บทที่ 15 ชำระหนี้! ส่งอาหารมันน่าอายไหม?
เมื่อได้ยินคำพูดของแม่ จางหลินก็รู้ได้ทันทีว่าแม่ยังคงกังวลกับเรื่องหนี้สิน
หนี้สินของบ้านเป็นปมในใจของแม่มาโดยตลอด
แน่นอนว่าเมื่อเขาหันไปมองแม่อีกครั้งก็เห็นได้ชัดว่าแม่มีสีหน้าหม่นหมอง
ความรู้สึกแบบนี้ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพเลย
ถึงเวลาแล้วที่เขาควรบอกความจริงบางอย่างให้แม่สบายใจขึ้น
คิดได้ดังนั้น เขาจึงพูดกับแม่ว่า “แม่ ตอนนี้รู้แล้วว่าบ้านจางตงมีเรื่องกัน พอไปถึงโรงพยาบาลแล้ว เราคืนหนี้ 50,000 หยวนให้พวกเขาก่อนเถอะ”
“บ้านเรามีเงินที่ไหนตั้ง 50,000 หยวน!” หลินเหยียนถอนหายใจหนักๆอีกครั้ง
แม่เองก็อยากชำระหนี้เช่นกัน เพราะไม่อยากให้ลูกต้องแบกหนี้ไว้ตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่ปัญหาคือไม่มีเงินสักบาท
“มีสิแม่ เรามีพอจ่าย” จางหลินพูดพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วยื่นยอดเงินให้แม่ดู “แม่ดูนี่สิ!”
หลินเหยียนมองไปที่ยอดเงินในโทรศัพท์ก็ถึงกับตกใจ
แม่ยังนับยอดเงินอยู่พักหนึ่ง ซึ่งมีทั้งหมดกว่า 180,000 หยวน
ทำให้แม่ตื่นตกใจ ถามด้วยน้ำเสียงเร่งร้อนว่า “เสี่ยวหลิน ทำไมลูกมีเงินเยอะขนาดนี้? เรื่องบางอย่างถึงจะได้เงินมากแค่ไหน เราก็ทำไม่ได้นะ!”
สีหน้าของแม่ดูร้อนรนขึ้นมาทันที
ลูกชายมีเงินมากมายในระยะเวลาสั้นๆ แบบนี้มันไม่ปกติ
แม่เคยได้ยินเรื่องของคนในหมู่บ้านที่ติดหนี้พนันกว่า 1 ล้านหยวนแล้วไปทำธุรกิจผิดกฎหมายทางอินเทอร์เน็ต ใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนก็ได้เงินหลายล้าน ไม่เพียงแต่ชำระหนี้ได้ยังมีเงินซื้อบ้านและรถ ทำให้ครอบครัวมีฐานะที่ดีขึ้นมาก
แต่เพียงสองเดือนก็ถูกตำรวจจับ รายได้ทั้งหมดถูกยึดไป แถมโดนตัดสินโทษถึง 10 ปี
แม้จะมีหนี้กว่า 1 ล้านหยวน แต่แม่ยอมที่จะพยายามทำงานหาเงินคืนไปพร้อมกับดูแลสุขภาพดีกว่าที่จะให้ลูกไปเสี่ยงทำอะไรผิดๆ จนต้องติดคุกยาวเหมือนคนในหมู่บ้าน
ถ้าเหมือนคนนั้นที่ต้องติดคุกไป 10 กว่าปีจะทำยังไงกัน?
จางหลินได้ยินคำพูดของแม่ก็อดขำและเศร้าใจไปพร้อมกันไม่ได้
แม่คิดไปถึงไหนกันแล้ว
แต่เมื่อเห็นว่าแม่เป็นห่วงมาก เขาจึงรีบอธิบายว่า “แม่ ไม่ต้องกังวลไป ผมเคยบอกแม่แล้วไงว่าผมจะทำธุรกิจขายส่งลูกพีช นี่เป็นกำไรจากการขายส่งลูกพีชน่ะ”
“การขายส่งลูกพีชจะทำเงินได้มากขนาดนี้เชียว?” หลินเหยียนดูประหลาดใจ จากนั้นก็จับประเด็นสำคัญได้ “แต่ต่อให้ขายส่งลูกพีชได้เงินมากแค่ไหน ก็ต้องมีทุนเยอะ ลูกไปเอาทุนจากไหนมาล่ะ?”
จางหลินได้ยินคำถามนี้ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร จะให้บอกตรงๆว่าเขาซื้อลูกพีชมาจินละ 4 หยวน แล้วขายจินละ 30 หยวนได้หรือ?
