บทที่ 15 ผู้หญิงทะเลาะกัน จะมีที่ให้ผู้ชายแทรกปากได้อย่างไร
“ศิษย์น้อง เจ้าได้ดอกมู่หลิงกลีบเดียวจากการออกไปผจญภัยด้วยพลังระดับขั้นต้นเช่นนั้นหรือ”
จินเป่าเอ๋อพยักหน้า ใบหน้าที่งดงามของนางยังคงสงบนิ่งไร้ซึ่งความเย่อหยิ่งแม้แต่น้อย
“ก็แค่โชคช่วยเท่านั้น ศิษย์พี่จะซื้อกลีบดอกมู่หลิงในราคา 100 ผลึกกลางใช่หรือไม่”
หยู่เฉิงจิ้งมองเด็กสาวอายุสิบห้าปีตรงหน้าอย่างประหลาดใจ นางสงบเยือกเย็นเกินวัย เขาพยักหน้าและส่งถุงเก็บผลึกให้ นางตรวจสอบแล้วไม่มีปัญหา จึงส่งกล่องดอกไม้ให้
“ถ้าศิษย์พี่จะใช้ทำยา ก็น่าจะปรึกษาท่านอาจารย์ข้า ยอดฝีมือแห่งฮวาหมิงด้วยจะดีกว่า เพราะหากการใช้กลีบดอกมู่หลิงล้มเหลว คงไม่คุ้มค่า”
พูดจบนางก็หันเดินออกไป แต่ก็ต้องเผชิญหน้ากับซูเซียนจือที่ยืนอยู่ตรงประตูพอดี
เป็นคำกล่าวที่ว่าศัตรูพบหน้ากันยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ ผ่านไปหลายปี ซูเซียนจือที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาบัดนี้เจริญวัยเป็นหญิงงามสง่า สวมชุดขาวบริสุทธิ์ซึ่งดึงดูดสายตาของศิษย์ชายรอบข้าง แต่ในสายตาของจินเป่าเอ๋อ กลับทำให้รู้สึกขยะแขยง ขณะนึกถึงความอัปยศที่เคยได้รับจากนาง
“ศิษย์น้องจิน เพิ่งกลับมาหรือ ใส่ชุดบุรุษเช่นนี้ หรือว่าฮวาหมิงยากจนจนไม่มีชุดให้เจ้าสวมใส่แล้วหรือ ถ้าไม่ถือสาข้ามีชุดอยู่หลายชุด ศิษย์น้องจะยืมไปใส่ก็ย่อมได้”
ซูเซียนจือยิ้มเยาะในคำพูดที่ดูสุภาพ แต่แฝงการดูถูกอย่างชัดเจน นางเอ่ยเสียงเบาในระดับที่คนอื่นฟังไม่ทัน ให้ผู้คนคิดว่าทั้งสองมีความสนิทสนมกันเสียเต็มประดา
จินเป่าเอ๋อเหลือบมองซูเซียนจืออย่างเย็นชา ก่อนจะยิ้มมุมปากขณะจับตามองระดับพลังของนาง
“ข้าได้ยินว่าศิษย์พี่ซูเข้าขั้นสร้างรากฐานพลังได้ตั้งแต่ครึ่งปีก่อน ทำไมตอนนี้ถึงยังเป็นเพียงขั้นต้นอยู่ หรือว่าเจ้าไม่ก้าวหน้าไปไหนเลยหรือ”
คำพูดนั้นดังจนคนรอบข้างได้ยิน ทำเอาซูเซียนจือหน้าเสีย แต่ไม่นานก็กลับมาแสดงท่าทางน่าสงสารอีกครั้ง
“ศิษย์น้องจะพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าเพียงแต่กำลังเสริมสร้างรากฐานของพลัง ตามที่ท่านอาจารย์สั่ง ส่วนน้องนั้นเพิ่งออกจากการบ่มเพาะ ใช่ไหม หากมีสิ่งใดสงสัยก็ถามข้าได้ เพราะท่านอาจารย์เจ้าเป็นเพียงนักปรุงยา คงช่วยเจ้าไม่ได้ในเรื่องการบ่มเพาะพลัง”
คนรอบข้างเริ่มรู้สึกถึงความตึงเครียดระหว่างสองคน จินเป่าเอ๋อปรายตามองซูเซียนจืออย่างเย็นชา และแผ่พลังออกมาทันที แม้ทั้งสองจะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ซูเซียนจือก็ถึงกับถอยหลังไปสองก้าว ศิษย์คนอื่นๆ ถึงกับมองนางด้วยความตกใจ
หยู่เฉิงจิ้งที่ยังไม่ได้ไปไหนก็มองเด็กสาวด้วยสีหน้ากังวล พลังที่เด็กสาวระดับสร้างฐานขั้นต้นปล่อยออกมานั้นช่างน่าตกใจ ไม่แปลกที่ข่าวลือเกี่ยวกับนางจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา
