บทที่ 8 ข่าวลือ
เป็นครั้งแรกที่การประลองในระดับฝึกพลังได้รับความสนใจและน่าติดตามถึงเพียงนี้!
เมื่อเห็นการยกย่องและคำชมมากมายที่มอบให้ ซูเซียนจือแสดงยิ้มถ่อมตน แต่ในแววตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและหยิ่งผยอง!
“นานแล้วสินะที่ไม่ได้เจอ…ศิษย์น้องจิน!”
คำว่า "ศิษย์น้องจิน" ที่กล่าวออกมาเหมือนจะแฝงการเสียดสี ว่าจินเป่าเอ๋อทิ้งโอกาสการเป็นศิษย์ของเซียนจุนไปเพื่อไปเป็นศิษย์ของอาจารย์ผู้มีระดับพลังต่ำกว่ามาก ปัจจุบันซูเซียนจือได้รับการเรียกว่า “ศิษย์พี่ใหญ่” จากทุกคนด้วยความภาคภูมิ
ด้วยความที่ยังเด็ก ใบหน้าของซูเซียนจือไม่ได้แสดงความเจ้าเล่ห์เหมือนเมื่อเติบโตขึ้น นอกเหนือจากความอิจฉาแล้ว มีเพียงความเย่อหยิ่งที่แฝงอยู่ในแววตาของนางเท่านั้น!
เมื่อจินเป่าเอ๋อมองดูใบหน้าคุ้นเคยของซูเซียนจือ ความรู้สึกเกลียดชังในชาติก่อนพลันย้อนกลับมา นางรู้สึกเจ็บปวดจากความทรงจำที่ซูเซียนจือเคยใช้ศาสตราหลักทำลายนิ้วทั้งสิบของนาง นางสูดหายใจลึกแล้วกล่าวทันที
“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว ลงมือเถอะ!”
ทันทีที่สิ้นคำพูด นางพุ่งเข้าหาซูเซียนจือ แม้มือที่ถือดาบน้ำแข็งจะสั่นเล็กน้อยแต่นางก็ไม่ถอย ซูเซียนจือที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะถูกกระตุ้นได้ง่ายเช่นนี้ก็รีบหยิบศาสตราขึ้นมาต้านทันที การโจมตีต่อเนื่องของจินเป่าเอ๋อทำให้ซูเซียนจือต้องดึงศาสตราทุกชิ้นออกมาต้านทานจนสับสน ท่าทีที่ดูหงุดหงิดจนเหมือนถูกไล่ต้อนอย่างน่าอับอาย ทำให้ผู้ชมเริ่มผิดหวัง
“คิดว่าเป็นศิษย์ของเซียนจุนแล้วจะเก่งกาจอะไรนักหนา ที่แท้ก็มีแต่ระดับพลัง แต่ไม่รู้วิธีใช้เลยสักนิด!”
“วิ่งหนีทำไม ซูเซียนจือทำไมเอาแต่หนี จะสู้กลับไหมเนี่ย ดูแล้วหงุดหงิดจริง ๆ...ข้าเองยังอึดอัดแทนเลย!”
คำดูถูกจากผู้ชมที่อยู่รอบๆ ทำให้ใบหน้าของซูเซียนจือขึ้นสีด้วยความอับอายทันที!
“เพียะ!”
เมื่อจินเป่าเอ๋อทำการโจมตีครั้งสุดท้าย ศาสตราของซูเซียนจือเกิดรอยร้าวทันที นางถูกจินเป่าเอ๋อเตะกระเด็นลงจากเวทีอย่างไม่เหลือศักดิ์ศรี
ซูเซียนจือที่รู้สึกอับอายจนหน้าแดงกำศาสตราของนางไว้แน่น มองไปที่ศาสตราที่เซียนจุนให้ไว้เพื่อป้องกันตัว นางรู้สึกเสียใจและอับอายจนเรียกความสงสารจากผู้ชมบางคนได้ทันที
“นี่มันการประลองนะ ทำไมถึงทำลายศาสตราของอีกฝ่ายได้ลงคอ ชนะด้วยความโหดร้ายเช่นนี้มันไม่สมศักดิ์ศรีหรอก!”
“ศิษย์พี่หญิงอย่าเสียใจไปเลย แค่ศาสตราอันเดียว พวกเรายังคงสนับสนุนท่าน!”
