บทที่ 105: การมาถึงของอวี้เซิ่ง
“อะไรนะ?!” มู่ไป๋ไป่กับหลัวเซียวเซียวต่างก็ตกใจ “เด็กพวกนั้นไปที่วัดฮู่กั๋วเช่นนั้นหรือ?”
หลังจากวกไปเวียนมาอยู่ทั้งวัน พวกเธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าท้ายที่สุดแล้วเบาะแสทุกอย่างจะมุ่งเป้ากลับไปที่วัดฮู่กั๋ว
“ข้าเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน เพราะข้าก็ฟังเรื่องพวกนี้มาจากปากของคนอื่น” หญิงสาวยิ้มอย่างประหม่า “อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าควรรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุดและอย่าได้ออกไปเดินเตร่อยู่ข้างนอกอีกล่ะ”
หลังจากสตรีคนนั้นกล่าวจบแล้วนางก็เดินจากไป โดยปล่อยให้มู่ไป๋ไป่กับหลัวเซียวเซียวมองหน้ากันไปมา
“องค์หญิงหก… เรื่องนี้มีจุดที่น่าสงสัยเพคะ” หลัวเซียวเซียวเม้มปากแน่น จู่ ๆ นางก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา “เหตุใดจึงมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้”
“นั่นสิ มันค่อนข้างผิดปกติทีเดียว” คนตัวเล็กพยักหน้าเห็นด้วย “แต่นี่ก็พิสูจน์ได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มนุษย์ก่อขึ้น”
“เรารีบกลับไปที่วัดฮู่กั๋วแล้วค่อยวางแผนกันเถอะ”
มู่ไป๋ไป่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอคิดมากเกี่ยวกับคำพูดของผู้หญิงคนนั้นหรือไม่ แต่เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างคอยติดตามพวกเธอมาตลอดทาง เธอหันกลับไปมองหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่พบใครเลย
จากนั้นเด็กหญิงก็หันไปถามหลัวเซียวเซียวกับจื่อเฟิง ทั้งคู่บอกว่าพวกเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ดังนั้นเธอจึงคิดว่าตัวเองคิดมากเกินไป
แล้วการเดินทางกลับไปยังวัดฮู่กั๋วก็เป็นไปอย่างราบรื่นโดยไม่มีเรื่องเกิดขึ้น
ทันทีที่ทั้ง 3 คนก้าวเข้าไปในประตูวัดฮู่กั๋ว พวกเธอก็ถูกใครบางคนขวางทางเอาไว้
แล้วจู่ ๆ คอเสื้อของมู่ไป๋ไป่ก็รัดแน่นขึ้น เธอถูกยกตัวขึ้นก่อนที่เธอจะทันได้เห็นชัดเจนว่าใครเป็นคนลงมือ ทางด้านจื่อเฟิงที่อยู่ข้างหลังเธอก็ได้ยินเสียงร้องจึงรีบพุ่งเข้าใส่คนที่คว้าตัวเด็กหญิงเอาไว้
เด็กหนุ่มเป็นคนที่แข็งแกร่งและรวดเร็ว มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของเขาได้
อย่างไรก็ตาม คนที่อุ้มมู่ไป๋ไป่กลับไม่สนใจเลย เขาก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็สามารถหลีกเลี่ยงจื่อเฟิงได้อย่างง่ายดาย
เด็กหนุ่มที่พลาดเป้าหมายไปก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็กัดฟันส่งเสียงอีกครั้งและวิ่งเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามต่อไป
“ฮ่า ๆๆ เจ้าเด็กคนนี้มาจากที่ไหนกัน พื้นฐานร่างกายของเขาไม่เลวเลย แต่น่าเสียดายที่เขาโง่เขลาไปเสียหน่อย ถึงรู้จักแค่วิธีการทุ่มแรงของตัวเองเท่านั้น”
เมื่อมู่ไป๋ไป่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากเหนือศีรษะของตนเอง ดวงตากลมโตก็สว่างขึ้น และเธอก็เงยหน้าขึ้นมองเขา “อวี้เซิ่ง เป็นท่านนี่เอง!”