จินเป่าเอ๋อได้ยินซูเซียนจือพูดดูหมิ่นอาจารย์ของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าโกรธจัด แววตาดำมืดของนางเย็นชาและอำมหิต รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏที่มุมปาก “ซูเซียนจือ เจ้าคงลืมไปแล้วล่ะสิ ว่าเจ้าเคยพ่ายแพ้ข้ามาก่อน แม้จะมีพลังเท่ากัน แต่เจ้าก็ไม่อาจชนะข้าได้เลย เจ้าเพียงแค่พึ่งพาอาศัยชื่อเสียงของเซียนจุนเท่านั้น เจ้าจะเย่อหยิ่งอะไรนักหนา ว่ากันตามตรง เจ้าก็แค่คนที่เก่งเพราะอวดบารมีผู้อื่น!”
เมื่อจินเป่าเอ๋อกล่าวจบ ใบหน้าของซูเซียนจือก็พลันซีดขาว แม้จะทำท่าทางน่าสงสาร แต่แววตากลับซ่อนความโกรธไว้จนแทบจะระเบิดออกมา แต่สุดท้ายนางก็ยังต้องอดทนไว้ ซูเซียนจือในตอนนี้ยังไม่ใช่คนบ้าเจ้าเล่ห์เหมือนที่เป็นในอีกสิบกว่าปีต่อมา
หากไม่ใช่เพราะพลังของจินเป่าเอ๋อในตอนนี้ยังไม่แข็งแกร่งพอ และหากซูเซียนจือไม่มีเซียนจุนโหลวหยุนคอยปกป้อง นางคงอยากจะสังหารหญิงบ้าตรงหน้านี้เสียเดี๋ยวนี้
"ก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันทั้งนั้น ศิษย์น้องจินจะพูดอะไรขนาดนั้นทำไม ที่ศิษย์พี่หญิงกล่าวก็ไม่ผิด หากแม้เคยแพ้เจ้ามาก่อน แต่อย่าลืมว่าหนทางการฝึกฝนยาวไกล ยังไม่รู้ว่าใครจะเหนือกว่าใคร ชนะครั้งหนึ่งไม่ได้หมายความว่าจะชนะได้ทุกครั้งหรอกนะ!"
ในกลุ่มคนที่มองอยู่นั้น มีศิษย์ชายคนหนึ่งทนเห็นซูเซียนจือถูกพูดจาร้ายๆ ไม่ไหว จึงร้องออกมาอย่างไม่พอใจต่อจินเป่าเอ๋อ
จินเป่าเอ๋อหันมามองศิษย์ชายคนนั้นอย่างเย้ยหยัน เขาไม่ใช่ใครอื่น เป็นคนที่เคยหลอกล่อให้นางไปรับภารกิจในระดับจินตันขั้นสาม หรือแก่นพลังทอง เมื่อก่อนหน้านี้ รอยยิ้มของจินเป่าเอ๋อเผยความดูแคลนออกมาอย่างชัดเจน นางมองศิษย์คนนั้นราวกับมองตัวตลก
“เรื่องของหญิงๆ ที่ทะเลาะกัน มีที่ไหนให้พวกชายๆ เข้ามายุ่งด้วย? เจ้าชอบยุ่งไม่เข้าเรื่องแบบนี้นัก หรือว่าซูเซียนจือเป็นแม่ของเจ้า เห็นเจ้าจงรักภักดีเหลือเกิน ถึงขนาดหลอกล่อข้าให้รับภารกิจระดับจินตัน เพื่อช่วยระบายความแค้นให้ ‘แม่’ เจ้าเชียวหรือ นึกไม่ถึงว่าข้าจะกลับมาได้อย่างปลอดภัยใช่ไหม”
เมื่อคำพูดนั้นดังขึ้น ใบหน้าของศิษย์ชายก็พลันแดงก่ำด้วยความอับอายจนไม่กล้ามองไปทางซูเซียนจืออีก เขาชี้ไปที่จินเป่าเอ๋อพลางอ้ำๆอึ้งๆอย่างละล้าละลัง
คนอื่นๆพอรู้ความ ก็เริ่มมองเห็นเจตนาที่แท้จริงในคำพูดของจินเป่าเอ๋อ เห็นได้ชัดว่าศิษย์ชายคนนั้นแกล้งวางแผนให้จินเป่าเอ๋อไปทำภารกิจเพื่อช่วยซูเซียนจือแก้แค้น แต่จินเป่าเอ๋อกลับรอดมาได้อย่างปลอดภัย แถมเขายังคิดจะหลอกซื้อดอกมู่หลิงกลีบนั้นจากนางอีก ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!