ถึงจะเป็นความจริง แต่พูดไปใครจะเชื่อกันล่ะ
เขาจึงพูดอ้อมๆว่า “แม่ ผมก็เรียนจบมหาวิทยาลัยมา ย่อมต้องมีเพื่อนบางคนที่มีเงินลงทุนบ้างสิ แม่จะคิดว่าพ่อหาทุนมาได้ตั้งหลายหมื่น แต่ผมเป็นลูกชายจะหาเงินทุนมาไม่ได้บ้างหรือไง? นี่เพิ่งเริ่มต้นนะ แม่ไม่ต้องห่วง อีกไม่นานเราก็จะชำระหนี้ทั้งหมดได้แล้ว”
แม้ว่าในความเป็นจริงจะไม่มีการดึงทุนอะไรเลยก็ตาม แต่เขาก็รู้ว่าจะพูดยังไงให้แม่สบายใจ
และแน่นอน หลินเหยียนได้ยินก็รู้สึกโล่งใจขึ้น ลูกชายของเธอเป็นคนเก่ง สามารถหาทุนได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ในฐานะแม่ เธอย่อมเชื่อว่าลูกชายของเธอเป็นคนที่เก่งที่สุด
แต่หลินเหยียนก็ยังเตือนว่า “เสี่ยวหลิน ถ้าพวกเพื่อนลงทุนให้ ลูกต้องทำให้ดีนะ ห้ามทำผิดพลาดเด็ดขาด บ้านเรามีสถานการณ์แบบนี้ ยังมีคนที่ยอมช่วยเหลือเรา นั่นถือเป็นบุญคุณที่ลูกต้องจดจำไปตลอดชีวิตนะ”
“รู้แล้วครับแม่ เรารีบกินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวต้องไปเยี่ยมลุงเหอเกินที่โรงพยาบาล” จางหลินรีบบอก
ลุงเหอเกินมีชื่อจริงว่าจางเหอเกิน เป็นพ่อของจางตงนั่นเอง
“ได้ๆ” หลินเหยียนพยักหน้า ในตอนนี้ความกังวลใจของเธอก็ลดลงไปเยอะ
จางหลินเห็นดังนั้นก็สบายใจขึ้นเช่นกัน
เมื่อแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องหนี้แล้ว สุขภาพของแม่ก็จะดีขึ้น
หลังทานอาหารเย็นเสร็จ จางหลินและแม่ก็ออกเดินทางไปโรงพยาบาล ระหว่างทางก็แวะซื้อกระเช้าผลไม้จากร้านผลไม้หน้าทางเข้าโรงพยาบาล
การไปเยี่ยมคนป่วยจะไปมือเปล่าไม่ได้
เมื่อเข้ามาในโรงพยาบาล จางหลินและแม่เดินตามทางจนมาถึงห้องพักผู้ป่วยในแผนกกระดูก แล้วเห็นลุงเหอเกินที่นอนบาดเจ็บจากอุบัติเหตุขาหักและใส่เฝือกแขนอยู่ แสดงว่าอาการคงไม่เบา
แต่โชคดีที่ตัวเขาไม่เป็นอะไรมาก ถือว่ายังโชคดี
ในห้องยังมีป้าฉิน และจางตงที่กำลังปอกผลไม้อยู่
ป้าฉินนั่งอยู่ข้างเตียงของลุงเหอเกินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
จางหลินมักเห็นสีหน้าแบบนี้จากแม่ของตัวเอง แสดงว่าครอบครัวของจางตงกำลังอยู่ในช่วงลำบากเช่นกัน ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องกู้เงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล
“หลินเหยียน เสี่ยวหลิน พวกเธอมาด้วยเหรอ” จางเหอเกินเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาก็ทักทายอย่างรวดเร็ว
“ลุงเหอเกิน เป็นอย่างไรบ้างครับ?” จางหลินรีบเดินไปทักทาย
ส่วนหลินเหยียนก็นำกระเช้าผลไม้ยื่นให้ป้าฉิน
“มาถึงแล้วยังจะเอาของมาด้วยทำไม” จางเหอเกินรีบพูด เพราะเขารู้ดีว่าครอบครัวของจางหลินลำบากยิ่งกว่าครอบครัวของเขา
โรคหลอดเลือดสมองที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ครอบครัวที่เคยอยู่ดีกินดีต้องเปลี่ยนไปแบบนั้น
“จางตง เรื่องลุงเหอเกินทำไมนายไม่บอกกันเลย? คิดจะเลิกคบกันแล้วหรือไง?” จางหลินหันไปพูดกับจางตงอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย
“จางหลิน นายคิดอะไรไปน่ะ?” จางตงรีบปฏิเสธ ก่อนจะอธิบาย แต่ก็พอดีกับที่โทรศัพท์ของเขาดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นแฟนสาวโทรมา เขาจึงขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์นอกห้องผู้ป่วย
จางหลินเห็นว่าแม่กำลังพูดคุยเรื่องทั่วไปกับป้าฉินอยู่ เขาก็เลยหันไปคุยกับลุงเหอเกิน และเปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นมาว่า “ลุงเหอเกิน วันนี้ผมมีเรื่องจะบอกด้วย พ่อผมเคยยืมเงินลุง 50,000 หยวน วันนี้ผมมาเพื่อชำระหนี้ครับ”
“เสี่ยวหลิน เงินมากขนาดนี้ไปเอามาจากไหน?” จางเหอเกินขมวดคิ้วทันที “ครอบครัวเราไม่ได้ลำบากอะไร ไม่ต้องรีบคืนหรอก”
แต่ในขณะที่พูด จางหลินก็หยิบโทรศัพท์มาโอนเงิน 50,000 หยวนผ่าน WeChat ให้ลุงเหอเกินเรียบร้อยแล้ว “ลุงเหอเกิน มีหนี้ก็ต้องชดใช้สิครับ ผมมีเงินแล้วก็ต้องคืนลุงไปก่อนเลย ไม่ต้องห่วงครับ ทางนี้ไม่มีปัญหาอะไร”
จางเหอเกินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูการโอนเงินก็ได้แต่ถอนหายใจ “เสี่ยวหลิน ลูกทำให้ลุงภูมิใจจริงๆ เด็กในหมู่บ้านที่อายุรุ่นเดียวกันกับลูกไม่มีใครสู้ความรับผิดชอบของลูกได้เลย”
ป้าฉินที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกซาบซึ้งและพูดว่า “เสี่ยวหลิน ลูกเป็นเด็กที่ลำบาก แต่กลับมีความรับผิดชอบจนใครๆ ก็ชื่นชม ถ้าจางตงจะเป็นผู้ใหญ่ได้สักครึ่งหนึ่งของลูก คงทำให้พวกเราสบายใจได้มากกว่านี้”
ทั้งสองคนพูดอย่างจริงใจ
ครอบครัวพวกเขากำลังอยู่ในช่วงลำบาก และรู้ว่าครอบครัวจางหลินก็ลำบากเช่นกัน พวกเขาจึงไม่อยากไปรบกวน แต่เมื่อจางหลินโอนเงิน 50,000 หยวนมาคืนให้จริงๆ พวกเขาจึงปฏิเสธไม่ได้ เพราะเงินก้อนนี้จะช่วยให้พวกเขาผ่านช่วงลำบากไปได้
หลังจากอยู่ในห้องพักผู้ป่วยได้สักพัก จางหลินก็รอให้แม่คุยกับป้าฉินเสร็จ จึงพากันออกจากโรงพยาบาล
เมื่อเห็นสองแม่ลูกเดินออกไป จางเหอเกินก็หันไปกำชับภรรยาว่า “ห้ามไปบอกใครเรื่องที่เสี่ยวหลินมาใช้หนี้ให้เรา”
“ฉันเข้าใจค่ะ!”
ทั้งสองรู้ดีว่าเหตุผลที่จางหลินมาใช้หนี้ให้ ก็เพราะได้รู้ว่าครอบครัวพวกเขาต้องไปกู้ยืมเงินมา
เงิน 50,000 หยวนนี้น่าจะเป็นเงินที่ครอบครัวเขาต้องไปหาเงินมารวมๆ กันมาให้
แต่ครอบครัวของจางหลินยังคงมีหนี้กับคนอื่นอีก ถ้าคนอื่นรู้ว่าเขาชำระหนี้ให้บ้านจางตงแล้ว อาจจะเกิดความไม่พอใจและเริ่มตำหนิขึ้นมาได้
เมื่อจางหลินและแม่เดินลงมาจากโรงพยาบาล กำลังจะออกจากที่นั่น ก็เห็นจางตงยืนอยู่ข้างถังขยะ สูบบุหรี่ด้วยสีหน้ากังวลใจ รู้สึกห่อเหี่ยวไปหมด
เห็นท่าทางของเขา ก็รู้ทันทีว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ ๆ
จางหลินจึงเดินเข้าไปถาม “จางตง เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ทำไมทำหน้าแบบนี้?”
จางตงเห็นเขาก็ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะถามด้วยความกังวลว่า “จางหลิน นายคิดว่าการส่งอาหาร ใช้แรงทำมาหากินไม่ลักไม่ขโมย มันน่าอายหรือเปล่า?”
(จบบท)