จินเป่าเอ๋อได้ยินคำพูดเหล่านี้แต่ยังคงยืนนิ่งไม่หวั่นไหว นางจ้องดูใบหน้าของซูเซียนจือที่แสดงความน่าสงสารโดยไร้ความรู้สึกใดๆ หลังจากที่ได้ระบายความแค้น นางก็สามารถสงบจิตใจต่อซูเซียนจือได้บ้าง
ซูเซียนจือไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ นางกำลังจะเอ่ยต่อว่าใส่จินเป่าเอ๋อ แต่ทันใดนั้นนางก็เห็นร่างอันทรงพลังที่อยู่ไม่ไกลด้านหลังของจินเป่าเอ๋อ
เซียนจุน?! หัวใจของนางพลันหดตัวด้วยความอับอายเมื่อนึกถึงการหนีตายของตนเองเมื่อครู่
“ข้า…ผิดเอง การประลองครั้งแรกทำให้ข้าสับสน ข้าขอยอมแพ้”
แม้จะไม่พอใจ แต่ซูเซียนจือรู้ว่าการดึงดันไปก็ไร้ผล และยิ่งไม่ควรทำตัวไร้เหตุผลต่อหน้าเซียนจุน การกล่าวเช่นนี้ยิ่งทำให้ผู้ชมยิ่งชื่นชม เพราะการที่ศิษย์ใหม่มีจิตใจเยือกเย็นเช่นนี้นับว่าไม่ธรรมดา
ในที่สุด จินเป่าเอ๋อก็กลายเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งของการประลองในระดับฝึกพลังและมีชื่อเสียงขึ้นทันที!
ซูเซียนจือกลับมาหาโหลวหยุนเซียนจุนพร้อมกับศาสตราที่แตกหัก ใบหน้าของนางฉายแววรู้สึกผิดและเศร้าสร้อย พูดเบาๆ ว่า
“เซียนจุน ศิษย์ทำให้ท่านผิดหวัง โปรดลงโทษข้าด้วยเจ้าค่ะ”
แต่รออยู่นานก็ไม่มีคำตอบจากชายผู้แข็งแกร่ง นางจึงเงยหน้าขึ้นตามสายตาของเซียนจุนไปยังเวทีที่จินเป่าเอ๋อกำลังรับรางวัลอย่างมีความสุข
จินเป่าเอ๋อ?!
นางกำมือแน่นขึ้น สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นมืดมน ไฟแห่งความอิจฉาริษยาเริ่มปะทุขึ้น! เดิมทีนางก็อิจฉาความสามารถของจินเป่าเอ๋ออยู่แล้ว แต่ตอนนี้ความเกลียดชังทวีคูณ
เซียนจุนเป็นของนางแต่เพียงผู้เดียว ใครก็แย่งไปไม่ได้!
เซียนจุนเหมือนจะรู้สึกได้ถึงบางสิ่งในท่าทีของซูเซียนจือ เขาจึงหันมามองและขมวดคิ้วถาม
“มีอะไรรึ”
ซูเซียนจือชะงักเล็กน้อย แต่ก็ยกหน้าขึ้นและตอบอย่างแน่วแน่
“เซียนจุน ศิษย์พลาดไปในครั้งนี้ แต่คราวหน้าศิษย์จะต้องชนะกลับมาให้ได้เจ้าค่ะ!”
โหลวหยุนเซียนจุนมองดูเด็กสาวที่เข้มแข็งและน่ารักอยู่ตรงหน้า ใจของเขาอ่อนลงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ
การประลองใหญ่สิ้นสุดลงอย่างราบรื่น ภูเขาฮวาหมิงคว้าชัยในระดับสร้างฐานด้วยการนำของศิษย์พี่ใหญ่ไป๋อี้เหลิ่ง รวมกับชัยชนะในระดับฝึกพลังของจินเป่าเอ๋อ ทำให้อันดับของภูเขาฮวาหมิงไต่อันดับขึ้นมาเป็นที่สอง ในที่สุดพวกเขาก็หลุดพ้นจากการเป็นที่โหล่สามปีซ้อน!
เมื่อชายแก่ได้ยินข่าว เขาก็ตื่นเต้นยิ่งนัก ประกาศว่าจะจัดงานเลี้ยงฉลองในทันที…
แต่เช้าวันถัดมา ข่าวลือหนึ่งแพร่กระจายไปทั่ว ทำให้ชายแก่แทบจะเป็นลมด้วยความโกรธ
“พวกเขาบอกว่าศิษย์ที่ดีของข้าฝึกพลังอย่างหลอกลวง ช่างเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี! ถ้าแน่จริงทำไมพวกนั้นไม่ลองของปลอมบ้างล่ะ!”
เสียงคำรามด้วยความโกรธดังสะท้อนทั่วภูเขาฮวาหมิง ทำให้เหล่านกและสัตว์ต่างๆ พากันบินหนีไปไกล! แม้แต่จินเป่าเอ๋อที่กำลังปรับลมหายใจในห้องฝึกก็ได้ยินชัดเจน…
“อาจารย์ อย่าได้โกรธเพียงเพราะคำพูดของคนอื่นเลยเจ้าค่ะ การทำร้ายตัวเองเพราะเรื่องเช่นนี้ไม่คุ้มค่า!”
ศิษย์พี่เจ็ดเป็นคนแรกที่เอ่ยปลอบใจอาจารย์ของพวกเขา ศิษย์พี่คนอื่นๆ ก็เต็มไปด้วยความโกรธ แถมแม้แต่ศิษย์พี่รองที่ปกติจะเยือกเย็นยังเผยสีหน้าหนักแน่นขึ้นมา ทุกคนต่างแสดงท่าทีไม่พอใจออกมา
“ศิษย์พี่เจ็ดพูดถูก! แต่ศิษย์น้องหญิงของเราเดินในทางที่ถูกต้อง มีศักดิ์ศรีของตนเอง แล้วเหตุใดจึงต้องมาถูกกลั่นแกล้งเช่นนี้ อาจารย์วางใจเถิด ข้าจะไม่ปล่อยคนที่พูดพล่อยๆ ลับหลังเช่นนี้ไปแน่!”
จินเป่าเอ๋อเพิ่งเข้ามาในห้องและได้ยินคำพูดของศิษย์พี่หก หลานอิงชิง ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจ ศิษย์พี่หกผู้ไม่ค่อยพูดจากลับออกมาปกป้องนางเช่นนี้ เด็กสาวพยักหน้าเล็กน้อยด้วยท่าทีสงบก่อนจะเอ่ยเสียงมั่นคง
“ในเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะข้า ข้าจะรับผิดชอบจัดการเองเจ้าค่ะ”
ทันทีที่นางพูดจบ ทุกคนในห้องก็หันมามองนางด้วยแววตาแห่งความห่วงใย
“ศิษย์น้องหญิงอย่ากังวลไปเลย เจ้าคือคนของภูเขาฮวาหมิง การรังแกเจ้าเท่ากับรังแกพวกเราทุกคน เราจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่!”
เมื่อได้รับการปกป้องเช่นนี้ จินเป่าเอ๋อรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยแต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้ง ชาติที่แล้วนางถูกใส่ร้ายป้ายสี ถูกตามล่าล้างแค้น แต่โหลวหยุนเซียนจุนกลับทำเป็นไม่สนใจ อีกทั้งซูเซียนจือก็แสร้งทำเป็นหวังดีแต่กลับเหยียบย่ำให้เจ็บใจมากขึ้น ไม่มีใครในนิกายยืนเคียงข้างนางเลย!
ทว่าในชาตินี้ อาจารย์และศิษย์พี่ทั้งเจ็ดกลับยืนหยัดอยู่เคียงข้างนางโดยไม่ลังเล ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื้นตัน
หลังจากนั้นไม่นาน ศิษย์พี่ทั้งหลายก็ตรงไปคว้าตัวศิษย์ที่พูดจาใส่ร้ายจินเป่าเอ๋อและนำตัวไปยังหอวินัยโดยตรง เพื่อร้องเรียนว่ามีผู้ตั้งใจใส่ร้าย เมื่อถูกจับได้ ศิษย์คนนั้นเริ่มแสดงความหวาดกลัวและเอ่ยพึมพำอย่างลนลานว่า “เพียงแค่ฝึกเพียงครึ่งปีแล้วสามารถเข้าสู่ขั้นฝึกพลังสี่ได้ ใครจะเชื่อถ้าไม่ใช้ยา”
แต่เมื่อไปถึงหอวินัย เขาถึงกับกลัวจนเงียบกริบ เพราะศิษย์พี่ใหญ่ที่ยืนข้างๆ นั้นแผ่รังสีข่มขวัญออกมาจนไม่มีใครกล้าเอ่ยแม้แต่คำเดียว