สีหน้าของซูเซียนจือเองก็พลอยดูไม่สู้ดี ใครๆก็รู้ว่านางแอบถากถางตัวเองอยู่ในคำพูดที่ร้ายกาจนั้น แต่ด้วยศิษย์ชายคนนั้นเองก็ทำเรื่องเช่นนั้นจริงๆ นางเลยไม่กล้าจ้องเขาด้วยความโกรธ เพราะยังต้องพึ่งพาเขาในการเลือกภารกิจที่ง่ายแต่ได้รางวัลสูงในอนาคต
เมื่อเห็นซูเซียนจืออดกลั้นไม่โต้ตอบกลับ จินเป่าเอ๋อรู้สึกสะใจอย่างล้นเหลือก่อนจะหันหลังเดินจากไป ใจของนางเริ่มรู้ว่าตัวเองต้องฝึกฝนให้มากกว่านี้ นางต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้! คิดได้ดังนั้นนางจึงตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่จะไปยังแดนลับซึ่งกำลังจะเปิดขึ้น
วันรุ่งขึ้นเช้าตรู่ เมื่อจินเป่าเอ๋อออกจากสำนัก นางยังไม่ทันจะเดินไปไกลก็มีร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาหานางพร้อมกับพลังเย็นเยียบ จินเป่าเอ๋อรีบถอยหลังและใช้หอกน้ำแข็งป้องกันตัว แต่กลับพุ่งเข้าไปที่เปล่า เมื่อมองลงมาอีกทีก็เห็นว่าขาของนางถูกใครบางคนกอดไว้อย่างแน่นหนา พร้อมกับเสียงคร่ำครวญ
“พี่จิน เจ้ากลับออกมาแล้ว! ข้ารอจนแทบตาย เจ้ารู้ไหมว่าที่นี่ตอนกลางคืนมีแมลงดูดเลือด! มันกัดจนข้าเต็มไปด้วยตุ่มแดง ข้าเกือบจะถูกดูดเลือดจนแห้งตายแล้ว!”
จินเป่าเอ๋อก้มมองดูหลี่ชิงจิ่วที่นั่งคุกเข่าบนพื้น กอดขาของนางพร้อมกับร้องไห้และบ่นไม่หยุด ใบหน้าอ่อนหวานของเขาเต็มไปด้วยตุ่มแดงเป็นสิบๆ เม็ด มองดูแล้วราวกับเขาเป็นโรคร้ายอะไรสักอย่าง
นางพยายามดึงขาออกมา แต่ไม่สำเร็จ
“ปล่อยข้า!”
เสียงเย็นชาของนางไม่ได้ทำให้หลี่ชิงจิ่วกลัวแม้แต่น้อย เขากลับร้องไห้หนักขึ้นราวกับจินเป่าเอ๋อทำสิ่งที่ผิดต่อตัวเขาอย่างร้ายแรง
จินเป่าเอ๋อถอนหายใจอย่างหมดหนทาง เมื่อรู้ดีว่าหลี่ชิงจิ่วมีพลังสูงกว่านาง “ก็ได้ ข้าจะพาเจ้าร่วมฝึกฝน”
________________________________________
ระดับขั้นพลัง