หลัวเซียวเซียวที่รู้สึกตัวทีหลังก็เห็นอวี้เซิ่งเช่นกัน นางจึงรีบบอกให้จื่อเฟิงหยุดโจมตีเขา
“จื่อเฟิง อย่าลงมือกับใต้เท่าอวี้” นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหญิงได้เห็นอวี้เซิ่งในระยะใกล้เช่นนี้ นางมองชายตรงหน้าซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็นนักฆ่าที่ทรงพลังมากที่สุดอย่างสงสัย
“ข้าไม่ได้มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการในราชสำนัก ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าใต้เท้า” ชายหนุ่มวางมู่ไป๋ไป่ลงบนพื้นแล้วกล่าวทักทาย “คารวะองค์หญิงหก”
“หา? อวี้เซิ่ง นี่เกิดอาเพศอะไรขึ้น ท่านกำลังทำความเคารพข้าอยู่อย่างนั้นหรือ?” เด็กน้อยจงใจทำท่าทางประหลาดใจ “หรือว่าวันนี้พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว?”
นักฆ่าหนุ่มมุมปากกระตุก ก่อนที่เขาจะยิ้มจาง ๆ “คราวนี้ข้าสามารถออกจากวังหลวงได้ นั่นถือว่าเป็นความดีความชอบขององค์หญิง ดังนั้นทำเช่นนี้ก็สมควรแล้ว”
มู่ไป๋ไป่เข้าใจความหมายในคำพูดของอีกฝ่ายทันที และดวงตาของเธอก็สว่างขึ้น “ท่านพ่อสั่งให้ท่านมาหาข้าหรือ?”
“ใช่” อวี้เซิ่งพยักหน้าตอบ “ฝ่าบาทได้รับจดหมายจากองค์หญิงหกแล้ว และสั่งให้ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่สืบสวนคดีนี้ให้ได้ภายใน 7 วัน”
“อย่างไรก็ตาม ฝ่าบาททรงเป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยขององค์หญิงหกที่ประทับอยู่นอกวังหลวง ดังนั้นพระองค์จึงสั่งให้ข้ามาคอยปกป้ององค์หญิงหก”
“ฮิฮิ ท่านพ่อยังรักข้าอยู่” มู่ไป๋ไป่หัวเราะเบา ๆ แล้วรีบดึงอีกฝ่ายไปที่เรือนพักของตัวเอง “ในเมื่อท่านมาที่นี่เพื่อปกป้องข้า เช่นนั้นท่านก็ต้องอาศัยอยู่ที่เรือนของข้า”
“เอ่อ... นอกจากท่านพ่อให้ท่านมาที่นี่แล้ว ท่านพ่อยังฝากอะไรมาด้วยหรือไม่?”
เธอไม่ได้กินของว่างจากในวังหลวงระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้เธอรู้สึกเปรี้ยวปากอยากจะกินพวกมันอยู่บ้าง
อวี้เซิ่งลดสายตาลงมองไปที่ดวงตากลมโตของมู่ไป๋ไป่ ก่อนจะส่ายหัวตอบว่า “ไม่มี”
รอยยิ้มบนใบหน้าของคนตัวเล็กหุบลงทันที แต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้ “จริงหรือ?”
“ไม่มีจริง ๆ” ชายหนุ่มยังคงส่ายหน้า
“...” มู่ไป๋ไป่ที่ได้รับคำยืนยันถึงกับพูดไม่ออก
มู่เทียนฉงทำหน้าที่พ่อได้บกพร่องมาก! เขารู้จักแต่จะส่งคนมาปกป้องเธอ แต่ไม่เอาอะไรติดไม้ติดมือมาบ้างเลย!
เด็กน้อยห่อเหี่ยวลงทันที ในขณะเดียวกัน หางตาของอวี้เซิ่งกลับเห็นเซียวถังอี้ที่ยกยิ้มมุมปากอยู่บนหลังคา
“อย่างไรก็เถอะ” นักฆ่าหนุ่มเหลือบมองคนที่กำลังดูการแสดงอยู่บนหลังคาด้วยสายตาที่มืดมิดแทบจะมองไม่เห็นความรู้สึกอะไร และถามว่า “เมื่อสักครู่องค์หญิงหกไปที่ใดมา?”
