บทที่ 25 ความรักของหญิงสาวไม่มีวันจางหาย
บทที่ 25 ความรักของหญิงสาวไม่มีวันจางหาย
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ความหวังในการเลื่อนขั้นสู่ระดับทองของเย่เหรินนั้นริบหรี่ มันชัดเจนสำหรับทุกคน
ถึงแม้ว่าตระกูลเย่จะพยายามช่วยเย่เหรินให้ก้าวข้ามขีดจำกัด
แต่ตอนนี้ท่านอาของเธอกลับบอกว่า เย่เหรินไม่ได้เป็นผู้มีพลังระดับเงินอีกต่อไปแล้ว
เลอวั่นอี้ไม่อยากจะเชื่อ
เลอเอินจิงเห็นหลานสาวตกตะลึง เธอก็พูดต่อว่า
“จริงสิ ตอนนั้นแม้แต่ฉันก็ยังไม่คิดเลย ว่าเย่เหรินจะทำได้สำเร็จ แต่เมื่อกี้นี้ เย่เหรินทำลายขีดจำกัดของตัวเองสำเร็จ เขาเลื่อนขั้นเป็นระดับทองไปแล้ว”
เลอเอินจิงนึกถึงสีหน้าสงบนิ่งของเย่เหรินหลังจากที่ก้าวข้ามขีดจำกัดได้สำเร็จ เธอก็พูดต่อ “ไอ้เด็กนั่นไม่เพียงแต่ทำลายขีดจำกัดได้สำเร็จเท่านั้น แต่เพราะว่าเขาอยู่ที่ระดับเงินมาหลายปี ทำให้ทันทีที่เขาก้าวข้ามขีดจำกัด ออร่าของเขาก็แข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้มีพลังระดับทองขั้นปลายไปแล้ว”
เลอวั่นอี้ได้ยินข่าวการก้าวข้ามขีดจำกัดของเย่เหริน เธอรู้สึกมีความสุข ดวงตาของเธอเป็นประกาย
ดูเหมือนว่าตอนที่เธอก้าวข้ามขีดจำกัดได้ เธอยังไม่ได้รู้สึกดีใจถึงขนาดนี้
“แต่ท่านอา ถึงแม้เย่เหรินจะก้าวข้ามระดับทองได้สำเร็จ แต่มันก็ไม่ถึงขั้นที่ท่านอาจะต้องชื่นชมเขามากมายขนาดนั้นหรอกนะคะ” เลอวั่นอี้ถามเลอเอินจิงด้วยความคาดหวัง
ดูเหมือนว่าเธอกำลังอยากจะได้ยินอะไรบางอย่างจากเลอเอินจิง
เลอเอินจิงมองเลอวั่นอี้ เธอเคาะหัวเลอวั่นอี้เบาๆ
“ทำตัวให้มันเรียบร้อยหน่อย พวกเธอยังไม่ได้แต่งงานกันเลย”
เลอวั่นอี้รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เธอเอามือแตะหน้าผากของตัวเอง “ท่านอา เล่าให้ฟังหน่อยเถอะค่ะ”
เลอเอินจิงได้ยินคำอ้อนของเลอวั่นอี้ เธอนึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เย่เหรินทำ
ทำไมเธอถึงได้ให้ความสำคัญกับเย่เหรินมากขนาดนี้?
เพราะเขาฝึกฝนเจียงเสี่ยวหรู จนสามารถสืบทอดมรดกนักเยียวยาแห่งรัตติกาลได้งั้นเหรอ?
หรือเพราะเขาสามารถทำลายขีดจำกัดที่แม้แต่ปรมาจารย์ผู้เลิศล้ำยังคิดว่าเป็นไปไม่ได้?
