครเชื่อ”

ก่อนเข้านอนเมื่อคืนนี้จู่ ๆ ก็มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นในหัวเธออย่างกะทันหัน เธอจึงสั่งให้หลัวเซียวเซียวแอบเข้าไปในห้องของซูหว่านในตอนเช้าเพื่อหยิบแป้งของอีกฝ่ายมา

หลังจากที่เธอได้เห็นปฏิกิริยาของนางกำนัลเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนว่ามันจะได้ผลดีมาก

“องค์หญิงหก” หลัวเซียวเซียวปีนลงมาจากเตียงพร้อมกับถามว่า “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปเพคะ?”

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: คุณชายเซียวเก่งมากกก แล้วไป๋ไป่ของเราจะทำตามแผนสำเร็จไหมนะ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด