บทที่ 58: แสงสว่างที่แสบตา
บทที่ 58: แสงสว่างที่แสบตา
ช่วงบ่ายหลังจากที่เจิ้งฮว่ากลับมาจากการประเมินคะแนนพร้อมกับคณะกรรมการ เขาก็เรียกเฉินเฉิงและเจียงลู่ซีเข้าไปในห้องพักครู
เมื่อการประเมินคะแนนของสามโรงเรียนเสร็จสิ้น เขาก็รู้ว่าคะแนนของบอร์ดกระดานดำของห้องพวกเขาน่าจะไม่ต่ำเลยทีเดียว ในฐานะผู้ที่เข้าร่วมการประเมินคะแนน บอร์ดกระดานดำของห้องอื่นๆ บางห้องก็วาดภาพได้ดี แต่เนื้อหาสาระและการออกแบบนั้นยังไม่อาจเทียบกับห้องของพวกเขาได้ เพราะส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่เพียงการเฉลิมฉลองวันชาติ
หลังจากประเมินเสร็จ ครูและผู้นำหลายคนต่างชื่นชมบอร์ดกระดานดำของห้องพวกเขา
“บอร์ดกระดานดำครั้งนี้ทำออกมาได้ดี ใครเป็นคนคิดไอเดียใบดอกไห่ถางนี้เหรอ?” เจิ้งฮว่ายิ้มถาม
“ต้องขอบคุณเฉินเฉิงค่ะ บอร์ดกระดานดำครั้งนี้นอกจากตัวหนังสือที่ฉันเขียนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพ เนื้อหา หรือความคิดสร้างสรรค์ ล้วนมาจากเฉินเฉิงทั้งนั้น” เจียงลู่ซีกล่าว
“การช่วยเหลือกันระหว่างเพื่อนนักเรียนเป็นสิ่งที่ควรทำ” เฉินเฉิงยิ้มตอบ
“ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนบอร์ดกระดานดำของห้องเราก็เป็นเธอทำใช่ไหมเฉินเฉิง? แต่ก่อนมันไม่ได้ดีเท่านี้เลยนะ!” เจิ้งฮว่ากล่าว
“ช่วงนี้เธอทำได้ดี แต่เวลาเรียนก็ต้องตั้งใจฟังด้วย โดยเฉพาะเวลาเรียนวิชาอื่นๆ อย่าเอาแต่ทำเป็นอ่านหนังสือภาษาอังกฤษท่าทางจริงจังเลย แบบนี้มันไม่ได้ช่วยอะไรเธอเลย” เจิ้งฮว่ากล่าวเตือนด้วยความหวังดี
เขามักจะชอบไปแอบดูนักเรียนในห้องเรียนจากหน้าต่างหรือช่องประตูหลัง และเขาสังเกตเห็นพฤติกรรมของเฉินเฉิงได้ชัดเจน ช่วงนี้เฉินเฉิงเปลี่ยนไปมาก ซึ่งครูทุกคนต่างก็เห็นด้วยกับความเปลี่ยนแปลงนี้
แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากในวิชาภาษาไทยแล้ว เฉินเฉิงมักจะทำท่าว่าอ่านหนังสือภาษาอังกฤษในวิชาอื่นๆ ตลอด แม้ว่าเวลาเหลือไม่มากก่อนการสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ถ้าเขาตั้งใจเรียนจริงๆ ก็ยังพอมีโอกาสที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยทั่วไปหรือวิทยาลัยเทคนิคได้
และหากเฉินเฉิงสามารถทำคะแนนในวิชาการเขียนเรียงความได้ดีมากๆ อาจมีโอกาสที่มหาวิทยาลัยบางแห่งจะรับเข้าเรียนโดยไม่มีเงื่อนไข แต่แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่ยากมาก แม้ว่าเฉินเฉิงจะเขียนเรียงความได้ดี แต่ก็ยังมีระยะห่างจากระดับที่จะทำคะแนนได้เต็ม
เมื่อเร็วๆ นี้ เรียงความที่ได้คะแนนเต็มส่วนใหญ่เป็นเรียงความที่เขียนด้วยภาษาจีนโบราณ ซึ่งต้องอาศัยการอ่านหนังสือและมีความรู้สะสมมากมาย
“อืม เข้าใจแล้วครับครู” เฉินเฉิงตอบ
ห้องพักครูของโรงเรียนจะมีอยู่หนึ่งชั้น ซึ่งครูของทุกห้องในชั้นนั้นจะใช้ห้องพักครูเดียวกัน เฉินเฉิงไม่ชอบเข้าห้องนี้เลย เพราะทุกครั้งที่เขามา มักจะโดนครูหลายคนรุมดุเสมอ
“ครูคะ” ขณะนั้นมีนักเรียนหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพักครู
เฉินเฉิงจำได้ว่าเธอชื่อหลี่หง เป็นหัวหน้าห้องของห้องสอง
หลี่หงเป็นนักเรียนที่เรียนดีมาก อยู่ในกลุ่มนักเรียนท็อปเท็นของโรงเรียน และเป็นที่โปรดปรานของครูสอนคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นครูประจำชั้นของห้องสอง
“บอร์ดกระดานดำครั้งนี้ให้เธอรับผิดชอบ เธอทำออกมาได้ยังไงเนี่ย?” ครูประจำชั้นห้องสองกล่าวด้วยสีหน้าดุดัน
“ขอโทษค่ะครู หนูทำไม่เป็นค่ะ” หลี่หงก้มหน้าตอบ
“ทำไม่เป็นก็หาคนช่วยสิ เธอเป็นหัวหน้าห้องนะ ในห้องมีตั้งหลายคน ทำไมถึงไม่มีใครวาดรูปเป็นเลยหรือ? ไม่มีใครเขียนตัวหนังสือได้ดีบ้างเลยเหรอ? ฉันบอกเธอไว้ยังไง เธอจำไม่ได้เลยใช่ไหม?” ครูประจำชั้นห้องสองกล่าว
“ยื่นมือมา” ครูหยิบไม้บรรทัดออกมา
หลี่หงยื่นมือออกไป และครูตีมือของเธออย่างไม่ปรานี
หลี่หงน้ำตาไหลทันที
เจิ้งฮว่าพูดขึ้นว่า “ครูต้วน พอเถอะครับ หลี่หงไม่ได้ทำผิดร้ายแรงถึงขนาดนั้น”
ครูในโรงเรียนมัธยมหนึ่งที่สอนวิชาอย่างภาษาไทย ภาษาอังกฤษ หรือคณิตศาสตร์มักจะเป็นครูประจำชั้นของสองห้อง ดังนั้นเจิ้งฮว่าและครูต้วนจึงสอนทั้งห้องสองและห้องสามเหมือนกัน
ส่วนครูที่สอนวิชาฟิสิกส์หรือเคมีที่มีคาบเรียนน้อยลง มักจะต้องสอนมากกว่าสองห้อง และไม่ค่อยได้เป็นครูประจำชั้น
เจิ้งฮว่ารู้ดีว่าบอร์ดกระดานดำของห้องสองนั้นคงทำให้ครูต้วนโกรธมาก เพราะตอนที่คณะกรรมการไปประเมินบอร์ดของห้องสอง หลี่หงเป็นคนจัดการทั้งหมด ซึ่งแม้จะมีทั้งการเขียนและการวาดภาพ แต่ก็ทำออกมาไม่ดี เป็นบอร์ดที่แย่ที่สุดในบรรดาหลายห้องของโรงเรียน
เจิ้งฮว่าสอนสองห้องก็หวังว่าบอร์ดกระดานดำของห้องสองจะทำออกมาได้ดีเช่นกัน เพราะหลี่หงเป็นนักเรียนที่เรียนดีและเป็นนักเรียนของเขาด้วย
“เฉินเฉิง เจียงลู่ซี กลับไปทานข้าวได้แล้ว” เจิ้งฮว่าหันไปบอกพวกเขา
ทั้งสองคนเดินออกจากห้องพักครู
“เมื่อก่อนทุกครั้งที่เข้ามาที่นี่ ก็ต้องโดนครูด่าว่าจนเสียหน้าหรือไม่ก็โดนตีมือ แต่วันนี้กลับได้ออกมาโดยไม่เจ็บตัวเลย” เฉินเฉิงพูดขึ้นหลังจากเห็นหลี่หงโดนตี
มือคือจุดที่ครูมักจะชอบตีมากที่สุด เพราะจุดนี้ถึงจะโดนตีหนักแค่ไหนก็ไม่ค่อยทิ้งรอยแผล แต่เจ็บมากพอที่จะทำให้นักเรียนจำฝังใจได้
เจียงลู่ซีไม่ได้พูดอะไร เธอคิดถึงเรื่องที่วันนี้โรงเรียนให้ความสำคัญกับบอร์ดกระดานดำนี้ ถ้าหากบอร์ดกระดานดำของห้องพวกเธอทำออกมาไม่ดี ก็คงจะโดนครูดุตีมือเหมือนกัน
เพราะถ้าหากเธอต้องทำเองทั้งหมด ก็คงทำได้ไม่ดีเท่าหลี่หง
และหลี่หงเองก็เป็นนักเรียนที่เรียนดี แถมครูคณิตศาสตร์ก็ยังใจดีมากกว่าครูเจิ้งฮว่าด้วยซ้ำ
“ฉันจะเลี้ยงเธอซาลาเปา” เจียงลู่ซีกล่าว
ครั้งนี้เฉินเฉิงช่วยเธอมากจริงๆ
“ไม่เอาซาลาเปา ทำไมเราไม่เป็นเพื่อนกันแทนล่ะ?” เฉินเฉิงถาม
“ไม่” เจียงลู่ซีส่ายหัว
“ก็ได้ งั้นเอาซาลาเปาก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนนะ ฉันกินเยอะนะ ตอนนี้ก็หิวอยู่ ถ้ากินน้อยกว่า 5-6 ลูกคงไม่พอ” เฉินเฉิงพูดพร้อมหัวเราะ
เจียงลู่ซีตกใจไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินไปทางห้องพักครู
“เธอจะไปไหน?” เฉินเฉิงเรียกเธอ
“ฉันมีเงินแค่หนึ่งหยวนเอง ฉันจะไปขอยืมเงินครูอีก
หนึ่งหยวน” เธอตอบ
“พอแล้ว ฉันแค่ล้อเล่นเอง ฉันไม่ใช่หมูนะ จะกินเยอะขนาดนั้นได้ยังไง!” เฉินเฉิงกล่าว
เจียงลู่ซีซื่อมาก เธอมีเงินเพียงหยวนเดียว แต่ยังจะเลี้ยงเขาอีก แม้เฉินเฉิงจะไม่ได้กินซาลาเปาถึง 5-6 ลูก แต่ถ้าให้เขากิน 3 ลูกก็พอแล้ว ถ้าเธอเลี้ยงเฉินเฉิง เธอเองก็คงไม่ได้กินอะไร
แต่อยู่ๆ เฉินเฉิงก็คิดขึ้นได้ว่า เจียงลู่ซีเหมือนจะไม่เคยกินข้าวเย็นเลย
“อ๋อ เข้าใจแล้ว” เจียงลู่ซีตอบ
เจิ้งฮว่าเคยบอกเธอว่าถ้ามีปัญหาทางการเงิน สามารถยืมเงินเขาได้ โดยเฉพาะค่ากินอาหารปกติสามารถยืมได้ แต่เจียงลู่ซีไม่เคยยืมเงินครูเลย แม้แต่ในวันที่เธอทำเงินหายหรือไม่ได้พกเงิน เธอก็อดข้าวเย็นทั้งวันและไม่ยืมเงินจากครู
ครั้งนี้ เฉินเฉิงช่วยเธอไว้มากจริงๆ เธอเลยอยากตอบแทนบุญคุณเขา โดยคิดจะยืมเงินจากครูหนึ่งหยวนเพื่อพรุ่งนี้จะได้รีบคืนครู
เมื่อมาถึงข้างล่าง เจียงลู่ซีต่อแถวซื้อซาลาเปา 3 ลูก
“นี่” เธอยื่นซาลาเปาให้เฉินเฉิง
เฉินเฉิงกินไป 2 ลูก และยื่นซาลาเปาอีกลูกให้เธอ “ซาลาเปาข้างนอกโรงเรียนเราลูกใหญ่จริงๆ ฉันกินสองลูกก็อิ่มแล้ว ที่เหลือเธอเอาไปกินเถอะ”
เขายื่นซาลาเปาให้เธอแล้วเดินออกไป
เจียงลู่ซีมองดูซาลาเปาในมืออย่างนิ่งๆ แล้วค่อยๆ กินทีละคำ
จริงๆ แล้วทุกคืนเธอหิวมาก แต่เมื่อทานข้าวเช้าและข้าวกลางวันแล้ว เธอก็จะไม่กินมื้อเย็นอีกเลย และเพื่อหลีกเลี่ยงความหิวและหลีกเลี่ยงการเห็นคนอื่นกิน เธอจึงไม่เคยลงมาจากห้องหลังเลิกเรียนเลย
