บทที่ 52 เงินหายไปไหน?
บทที่ 52 เงินหายไปไหน?
มนุษย์ทุกคนล้วนมีกลไกป้องกันตัวเอง และบางครั้งกลไกเหล่านี้ก็มีส่วนที่คล้ายคลึงกัน
คนส่วนใหญ่มักไม่ยอมรับว่าตัวเองโง่กว่าคนอื่น ดังนั้นต่อให้ตั้งใจเรียนมากแค่ไหน ก็ต้องทำท่าทีไม่ใส่ใจ แถมยังชอบเยาะเย้ยคนที่พยายามเรียนแต่ผลการเรียนก็ยังแย่อยู่
พฤติกรรมแบบนี้ยิ่งระบาดหนักในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่
นานวันเข้า ก็กลายเป็นความคิดบิดเบี้ยวที่ว่า "การเรียนคือความอัปยศ"
ยิ่งพยายามเรียนแล้วผลการเรียนไม่ดีขึ้น ยิ่งเป็นความอัปยศอดสูที่ไม่อาจเอ่ยปาก
เฉินหยวนก็ไม่ใช่เซียน ใจเขาไม่ได้ทำด้วยเหล็กกล้า เขาจึงมีกลไกป้องกันตัวเองเช่นกัน
บางครั้งเขาก็คิดว่า บุคลิกที่เย็นชาและเพี้ยนๆของเขามันเกิดขึ้นมาแบบนี้หรือเปล่านะ
แต่เขาก็ยังดีที่ไม่ได้มองว่าการเรียนเป็นเรื่องน่าอาย ไม่ได้อวดดีที่เกเรแต่ผลการเรียนยังสูงกว่ามาตรฐาน แถมไม่เคยเยาะเย้ยคนที่พยายามเรียน เพียงแต่เมื่อเจอทางตัน และถูกสภาพแวดล้อมอันดำมืดของห้อง 18 กลืนกิน เขาก็เลือกที่จะใช้ชีวิตแบบปล่อยวางมากขึ้น คือ "นอนราบ แต่ไม่ราบเรียบ"
เป้าหมายเดิมของเขาคือ สอบติดมหาวิทยาลัยระดับสองของรัฐ แต่ขอให้ดีขึ้นกว่าเดิม
แต่ความจริงแล้ว ก่อนเข้ามัธยมปลาย ผลการเรียนของเขาไม่ได้แย่ ตอนเข้าเรียนใหม่ๆก่อนจะแยกสายวิทย์-ศิลป์ เขาติดอันดับสี่ร้อยกว่า จากนักเรียนทั้งหมดพันห้าร้อยคน ไม่ใช่สี่ร้อยกว่าของสายวิทย์
หมายความว่า ถ้ารักษาอันดับนี้ไว้ได้ เขาก็มีโอกาสสอบติดมหาวิทยาลัยระดับท็อปๆได้สบาย
ว่ากันด้วยเรื่องเฉินหยวนต่อ
เขาเกิดในครอบครัวที่ไม่ได้มีสภาพแวดล้อมการเรียนที่แย่ ถึงพ่อแม่จะจบแค่ชั้นมัธยมปลาย แต่การที่พวกเขาส่งลูกไปเรียนจินตคณิตก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เฉินมู่ ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวเฉิน ยินดีที่จะลงทุนกับลูก
ไม่งั้นคงไม่ต้องลงทุนลงแรงขนาดนี้ ทั้งฝากคนรู้จัก ทั้งยัดเงินใต้โต๊ะ เพื่อส่งเขาเข้าโรงเรียนหมายเลข 11 ซึ่งเป็นโรงเรียนระดับเดียวกับโรงเรียนหมายเลข 4 ที่ขึ้นชื่อว่ามีนักเรียนเก่งๆ
สิ่งที่ฉันขาดคือความพยายามงั้นเหรอ?
ไม่ใช่
เป็นพรสวรรค์งั้นสิ?
ก็ไม่เชิง
มันคือความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากงูกลายเป็นมังกร และความเจ็บปวดที่ต้องอดทนเมื่อลอกคราบต่างหาก
"ความพยายามของเขามันน่าขยะแขยงชะมัด..."
วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ ตลอดสามวัน เฉินหยวนแสดงออกถึงความกระหายในความรู้ขั้นสุดยอด ราวกับหมาป่าเห็นเนื้อ เหมือนตกอยู่ในภวังค์โดยสิ้นเชิง
นอกจากเวลาพักผ่อนที่จำเป็นแล้ว เฉินหยวนแทบจะติดเก้าอี้ตลอดเวลา เขาใส่หูฟังและทำโจทย์ไม่หยุด
"ก็วันอาทิตย์นี้จะแข่งรอบคัดเลือกแล้วนี่ ช่วงนี้พยายามหน่อยก็สมควรแล้ว" โจวฟู่อธิบายกับโจวหยูแทนเขา
"เมื่อก่อนก็ไม่เห็นเขาจะขยันขนาดนี้เลยนี่..."
เหอซือเจียวพูดไปพลางก็นึกขึ้นได้ "เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าไม่ตั้งใจเรียนแล้วคะแนนคณิตจะเกิน 140 ได้ยังไง? คิดว่าที่ผ่านมาคงแอบขยันอยู่ที่บ้าน พอตอนนี้ก็เลยไม่ต้องแอ๊บแล้วล่ะ"
"ไม่หรอก เป็นไปไม่ได้!" โจวหยูไม่ยอมรับเรื่องนี้ พูดอย่างจริงจัง "เมื่อก่อน เขาก็เล่นเกมออนไลน์กับฉันทุกคืนนะ!"
"แล้วเขาเปิดไมค์คุยกับนายด้วยเหรอ?"
"..."
คำถามนี้ทำให้โจวหยูพูดไม่ออก หน้าตาแข็งค้าง "หรือว่าคนที่เล่นเกมกับฉันจะเป็นน้องชายของเขา ส่วนตัวจริงแอบเรียนไปด้วยระหว่างที่เล่นเกมกับฉัน... บ้าเอ๊ย! ไอ้คนทรยศ!"
"ผู้ชายคนนี้ ต่อไปเธอคงรับมือยากน่าดู" เหอซือเจียวตบไหล่โจวฟู่ พูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม
"ฮ่าๆ..." โจวฟู่หัวเราะแห้งๆ อธิบาย "บอกแล้วไงว่าไม่ได้เป็นแบบนั้น"
"ทำไมไม่แอด QQ ฉันล่ะ?"
ขณะที่ทั้งสามกำลังนินทาเฉินหยวนที่ตั้งใจเรียนอยู่นั้น ถังซือเหวินก็เดินเข้ามาถามขึ้นมา
"อุ๊ย..."
เหอซือเจียวตกใจกับคำถามนี้จนทรุดลงไปนั่งบนเก้าอี้ ฉีกซองมันฝรั่งทอด กินไปพลางดูเหตุการณ์ต่อไปอย่างลุ้นระทึก
เมื่อเห็นถังซือเหวินเข้ามา เฉินหยวนก็ยังคงทำโจทย์อยู่ โจวฟู่จึงสะกิดแขนเขาเบาๆ
เฉินหยวนรู้สึกตัว จึงถอดหูฟังออก เงยหน้าขึ้นมองถังซือเหวินด้วยความสงสัย "มีอะไรเหรอ?"
"อาจารย์โม๋ให้พวกเราแอด QQ กันเพื่อเอาไว้คุยเรื่องโจทย์" ถังซือเหวินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ชี้ไปที่หน้าจอ "ตอนนี้ยังไม่ได้แอดฉันเลย"
"อ้อ ขอโทษ ลืมไปเลย... เอา QR โค้ดขึ้นมาสิ เดี๋ยวสแกน" เฉินหยวนรีบหยิบโทรศัพท์ออกมา สแกน QR โค้ดของถังซือเหวินแล้วกดเพิ่มเพื่อน
จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาเรียนต่อ
โรงเรียนจะมีเรื่องอะไรกันล่ะ โรงเรียนก็เอาไว้เรียน ฉันจะตั้งใจทำ 'สามห้า' ให้เสร็จ แล้วก็ทำ 'อู๋เจินถี' ต่อ ไปโรงเรียนหมายเลข 4 เอาข้อสอบโรงเรียนหมายเลข 4 มาทำหมดเลย สุดท้ายก็ไปหาจางเจี้ยนจุน เอาเขาให้ร่วงเลย ทำๆๆๆๆๆๆ!
(โห ซิกม่าแมนมาเอง!)
เห็นเฉินหยวนมีออร่าแบบ 'ในใจไร้สตรี ชักดาบย่อมมีเทพ' โจวหยูก็ตกใจจริงๆ
ถึงถังซือเหวินจะดูเข้าถึงยากไปหน่อย แต่ก็เป็นผู้หญิงสวยที่มองปราดเดียวก็รู้ แถมยังเป็นฝ่ายให้แอด QQ เอง ถ้าเป็นเพื่อนคนอื่นๆคงเอาไปคุยจนวันตาย แถมยังสั่งลูกหลานเปิดคลิปนี้ในงานศพตัวเองอีก
"โอเค" ถังซือเหวินก็ดูเฉยๆ พออีกฝ่ายแอด QQ แล้ว เธอก็เดินกลับไปที่นั่ง ก้มหน้าทำโจทย์ต่อ
"อ้าว ไม่ใช่เหรอ?"
