บทที่ 19 ดินแดนมายา
จินเป่าเอ๋อก้มหน้าลง ปกปิดความรู้สึกที่ปั่นป่วนภายในใจ นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“นี่คือค่ายหินยักษ์ พวกเขาจะทนไม่ได้นาน! เจ้ามีพลังจินตัน ช่วยโจมตีค่ายจากภายนอก ข้าจะหาโอกาสเข้าไปทำลายจากข้างในเอง”
นางไม่ได้อยากยุ่งเกี่ยวมากนัก แต่อย่างน้อยก็เพราะนางได้ให้คำมั่นไว้กับท่านผู้อาวุโสนั่น และยังต้องการผ่านทางเข้าไปยังตำหนักเซียนในชาติก่อนที่นางเคยบังเอิญค้นพบ ซึ่งต้องผ่านที่นี่…
ขณะพูด จินเป่าเอ๋อก็หยิบยันต์ระเบิดออกมาสองแผ่นจากเสื้อ คล้ายเป็นของที่หกศิษย์พี่หลานอิ้งชิงมอบให้นางเป็นของขวัญยามพบหน้า ตั้งแต่ได้รับมายังไม่เคยมีโอกาสได้ใช้งาน
หลี่ชิงจิ่วรับยันต์มาด้วยท่าทีไม่ใส่ใจนัก แต่ผ่านไปเพียงครู่…
“บึ้ม!!”
ค่ายหินยักษ์ที่ลอยอยู่บนฟ้าระเบิดออกเป็นช่องกว้าง เศษหินลอยตกลงมาราวกับฝนโปรยปราย หลี่ชิงจิ่วไม่ทันหลบ จึงถูกหินเล็กๆ ฝังกลบร่างจนมิด เมื่อจินเป่าเอ๋อเห็นดังนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปทันที ค่ายหินกลับมาประกอบเป็นดังเดิม ราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลี่ชิงจิ่วมองค่ายหินยักษ์ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบฝุ่น ดวงหน้าของเขาดำคล้ำจากความขุ่นเคือง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมจินเป่าเอ๋อไม่ทำลายค่ายหินนี้ทิ้งไปเสียทีเดียว ค่ายหินที่เมื่อถูกทำลายก็ฟื้นคืนสภาพเช่นนี้ มันไม่มีทางจบสิ้นเลย และผู้ที่บาดเจ็บก็คือเขานั่นเอง!
ภายในค่าย จินเป่าเอ๋อรีบทรงตัวให้นิ่ง พริบตาต่อมาหินก้อนมหึมาตกลงมาจากฟ้า พุ่งตรงมายังนาง นางเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างเล็กน้อย พอพ้นจากหินก้อนแรก หินก้อนที่สองก็ตามมาทันที!
ทุกคนต่างก็อยู่ในสภาพที่ต้องหลบหลีกต่อเนื่อง ไม่มีเวลาพักหายใจ
“ทุกคนรวมตัวกันเข้าไว้ พยายามหลบ อย่าโจมตี หินในค่ายนี้มีพลังสะท้อน หากพวกเจ้าส่งพลังไปโจมตีเท่าไร หินก็ยิ่งมากขึ้น!”
นางรู้กฎเกณฑ์นี้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาครั้งก่อน คนอื่นๆ เมื่อได้ยินคำเตือนจากเด็กหนุ่มในชุดดำที่พึ่งเข้ามาในค่ายจึงรวบรวมตัวกันหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งและเก็บอาวุธที่ใช้โต้กลับลงไป
พื้นที่กลางค่ายหินยักษ์ค่อยๆว่างลง จินเป่าเอ๋อไม่รอช้า นางมุดไปอยู่หลังหินก้อนหนึ่ง ยกดาบมู่หมิงสูงขึ้นแล้วแทงลงอย่างแรง
“ปัง!”
บนพื้นมีผลึกเล็กๆ ชิ้นหนึ่งแตกออก ทำให้ค่ายหินหยุดชะงักไปสองวินาที ทุกคนล้วนดีใจ แต่ยังไม่ทันจะโล่งใจดี ค่ายหินก็กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง แถมมีความเร็วมากขึ้น!
“เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าเจ้าไหว! พวกเราจะไม่ไหวกันแล้ว!”
ศิษย์คนหนึ่งทนไม่ไหวพลั้งปากด่าทอขึ้นมา สีหน้าของเขาดูสิ้นหวังขณะพยายามหลบหลีกและถูกหินก้อนหนึ่งกระแทกจนกระอักเลือด
จินเป่าเอ๋อไม่รอช้า นางกระโดดขึ้นบนหินก้อนหนึ่งที่พุ่งมาจากด้านล่าง ทิ้งตัวไปต่อยังก้อนหินที่อยู่สูงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งนางปีนสูงขึ้น หินก็พุ่งโจมตีนางมากขึ้น จนกระทั่งนางได้เห็นหินมหึมาที่บดบังแสงอาทิตย์บนยอด
นางใช้พลังปราณรวมเข้าที่ปลายนิ้ว ท่ามกลางความหนาวเย็นที่แผ่ปกคลุม อาวุธน้ำแข็งปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จินเป่าเอ๋อสะบัดมือขว้างมันแทงเข้ากลางก้อนหินยักษ์
ราวกับหินรับรู้ถึงเจตนาของจินเป่าเอ๋อ หินด้านล่างหยุดโจมตีคนอื่นและพุ่งขึ้นไปขวางนาง แต่ก็สายเกินไปแล้ว
น้ำแข็งที่รวมพลังปราณทั้งหมดของจินเป่าเอ๋อพุ่งทะลุเข้าไปในก้อนหินยักษ์ กระทั่งมันทะลุไปถึงแกนกลางที่มีผลึกใสอยู่ เมื่อผลึกนั้นแตกหัก ค่ายหินยักษ์พังทลายลงทันที หินทุกก้อนหล่นลงสู่พื้น กลายเป็นเพียงก้อนหินธรรมดาที่ไร้พลัง
เหล่าศิษย์ต่างพากันหลบหนี ไม่มีใครสังเกตเห็นการหายไปของจินเป่าเอ๋อ และไม่มีใครเห็นว่านางราวกับคว้าบางสิ่งได้ จึงถูกดึงเข้าไปข้างในอย่างไม่ทันตั้งตัว…
ในเวลาเดียวกันนั้น หลี่ชิงจิ่วเห็นว่าจินเป่าเอ๋อพลังหมดและกำลังร่วงจากฟากฟ้า เขารีบวิ่งเข้าไปคว้าชายเสื้อของนางไว้ได้ทันก่อนที่แรงดึงมหาศาลจะพาเขาเข้าไปด้วย!
ไม่นานหลังจากที่ทั้งสองหายตัวไป กลุ่มคนอีกเจ็ดแปดคนก็มาถึงอย่างเร่งรีบ เห็นสภาพซากกองหินที่กระจัดกระจาย ซูเซียนจือขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ หลังจากฟังคำอธิบายของศิษย์จากจูหยวนจงแล้ว นางก็มั่นใจว่าศิษย์ในชุดดำคนนั้นคือจินเป่าเอ๋อ จึงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
“หายตัวไปแล้วหรือ”
ศิษย์หนุ่มในจูหยวนจงผู้มีใจชื่นชมนางอย่างเห็นได้ชัดเอ่ยตอบด้วยใบหน้าที่มีรอยแดงปรากฏ
“ใช่แล้ว ต้องขอบคุณท่านผู้นั้นที่ช่วยพวกเราให้รอดปลอดภัย! เซียนซือรู้จักเขาหรือ”
แต่ซูเซียนจือไม่ได้ตอบเขา เพียงคงสีหน้าสุภาพ ในกลุ่มของนางทั้งเจ็ดแปดคน แม้จะอยู่ในระดับบำเพ็ญเพียรหลอมปราณเช่นเดียวกับศิษย์คนอื่นๆ แต่พวกเขาล้วนมีพลังขั้นกลางหรือสูงขึ้นไป ต่างจากศิษย์ของจูหยวนจงที่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น
“ดูเหมือนศิษย์น้องในสำนักของเจ้าเองจะมีฝีมือไม่เลวนะ ถึงขั้นทำลายค่ายหินยักษ์ได้! หรือว่าเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกล”