แต่ครั้งนี้เพราะเธออยากเลี้ยงซาลาเปาเฉินเฉิง จึงลงมา
เมื่อเห็นอาหารมากมายขนาดนี้ จะไม่หิวได้อย่างไร
หลังจากกินซาลาเปาหมดแล้ว เธอก็ทิ้งถุงลงถังขยะข้างๆ แล้วเดินขึ้นไปชั้นบน
ในตอนเย็นหลังเลิกงาน เฉินซื่อได้ไปทานอาหารกับคนจากกรมวัฒนธรรมและกรมการศึกษา
“เฮ้ เถา ได้ยินว่าพวกคุณจัดการแข่งขันบอร์ดกระดานดำระหว่างสามโรงเรียนด้วย ผลเป็นไงบ้าง?” เฉินซื่อถามเถาอิ๋งที่นั่งไม่ไกล
“อย่าพูดเลย ที่จัดกิจกรรมนี้ขึ้นมา ก็เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการทำงานเป็นทีมของนักเรียน เราไม่ได้หวังจะได้บอร์ดกระดานดำที่ดีเลิศหรอก แต่ก็มีห้องหนึ่งที่ทำออกมาได้โดดเด่นจริงๆ” เถาอิ๋งกล่าว
“บอกหน่อยสิ” ผู้นำจากกรมวัฒนธรรมคนหนึ่งสนใจ
“ดูภาพนี้สิ” เถาอิ๋งหยิบภาพที่เขาถ่ายจากมือถือออกมา
ภาพนี้เป็นภาพบอร์ดกระดานดำที่เฉินเฉิงและเจียงลู่ซีทำ ในตอนที่พวกเขาไปประเมินแต่ละห้อง จะมีคนถ่ายภาพบอร์ดไว้ทุกครั้ง แต่มีเพียงภาพนี้เท่านั้นที่เถาอิ๋งเก็บไว้ในมือถือ เพราะมันทำให้เขาประทับใจมาก
เฉินซื่อเดินเข้ามาดูและกล่าวว่า “ใบดอกไห่ถาง? นี่เป็นภาพที่นักเรียนวาดเหรอ?”
“สุดยอด! ดูออกทันทีเลยว่าเป็นใบดอกไห่ถาง นี่เป็นบอร์ดกระดานดำที่นักเรียนสองคนจากห้องสามของโรงเรียนมัธยมหนึ่งทำขึ้น ลองดูบทบรรยายที่เขียนข้างๆ สิ มันยอดเยี่ยมมาก” เถาอิ๋งกล่าวพร้อมหัวเราะ
เฉินซื่อตรวจสอบบทบรรยายอย่างละเอียดแล้วพูดว่า “ดีจริงๆ แต่ฉันยังรู้สึกว่านี่น่าจะเป็นครูที่วาดและเขียนบทบรรยายให้มากกว่านะ บทบรรยายและภาพดูไม่เหมือนผลงานนักเรียนเลย”
“ไม่น่าจะใช่ เพราะฉันถามแล้ว ก็ยืนยันว่าเป็นผลงานของนักเรียนเอง” เถาอิ๋งกล่าวพร้อมยิ้ม
ห้องสาม นั่นคือห้องของเฉินชิง ครั้งหน้ากลับบ้านต้องถามเฉินชิงดู
เฉินซื่อเป็นคนที่มีความละเอียดรอบคอบ แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าบอร์ดกระดานดำนี้ไม่ธรรมดา แต่เขาก็ไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ เพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศ อีกทั้งเถาอิ๋งก็มีอนาคตที่สดใส แม้ว่าจะเป็นครูที่ช่วยนักเรียนทำบอร์ดกระดานดำ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขุดคุ้ยความจริงต่อ
หลังจากทานข้าวเสร็จและกลับถึงบ้านไม่นาน เฉินชิงก็กลับมาจากโรงเรียน
“ชิงชิง พ่อมีเรื่องจะถาม” เฉินซื่อกล่าว
“พ่อ มีอะไรเหรอคะ?” เฉินชิงเปลี่ยนรองเท้าแล้ววางกระเป๋าลง ก่อนจะนั่งลงบนโซฟา
“บอร์ดกระดานดำที่โรงเรียนพวกเธอวันนี้ คุณครูเป็นคนให้แนวคิดและเขียนบทบรรยายหรือเปล่า?” เฉินซื่อถามตรงๆ
เฉินชิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว “ไม่ใช่ค่ะ”
“บอร์ดกระดานดำวันนี้เป็นผลงานของเฉินเฉิงกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง แต่เท่าที่ฉันรู้ นอกจากตัวหนังสือที่เพื่อนคนนั้นช่วยเขียนแล้ว ทั้งภาพ เพลง และบทบรรยายเป็นผลงานของเฉินเฉิงทั้งหมด” เฉินชิงตอบ
วันนี้เฉินชิงหันไปดูบอร์ดกระดานดำที่เฉินเฉิงและเจียงลู่ซีทำหลายครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นภาพ บทบรรยาย เพลง หรือการบรรยายของเฉินเฉิง ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ
หลังจากทานข้าวเที่ยง เธอให้เพื่อนช่วยดาวน์โหลดเพลง (เหมิงถัวหลิง) เป็นชื่อเพลงจีนที่แปลเป็นไทยได้ว่า “ระฆังอูฐในฝัน ลงในเครื่องเล่น MP3 แล้วฟังเพลงนี้ตลอดช่วงพักกลางวัน
“ยังมีเพลงด้วยเหรอ? เพลงอะไร?” เฉินซื่ออถาม
เฉินชิงเล่าถึงเพลง เหมิงถัวหลิง ที่เฉินเฉิงให้เจียงลู่ซีเปิดตอนท้าย
“เฉินเฉิงทำจริงเหรอ?” เฉินซื่อยังคงแปลกใจ
“ใช่ค่ะ ฉันมั่นใจว่ามันเป็นผลงานของเฉินเฉิง” เฉินชิงตอบ “แม้แต่คุณครูก็ยังไม่รู้เลยจนกระทั่งเช้านี้ว่าเฉินเฉิงจะทำบอร์ดกระดานดำเกี่ยวกับอะไร แผนที่นั้นฉันก็เพิ่งเห็นเมื่อเช้านี้เอง”
ก่อนหน้านี้ เฉินชิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเฉินเฉิงจะมาช่วยเจียงลู่ซี
แต่เฉินเฉิงกลับอยู่โรงเรียนและช่วยเจียงลู่ซีมาหลายวัน
“ถ้าบทความในบอร์ดกระดานดำนี้เป็นผลงานของเฉินเฉิงจริงๆ ต่อให้เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ เขาก็ยังไปเป็นนักเขียนได้เลย!” เฉินซื่อหัวเราะ
“บทบรรยายในบอร์ดกระดานดำดีขนาดนั้นเลยเหรอ?” เฉินชิงถามด้วยความสงสัย เธอไม่คิดเลยว่าพ่อของเธอจะให้คะแนนเฉินเฉิงสูงขนาดนี้ เพราะพ่อของเธอนอกจากจะเป็นผู้อำนวยการกรมวัฒนธรรมแล้ว ยังเป็นประธานสมาคมนักเขียนของอันเฉิง และรองประธานสมาคมนักเขียนประจำมณฑล แถมยังตีพิมพ์หนังสือขายดีหลายเล่ม
หากเขาไม่ได้อยู่ในอันเฉิงเมือง
เล็กๆ แต่ไปอยู่ในเมืองเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่า ความสำเร็จของพ่อก็คงจะมากกว่านี้ แต่พ่อของเธอรักที่ดินแห่งนี้มากจนไม่อยากจากไป
“ถ้าไม่พูดถึงเรื่องเนื้อหาหรือโครงเรื่อง แค่ด้านการใช้ภาษาก็ดีกว่านักเขียนหลายคนในอันเฉิงแล้ว” เฉินซื่อตอบ
เฉินชิงหยุดนิ่ง ไม่รู้ว่าทำไม ตอนเช้าที่เฉินเฉิงและเจียงลู่ซีเดินเข้ามาที่ท้ายห้อง และเมื่อแสงแดดส่องเข้ามากระทบพวกเขา เธอกลับรู้สึกว่าแสงนั้นแสบตาเป็นพิเศษ