เหอซือเจียวเบ้ปาก ไม่รู้ทำไมฉากนองเลือดที่คิดไว้ถึงไม่เกิดขึ้น
คนดูเขาอยากดูพวกเธอเรียนกันเหรอ?
"ว่าแต่... เมื่อกี้พวกเขาใช้โทรศัพท์ในห้องเรียนกันใช่มั้ย?"
โจวฟู่พูดขึ้นอย่างแผ่วเบา
"พวกเธอว่า ถังซือเหวิน กับ เฉินหยวน ใครจะเข้ารอบจริงได้?" โจวหยู เปิดประเด็นขึ้นมา
"ก็ถังซือเหวินนั่นแหละ" เหอซือเจียว พูดจบก็หันไปมอง เฉินหยวน ที่ตอนนี้กำลังขยันเป็นบ้าเป็นหลัง "แต่ถ้าเฉินหยวนยังบ้าเรียนแบบนี้ต่อไป ก็ไม่แน่เหมือนกัน"
'พวกนี้จะไม่แซวฉันให้ได้เลยใช่มั้ย...?'
เฉินหยวน ทำเป็นไม่ได้ยิน เอื้อมมือไปหยิบกล่องนม แต่ปรากฏว่าหมดแล้ว เลยไม่กินมันซะเลย หันกลับไปตั้งใจเขียนต่อ
"นมหมดแล้ว กินขนมปังมั้ย?" โจวฟู่ เห็นดังนั้นก็หยิบขนมปังห่อเล็กๆออกมาจากถุง ก่อนจะให้ โจวหยูกับเหอซือเจียว เลือกก่อน แล้วค่อยหยิบเค้กนึ่งเนื้อนุ่มยื่นให้เฉินหยวนด้วยตัวเอง
"ขอบคุณครับพี่ฟู่" เฉินหยวน รับขนมปังมาแล้วฉีกซอง
"ไม่เป็นไรจ้า ฮ่าๆๆ"
"ทำไมเธอเอาขนมมาเยอะแยะทุกวันเลยล่ะ" เหอซือเจียวถามด้วยความสงสัยพลางกินขนมไปด้วย
"แม่ให้เอามาโรงเรียนน่ะ" โจวฟู่ตอบพลางยิ้มแห้งๆ "แม่กลัวว่าฉันจะไม่อิ่ม"
"แต่เธอก็ไม่ได้กินเลยนี่นา"
"เรื่องของนางฟ้า อย่า-ยุ่ง!" เหอซือเจียวตัดบทโจวหยู แล้วช่วยโจวฟู่หาข้ออ้าง
เธอรู้ว่าโจวฟู่คิดว่าตัวเองอ้วน เลยไม่อยากกินอะไร
แต่จริงๆแล้วโจวฟู่แค่หน้าอกกับสะโพกใหญ่กว่าคนอื่นหน่อย... ส่วนอื่นๆก็หุ่นมาตรฐานผู้หญิงทั่วไปนี่แหละ
เธอแค่เข้มงวดกับตัวเองมากเกินไป
'ถ้าฉันมีหน้าอกแบบนี้ ฉันจะเป็นหยางกุ้ยเฟยเลยคอยดู!'
"อร่อยจัง ขนมปังแบบนี้ที่บ้านฉันมีแขกมาถึงจะซื้อ..." โจวหยู พูดด้วยความอิจฉาโจวฟู่
"บ้านฟู่ฟู่ รวยมากเลยใช่มั้ย" เหอซือเจียว ถามพลางเลิกคิ้ว
โจวฟู่ ใช้นิ้วเกาแก้มอย่างเขินๆ "ก็ครอบครัวปกตินะ"
"ถ่อมตัวอีกแน่ๆ ต้องเป็นคุณหนูไฮโซแน่เลย" เหอซือเจียว โผเข้ากอดคอโจวฟู่จากด้านหลัง พูดเอาใจ "คุณหนูมองหนูหน่อย คุณหนูขาาา"
ระหว่างที่ทั้งสามคนกำลังพูดคุยหยอกล้อกันอยู่ หลี่ยูยูก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป
ในเสี้ยววินาทีนั้น บรรยากาศก็เย็นเยียบลงอย่างเห็นได้ชัด
ก็ช่วยไม่ได้นี้นะ
สี่คนนี้สนิทกันจนเป็นกลุ่มเล็กๆไปแล้ว ถึงหลี่ยูยูจะยังพอคบกับเหอซือเจียวได้อยู่ ทั้งคู่ก็ยังเรียกชื่อเล่นกัน แต่เธอก็ทะเลาะกับคนอื่นๆไปแล้ว
เรียกได้ว่า นี่เป็นข้อเสียของห้องเรียนแบบคละสายชั้นในระดับมัธยมปลาย
อย่างไรก็ตาม อย่างน้อย 'แก๊ง เฉิน เหอ โจว' ก็ยังมั่นคง ทำให้พวกเธออยู่ในสถานะ 'ได้รับการปกป้อง' นี่แหละเสน่ห์ของการมีกลุ่ม
ถ้าหลี่ยูยูไม่พอใจจริงๆ เธอก็ต้องทน
หรือไม่ก็ ไปเอง
วันนี้วันศุกร์ เป็นวันทำกิจกรรมชมรม เฉินหยวนเรียนหนักมาทั้งวัน จนกระทั่งถึงคาบสุดท้ายของช่วงบ่าย ในที่สุดก็ได้เวลาพักผ่อนเสียที
"ไปตีแบดกันเถอะ อย่ามัวแต่เรียนเลยเว้ย เฉิน!"
