บทที่ 106: น่าสนใจ
จื่อเฟิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นด้วยท่วงท่าสบาย ๆ หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของมู่ไป๋ไป่ เขาก็ส่ายหัวแบบโกรธ ๆ “ไม่!”
ทุกวันนี้เด็กหนุ่มได้เรียนรู้คำพูดง่าย ๆ 2-3 คำจากหลัวเซียวเซียว แต่การออกเสียงของเขาอาจจะฟังดูแปลกไปอยู่เล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงยังรู้สึกไม่มั่นใจนักในยามที่ต้องพูด
ยกเว้นเวลาที่เขาโกรธ
“หืม…” มู่ไป๋ไป่เพิ่งได้ยินเขาพูดเป็นครั้งแรก และคิดจะแซวเขาสักหน่อย เธอจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ก่อนจะยิ้มล้อเขา “ท่านโกรธหรือ?”
“ฮึ!” จื่อเฟิงเงยหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมองเด็กหญิงตรงหน้า “เขาเป็นคนเลว”
“คนเลว?” มู่ไป๋ไป่เอียงคอพูดตามอีกฝ่าย “ทำไมอวี้เซิ่งถึงเป็นคนเลว ท่านพ่อของข้าส่งเขามาปกป้องข้านะ”
“...” เด็กหนุ่มเม้มปาก ก่อนจะอ้าปากเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของตัวเองด้วยระดับภาษาในปัจจุบันได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่กล้ำกลืนความโกรธที่มีลงไป “ใช่ เขาเป็นคนเลว”
คนตัวเล็กรู้สึกขบขันกับท่าทีของอีกคน “ข้าไม่รู้ว่าระหว่างท่านกับอวี้เซิ่งเกิดอะไรขึ้น หรือเขาไปทำอะไรให้ท่านโกรธเข้าจนทำให้ท่านไม่พอใจเขาขนาดนี้”
“แต่ว่านะจื่อเฟิง ในเมื่อท่านติดตามข้าและยอมรับข้าเป็นเจ้านายของตัวเอง ท่านจะยอมเชื่อฟังเจ้านายได้หรือไม่?”
เด็กหนุ่มเหลือบมองคนพูด ผ่านไปสักพักเขาถึงจะยอมพยักหน้าแบบไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่
“จริงหรือ?” มู่ไป๋ไป่เห็นว่าเขาเชื่อฟังบ้างแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะโน้มตัวไปลูบหัวเขา “ถ้าอย่างนั้น เจ้านายคนนี้ขอสั่งให้ท่านทำดีกับอวี้เซิ่ง และอย่าได้ไปหาเรื่องทะเลาะกับเขาทุกวัน ท่านทำได้หรือไม่?”
จื่อเฟิงรู้สึกมีความสุขมากที่อีกฝ่ายสัมผัสหัวเขา คราวนี้เขาไม่คัดค้านและพยักหน้าอย่างมีความสุข
บนหลังคาไม่ไกลจากทั้ง 2 คน เซียวถังอี้กำลังจิบสุราขณะหัวเราะเยาะเบา ๆ “เจ้าตัวเล็กนั่นทำเหมือนกับคนข้างกายตัวเองเป็นสุนัขเลยจริง ๆ”
“ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าท่านดูเหมือนจะมีอคติกับองค์หญิงหก?” อวี้เซิ่งกล่าวขณะเหลือบมองอีกฝ่าย
หลังจากมื้อเย็นเขาก็ไม่มีอะไรทำ เขาจึงหยิบสุราติดมือมาบนหลังคาเพื่อดื่มกับเซียวถังอี้
“ท่านอ๋อง ข้าอยากจะเตือนท่านสักหน่อย” นักฆ่าหนุ่มจิบสุราพลางหลับตาพริ้มเพลิดเพลินไปกับรสชาติที่เข้มข้นแต่หอมหวานของสุราเลิศรส “ฝ่าบาทปฏิบัติปฏิบัติต่อองค์หญิงหกแตกต่างจากคนอื่น ท่านไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่าม”
“หึ ๆ” เซียวถังอี้หัวเราะในลำคอเบา ๆ “อวี้เซิ่ง ตอนนี้ท่านออกจากวังหลวงแล้ว ท่านอย่าเรียกข้าว่าท่านอ๋องอีกเลย มันฟังดูไม่คุ้นหูสักเท่าไหร่”
“แล้วอีกอย่าง เจ้าเด็กนั่นจะทำอะไรข้าได้?”
“นอกจากนี้ หากนับตามลำดับความอาวุโส นางควรจะเรียกข้าว่าเสด็จอาด้วยซ้ำ”
อวี้เซิ่งยิ้มมุมปากแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ ทว่าสายตาของเขาจ้องไปยังจื่อเฟิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ มู่ไป๋ไป่ “เด็กคนนั้นมีพื้นฐานร่างกายที่ดี เขาเป็นคนที่ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว”
เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะเกลียดชังเขามากเสียจนไม่อาจอธิบายได้
มันทำให้เขาต้องมานั่งคิดอย่างจริงจังว่าตนได้บังเอิญไปฆ่าพ่อแม่หรือโคตรเหง้าของเจ้าตัวหรือไม่
แต่คิดอยู่นานเขาก็นึกไม่ออก
“ข้าเองก็มีบางอย่างอยากจะเตือนท่านเช่นกัน” เซียวถังอี้เหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “สถานะของเด็กคนนั้นมีความสำคัญมาก นางเป็นถึงองค์หญิงหก ท่านไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่าม”
“...” อวี้เซิ่งได้ยินเช่นนี้ถึงกับพูดไม่ออก
เด็กหนุ่มรู้สึกมีความสุขที่สามารถตอบโต้อีกฝ่ายได้ ทำให้ริมฝีปากบางที่อยู่ภายใต้หน้ากากสีเงินเม้มแน่น และเขาก็ยังมองดูภาพตรงหน้าในขณะที่ลิ้มรสสุราไปด้วย
“ท่าน— คุณชายเซียว” อวี้เซิ่งลุกขึ้นยืนพร้อมกับเลิกคิ้ว “ถ้าข้าจำไม่ผิด เหมือนท่านเคยบอกข้าไว้ว่าท่านมาที่นี่เพื่อตามหาอะไรบางอย่าง”
“นี่ก็ผ่านไปเกือบ 1 ชั่วยามแล้ว ท่านหาของพบหรือยัง?”
“ใกล้ถึงเวลาที่องค์หญิงหกของเราต้องเข้านอน ข้าคงไม่สามารถปล่อยให้คนนอกรั้งอยู่ที่เรือนหลังนี้ได้”
“เมื่อถึงเวลานั้น คุณชายเซียวก็อย่าได้ตำหนิข้าที่ไร้ความปรานี”
“...” คราวนี้เป็นเซียวถังอี้ที่พูดไม่ออก
ไม่นานชาย 2 คนที่ผู้คนต่างหวาดกลัวก็เริ่มโต้เถียงกันอยู่บนหลังคาโดยที่ไม่มีใครรู้
ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่มู่ไป๋ไป่ซึ่งอยู่ในลานบ้านจะไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน ยามนี้เธอกับหลัวเซียวเซียวกำลังพูดคุยเกี่ยวกับแผนการช่วยเหลือเสิ่นจวินเฉา
“องค์หญิงหก ฝ่าบาทได้ส่งคนออกไปสืบสวนเรื่องนี้แล้ว ทำไมเราไม่ทนรออีกสักหน่อยล่ะเพคะ?” หลัวเซียวเซียวมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ตอนนี้มีพี่อวี้เซิ่งเฝ้าอยู่ เราคงไม่สามารถขยับตัวทำอะไรได้สะดวก”
“พะ...พี่? นี่เจ้าเรียกอวี้เซิ่งว่าพี่เช่นนั้นหรือ?” มู่ไป๋ไป่รู้สึกขบขันกับการเรียกของอีกฝ่าย “อวี้เซิ่งรู้หรือไม่ว่าเจ้าเรียกเขาเช่นนี้?”