ชายผู้หนึ่งในกลุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงประทับใจ การหาศิษย์ที่มีพรสวรรค์และเชี่ยวชาญในค่ายกลเช่นนี้ถือว่ายากยิ่งในปัจจุบัน
ซูเซียนจือสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อยก่อนจะกลับมายิ้มอย่างอ่อนโยน
“ท่านพี่อันชมเกินไป ศิษย์น้องของข้าหุนหันพลันแล่น ไม่ได้มีความละเอียดรอบคอบแบบผู้เชี่ยวชาญค่ายกล นางน่าจะทำลายค่ายได้เพราะบังเอิญมากกว่า… นางเป็นคนมีโชคดีอยู่แล้ว”
คำพูดนี้ทำให้จินเป่าเอ๋อดูเหมือนเป็นเพียงคนที่มีพรสวรรค์แต่ขาดสติปัญญา ชายที่ชื่ออันเจ๋อหลินถึงกับมีสีหน้าผิดหวังและไม่พูดอะไรต่อ
ในอีกด้านหนึ่ง จินเป่าเอ๋อเริ่มได้สติขึ้นหลังจากผ่านอาการเวียนศีรษะ นางเห็นประตูอันโอ่อ่าเบื้องหน้าและถอนหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดก็มาถึง
เมื่อจะลุกขึ้น นางจึงสังเกตเห็นชายหนุ่มที่นอนสลบอยู่ข้างๆ เขาน่าจะศีรษะกระแทกบางสิ่งเข้า และยังไม่ฟื้น จินเป่าเอ๋อแปลกใจเล็กน้อยที่เขาเข้ามาด้วยกันได้ ไม่น่าเชื่อว่าหลังรู้จักกันมาเพียงสองเดือน หลี่ชิงจิ่วที่ปกติระวังตัวทุกฝีก้าวกลับยอมเสี่ยงเข้ามาช่วยนาง แม้ว่าจะมีหินยักษ์ลอยอยู่รอบตัว
เมื่อแน่ใจว่าบริเวณนั้นปลอดภัย จินเป่าเอ๋อจึงก้าวเข้าไปในตำหนัก…
ภายในตำหนักยังคงเหมือนในความทรงจำของนาง เปล่าเปลี่ยวและกว้างขวาง มีเพียงแท่นสูงตรงกลางท่ามกลางความว่างเปล่าโดยรอบ
นางเตรียมใจให้พร้อมและก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น...
ผ่านไปเพียงสิบขั้น สภาพแวดล้อมรอบตัวก็แปรเปลี่ยนไป จินเป่าเอ๋อเม้มริมฝีปากเบาๆ และตั้งสมาธิเต็มที่เพราะรู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้เป็นภาพลวงตา การทดสอบเพื่อให้ได้ครอบครองไข่ฟินิกซ์ทองคำ
แต่ร่างสูงสง่าที่ปรากฏตรงหน้าทำให้นางต้องชะงักตัวแข็งทื่อ
“ศิษย์ชั่ว! เจ้าฆ่าจ้าวสำนัก อิจฉาศิษย์พี่น้อง ไม่ควรมีชีวิตรอด! ข้าจะปลดพลังของเจ้า และขังคุกใต้ดิน!”
น้ำเสียงเย็นชาแทรกเข้าสู่โสตประสาท ความเจ็บปวดจากการถูกทำลายพลังบำเพ็ญเพียรกระจายไปทั่วร่าง!
นางไม่อาจลืมคืนที่จ้าวสำนักถูกฆ่าได้ วันนั้นทุกคนตัดสินว่านางเป็นผู้กระทำ ความทรมานที่เพิ่งเริ่มขึ้นนั้นเลวร้ายยิ่ง และอาจารย์ที่เคยเยือกเย็นกลับกล่าวคำนี้ออกมาทันที ขณะที่ซูเซียนจือยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาผิดหวังและไม่อยากเชื่อ พร้อมกับพูดว่า
“ศิษย์พี่ ทำไมท่านถึงโหดร้ายนัก จ้าวสำนักแค่ตักเตือนท่านเพียงสองคำเท่านั้นเอง!”