ถังเจียน ที่นั่งอยู่กลุ่มแรกก็เป็นสมาชิกชมรมแบดมินตันเหมือนกัน เลยชวน เฉินหยวนก่อนออกจากห้อง
"ไปเดี๋ยวนี้แหละ รอแป๊บนึงนะ เสี่ยวถัง"
วันนี้ เฉินหยวนทำโจทย์แข่งขันคณิตศาสตร์ไปสองชุด รู้สึกมึนหัวไปหมด จึงยืดเส้นยืดสาย เตรียมไปตีแบดสักสองสามเกม
วันกิจกรรมชมรมต่างจากวันปกติ ตรงที่คาบเรียนสุดท้ายจะเลิกตอนบ่ายสี่โมงครึ่ง แล้วปล่อยให้ทำกิจกรรมชมรมต่างๆไปจนถึงห้าโมงห้าสิบ นับรวมแล้วแปดสิบนาที
นี่เป็นเศษเสี้ยวความเมตตาสุดท้ายที่เหล่าอาจารย์ทั้งสิบเอ็ดคนยังคงมีอยู่
ดังนั้น พอเลิกเรียน นักเรียนในห้องก็ต่างพากันจับกลุ่มเตรียมตัวลงไปทำกิจกรรมชมรมข้างล่าง
และนี่ก็เป็นเวลาเดียวที่นักเรียนจะได้มีโอกาสพบปะเพื่อนต่างห้อง
"เป็นอะไรเหรอ?" เฉินหยวนเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นโจวฟู่นั่งรื้อค้นอะไรบางอย่างในกล่องดินสอ
"เรื่องเล็กนิดเดียว" โจวฟู่ส่ายหน้าพลางค้นหาต่อไป
"ทำเงินหายเหรอ?" เฉินหยวนลองหยั่งเชิงถาม
โจวฟู่ยิ้มพลางอธิบาย "คงเผลอทำหล่นตอนรื้อกล่องดินสอน่ะ คิดว่านะ แต่ก็ไม่เป็นไร แค่ร้อยเดียว..."
ทันใดนั้น เสียงกระซิบที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น
สีหน้าเฉินหยวนแข็งค้าง ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในลิ้นชักตัวเอง บีบมือเบาๆ เสียงกระดาษถูกขยำดังขึ้นแผ่วเบา...
บรรยากาศเงียบสงัดในพริบตา
เสียงวุ่นวายรอบข้างถูกตัดขาดจนหมดสิ้น
เฉินหยวนกำกระดาษไว้แน่น ใบหน้าเรียบเฉย
"เฉินหยวนไปกันเถอะ รออะไรอีกล่ะ ช่างเถอะ ฉันไปก่อนนะ!"
"ซือเจียว ไปกันเถอะ"
"อวี้จื่อ วันนี้ส่งบอลมาให้ฉันเยอะๆหน่อย อย่ามัวแต่เลี้ยงบอลไปมานะ"
"แกมันโง่ชิบหาย ฉันคือท่านเทพโรงเรียน11 "
คนรอบข้างเหลือน้อยลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียงสิบกว่าคน
โจวฟู่หาเงินในกล่องดินสอและลิ้นชักตัวเองไม่พบ จึงค่อยๆก้มลง คิดจะลองหาบนพื้นดู...
ทันใดนั้น เฉินหยวนที่อยู่ข้างๆก็ลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังกลับ
หลี่ยูยูที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำการบ้านยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถูกเฉินหยวนคว้าข้อมือ ลากออกไปจากห้องเรียนด้วยสีหน้าตื่นตะลึง...