ทั้งหมดอาจจะเป็นเหตุผล แต่ก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด
เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เธอเชื่อมั่นว่าเย่เหรินไม่ใช่คนธรรมดาก็คือ บุคลิกของเย่เหริน
ไม่ว่าจะเป็นความรับผิดชอบที่เขามีต่อเจียงเสี่ยวหรู ความสงบนิ่งของเขาหลังจากทำลายขีดจำกัด หรือจะเป็นท่าทางที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับเธอ
ทุกสิ่งที่เย่เหรินแสดงออกมา ทำให้เลอเอินจิงรู้สึกว่า เขาก็เหมือนกับปรมาจารย์ผู้เลิศล้ำคนหนึ่ง
ในฐานะปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิญญาณ เลอเอินจิงมั่นใจว่า สัญชาตญาณของเธอไม่ผิดพลาด
ดวงตาของเลอเอินจิงเป็นประกาย เธอพูดกับเลอวั่นอี้ว่า “บอกเหตุผลโดยตรงไม่ได้หรอกนะ แต่เชื่อมั่นในสายตาของอาเถอะ ไม่ช้าก็เร็ว เย่เหรินจะเติบโตขึ้น เขาจะแข็งแกร่งเทียบเท่ากับฉัน หรือแม้แต่เหนือกว่าฉันก็อาจจะเป็นไปได้”
เลอวั่นอี้ได้ยินคำยืนยันของเลอเอินจิง หัวใจของเธอก็สั่นไหวเล็กน้อย
เธอไม่คิดเลยว่าท่านอาผู้ซึ่งเป็นถึงปรมาจารย์ผู้เลิศล้ำ จะชื่นชมเย่เหรินมากขนาดนี้
แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ คนที่ท่านอาชื่นชมก็คือเย่เหริน
เลอวั่นอี้ก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
เลอเอินจิงที่เห็นแบบนั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว “ยังไม่ได้แต่งงาน ก็หันไปเข้าข้างคนอื่นซะแล้ว”
“ท่านอา! ท่านอาพูดอะไรเนี่ย?!” เลอวั่นอี้อ้อนเลอเอินจิง
เลอเอินจิงดุเลอวั่นอี้ “แล้วนี่เธอไม่กลัวว่าท่านปู่จะไม่ยอมเหรอ?”
เลอวั่นอี้ยิ้มออกมา “ก็มีท่านอาคอยช่วยอยู่แล้วนี่คะ...”
ท่านอาและหลานสาวกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่เย่เหรินที่อยู่ข้างนอกนั้นแทบจะทนไม่ไหวแล้ว
นับตั้งแต่ที่เย่เหรินบอกจางเจ๋อว่า เจียงเสี่ยวหรูได้สืบทอดมรดกนักเยียวยาแห่งรัตติกาลอย่างสมบูรณ์แบบ
รอยยิ้มบนใบหน้าของจางเจ๋อก็ไม่เคยจางหายไป
เขาดึงเย่เหรินและหวังเสี่ยวหม่านเข้าไปในห้องส่วนตัว พวกเขากำลังดื่มเหล้าราคาแพง
จางเจ๋อบอกว่าเขาอยากจะดื่มกับเย่เหรินให้เมา
แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่า ชายร่างใหญ่หัวล้านอย่างจางเจ๋อ จะดื่มได้แค่แก้วเดียว
ไม่ทันที่จะได้ดื่มแก้วที่สอง เขาก็โผเข้ากอดเย่เหรินพร้อมกับร้องไห้ออกมา
“น้องเย่เหริน ไม่กี่ปีมานี้ฉันลำบากมามาก ราชอาณาจักรมังกรไม่ยอมรับพวกเรา พวกเขายังอยากจะให้พวกเราทำเรื่องสกปรก แถมยังอยากจะลงโทษคนพวกนั้น ฉันอยากจะฆ่ามันให้หมดจริงๆ”
“ราชอาณาจักรมังกรไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา พวกมันไม่ยอมรับพวกเรา ฉันยอมรับว่ามาตรฐานการรับคนเข้าโรงเตี๊ยมอิสระของพวกเรานั้นต่ำมาก แต่ถึงแบบนั้น พวกเราก็ไม่ได้รับทุกคนเข้ามาหรอกนะ”
“ไม่เพียงแต่ราชอาณาจักรมังกรจะรังแกพวกเรา แม้แต่สำนักงานใหญ่ก็ยังรังแกพวกเรา ทุกวันพวกมันก็คอยแต่จะขอคน ขอคน ขอคน แล้วฉันจะไปหาคนพวกนั้นมาจากไหนกัน? KPI ของแต่ละสาขาก็สูงมาก ถ้าหากทำไม่ได้ พวกมันก็จะยึดตำแหน่งฉันคืน”
“ฉันฝึกฝนอย่างหนักเพื่อที่จะใช้ชีวิตอย่างอิสระ แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องมาทำงานหนัก ฉันทนทุกข์ทรมานมาก”
“ถ้าหากปีนี้พี่ไม่ได้มอบของขวัญล้ำค่าให้ฉัน ฉันก็คงจะทำงานนี้ต่อไปไม่ได้”
จางเจ๋อกอดเย่เหรินร้องไห้ เขาดูตื่นเต้นมาก
เย่เหรินถูกร่างกายอันใหญ่โตกอดเอาไว้ เขารู้สึกอึดอัด
เย่เหรินมองหวังเสี่ยวหม่าน เขาส่งสายตาขอความช่วยเหลือ
แต่หวังเสี่ยวหม่านกลับก้มหน้าก้มตากินแตงโม
นี่มันไม่ต่างอะไรกับการมีความสุขบนความทุกข์คนอื่นเลยนะ
เย่เหรินเห็นจางเจ๋อกำลังจะสั่งน้ำมูกใส่แขนเสื้อของเขา เย่เหรินจึงหยิบเอาทิชชู่ส่งให้พร้อมกับปลอบเขาว่า
“ท่านประธานจาง...”
“เรียกฉันว่าพี่จาง!!”
“พี่จาง...ไม่ต้องเครียดไปหรอกครับ ท่านจ้าวแห่งหมอกมัวไม่ใช่เหรอครับที่ดูแลสาขาของราชอาณาจักรมังกร?”
“อย่าพูดถึงพี่สาวเลย มันยิ่งทำให้ฉันโมโห พี่สาวไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ เธอสนใจแต่เรื่องการฝึกฝน นิสัยเธอก็น่ากลัวมาก พอเธอหงุดหงิดเมื่อไหร่เธอก็จะลงที่ฉันตลอด...”
จางเจ๋อพูดถึงเรื่องของจ้าวแห่งหมอกมัว เลอเอินจิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา
จางเจ๋อไม่ทันได้สังเกตเห็นว่า ประตูห้องส่วนตัวถูกเปิดออกอย่างเงียบๆ...
เย่เหรินที่เห็นคนคนนั้น เขารีบขัดจังหวะจางเจ๋อ “ท่านจ้าวแห่งหมอกมัวเป็นคนที่ฉลาดและแข็งแกร่ง เธอคงจะอยากจะฝึกฝนพี่จางล่ะมั้ง พี่จางไม่รู้สึกเหรอว่าความอดทนของพี่จางน่ะพัฒนาขึ้นมาก?”
จางเจ๋อไม่รู้เลยว่าเย่เหรินกำลังมองเขาด้วยแววตาแบบไหน เขาพูดต่อ “น้องชาย ฉันพูดจริงๆ เลยนะ พี่สาวของฉันน่ะนิสัยเสียมาก ครั้งหนึ่งเธอเห็นฉันก้าวเท้าซ้ายเข้ามา เธอก็เลยต่อยฉัน ใครมันจะไปทนได้กัน?”
จางเจ๋อยังไม่ทันได้พูดจบ
จิตสังหารที่แผ่ออกมาจากด้านหลังก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว
ขนของจางเจ๋อลุกชัน