ใบหน้าของหลัวเซียวเซียวเปลี่ยนเป็นสีแดง ขณะที่นางยกมือขึ้นเกาหัวเบา ๆ “พี่อวี้เซิ่งไม่ยอมให้หม่อมฉันเรียกเขาว่าใต้เท้า ดังนั้นหม่อมฉันจึงทำได้เพียงเรียกขานเขาเช่นนี้เท่านั้น…”
“ฮ่าๆๆ ไม่เป็นไร เจ้าเรียกเขาว่าท่านพี่ก็ได้” คนตัวเล็กปิดปากหัวเราะ “ข้าแค่รู้สึกสงสัยว่าถ้าเขาได้ยินเจ้าเรียกเช่นนี้เขาจะมีสีหน้าอย่างไร”
“เอาล่ะ ๆ เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า”
“เทพเจ้าแห่งโชคลาภของเรายังคงหายตัวไป เราต้องรีบลงมือกันหน่อยแล้ว”
“แม้ว่าท่านพ่อจะสั่งให้คนของศาลต้าหลี่ไปสืบสวนแล้ว แต่เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นมานานหลายปี หากผู้บัญชาการศาลต้าหลี่สามารถหาเบาะแสได้ในเวลาอันสั้น เขาคงไม่ปิดบังเรื่องนี้จากท่านพ่อตลอดเวลาเช่นนี้”
“ดังนั้นเราไม่สามารถนั่งรออยู่เฉย ๆ ได้”
“สำหรับอวี้เซิ่ง ใครบอกว่าข้าจะลงมือคนเดียวโดยไม่บอกเขา ในเมื่อท่านพ่อส่งเขามาปกป้องข้า ข้าก็จะไม่ขัดพระประสงค์ของท่านพ่ออยู่แล้ว”
“เพียงแต่ว่าวิธีการจะใช้เขาอย่างไรนั้นต้องหารือกันอีกสักหน่อย”
ก่อนหน้านี้เธอรู้สึกไม่สบายใจในตอนที่เธอลงจากเขาเพราะว่าเธอ หลัวเซียวเซียว และจื่อเฟิงเป็นเพียงเด็ก 3 คนเท่านั้น
หากมีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ พวกเธอทั้ง 3 คงไม่สามารถรับมือไหว
แต่ตอนนี้พวกเธอมีอวี้เซิ่งเพิ่มมาอีกคนหนึ่งแล้ว สถานการณ์จึงย่อมแตกต่างไปจากเดิม
ขณะเดียวกันที่บนหลังคา สีหน้าของเซียวถังอี้และอวี้เซิ่งค่อย ๆ เปลี่ยนไป
“ดูเหมือนว่านางจะต้องการสืบสวนคดีเด็กหายในเมืองหลวง” เด็กหนุ่มมองดูท่าทางเด็ดเดี่ยวแต่ก็อ่อนโยนของมู่ไป๋ไป่ที่สะท้อนท่ามกลางแสงจันทร์
เจ้าเด็กนี่รนหาที่จริง ๆ
“ข้าได้ยินแล้ว” นักฆ่าหนุ่มที่เคยเอนตัวนอนเอกเขนกอยู่บนหลังคาก็ลุกขึ้นนั่ง
“ตอนอยู่ในวังหลวงนางเป็นเช่นนี้หรือไม่?” เซียวถังอี้ถามขึ้นมาด้วยความสนใจ “นางชอบไปจุ้นจ้านเรื่องของคนอื่นเช่นนี้ตลอดเลยหรือ?”
ทันใดนั้นอวี้เซิ่งก็นึกขึ้นได้ว่ามู่ไป๋ไป่เคยเรียกเขาให้ไปดูความสัมพันธ์ลับของลี่เฟยด้วยกัน ทำให้เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามอีกฝ่ายอย่างไรดี
“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น” เซียวถังอี้ได้รับคำตอบจากสีหน้าของอวี้เซิ่ง ก่อนที่เขาจะยิ้มมุมปาก “น่าสนใจจริง ๆ คนที่มีนิสัยเย็นชาอย่างมู่เทียนฉงสามารถให้กำเนิดบุตรีจอมป่วนเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“น่าสนใจ...”
“ท่านคิดจะทำอะไร?” ชายหนุ่มรู้สึกคล้ายกับว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม ทุกคนบนโลกนี้รู้ดีว่าเมื่อใดก็ตามที่คุณชายเซียวเอ่ยปากว่า ‘น่าสนใจ’ ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่
“ท่านจะกังวลไปทำไม” เซียวถังอี้กล่าวพลางลุกขึ้นยืน “ข้าแค่คิดว่าหลานสาวของข้าค่อนข้างน่าสนใจเลยอยากจะช่วยนางสักหน่อย”
อวี้เซิ่งอยากจะถามอีกฝ่ายมากว่าเขาใจดีขนาดนั้นเลยหรือ?
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร เซียวถังอี้ก็กระดกสุราจอกสุดท้ายและหายตัวไปเสียก่อน
ในลานบ้าน มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นมองเพราะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่าง แต่ภายใต้แสงจันทร์นั้นกลับไม่มีอะไรเลยนอกจากปุยเมฆบาง ๆ
“องค์หญิงหก มีอะไรหรือเพคะ?” หลัวเซียวเซียวสังเกตเห็นท่าทางแปลก ๆ ของอีกคนจึงเงยหน้าขึ้นมองตาม แต่ก็ไม่เห็นอะไรเช่นกัน
“แปลก...” คนตัวเล็กย่นปลายจมูก “ทำไมข้ารู้สึกแปลก ๆ เหมือนตอนที่เรากลับมาจากในเมืองเลยล่ะ?”
“หา?” จู่ ๆ หลัวเซียวเซียวก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา “พระองค์ยังรู้สึกว่ามีคนกำลังจับตาดูเราอยู่ใช่หรือไม่เพคะ? หรือว่าจะมีคนติดตามเรามาจนถึงวัดฮู่กั๋วตั้งแต่ช่วงบ่ายวันนี้?”