“ดูเหมือนว่าองค์หญิงจะเพิ่งกลับขึ้นมาบนภูเขา”
ก่อนหน้านี้มู่ไป๋ไป่ตื่นเต้นที่ได้พบอวี้เซิ่งจนลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิท
ขณะนี้เธอกลอกตามองไปรอบ ๆ พลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เอ่อ ทำไมข้าถึงเดินไปที่เชิงเขาน่ะหรือ? ข้าแค่เบื่อก็เลยไปเดินเล่นที่ด้านหลังภูเขา ใช่หรือไม่เซียวเซียว จื่อเฟิง?”
หลัวเซียวเซียวพยักหน้าสำทับทันที
ส่วนจื่อเฟิงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเข้าใจคำถามที่ได้รับ แต่พอเขาเห็นว่าเด็กหญิงพยักหน้า เขาจึงพยักหน้าตาม
“ด้านหลังภูเขาอย่างนั้นหรือ?” อวี้เซิ่งหรี่ตาลง “ดูเหมือนว่าบริเวณนั้นจะไม่ใช่ทางกลับจากด้านหลังภูเขา”
มู่ไป๋ไป่รีบพูดออกไปว่า “ท่านเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกจะไปรู้อะไร”
จากนั้นเธอก็ทำเพียงแค่ยิ้มและบอกว่าเธอใช้เส้นทางนั้นประจำ ก่อนที่นักฆ่าหนุ่มจะทันได้ถามคำถามอื่น เธอก็เดินมุ่งหน้ากลับไปที่ห้องตัวเองแล้วบอกเขาว่าตนหิวมาก
อวี้เซิ่งมองดูเจ้าตัวเล็กเดินหนีไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่อยู่บนหลังคาแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณท่านอ๋องที่ช่วยคุ้มกันองค์หญิงหกมาตลอดทาง”
เมื่อสักครู่มู่ไป๋ไป่ไม่ได้คิดไปเองคนเดียว เพราะคนที่คอยติดตามเธอมาก็คือเซียวถังอี้นั่นเอง
“คุ้มกัน?” เด็กหนุ่มเอนตัวนอนลงบนหลังคาพลางมองภาพพระอาทิตย์กำลังตกดิน “เห็นข้ามีเวลาว่างมากขนาดนั้นเลยหรือ?”
“แล้วเหตุใดท่านอ๋องจึงมาอยู่ที่นี่?” อวี้เซิ่งที่กำลังอารมณ์ดีได้ออกจากวังหลวงจึงกอดอกซักไซ้เขา “หรือท่านได้ยินว่าอาหารมังสวิรัติที่วัดฮู่กั๋วนั้นอร่อยมาก จึงได้มาที่นี่เพื่อลิ้มลอง”
“ชิ” เซียวถังอี้เหลือบมองคนถาม “ข้าแค่ลืมอะไรบางอย่างไว้ที่นี่ เลยรีบกลับมาเอา”
ครั้งสุดท้ายตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บ ในตอนที่มู่ไป๋ไป่พันผ้าพันแผลให้กับตน เขาบังเอิญทำจี้หยกอันหนึ่งตกอยู่ที่นี่
ความเป็นจริงวันนี้เขาตามหามันอยู่ทั้งวันก็หาไม่เจอ แต่ทันทีที่เขาได้ยินมู่เทียนฉงพูดถึงลูกสาว เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเขาอาจจะทำมันหล่นหายที่วัดฮู่กั๋ว
แล้วเขาก็ไล่ตามอวี้เซิ่งมาตลอดทาง แต่ฝีเท้าของชายคนนี้เร็วเกินไป เขาจึงตามอีกฝ่ายไม่ทัน แต่กลับได้พบกับเจ้าตัวเล็กที่แอบย่องลงจากภูเขาพอดิบพอดี
“จริงหรือ?” อวี้เซิ่งทำเพียงแค่ยิ้ม แต่ท่าทีของเขาบ่งบอกชัดเจนว่าเขาไม่เชื่อ “เช่นนั้นก็เชิญท่านอ๋องเข้าไปค้นหาได้ตามสบาย ส่วนข้ามีธุระต้องไปทำ ต้องขอตัวลาก่อน”
“ช้าก่อน” เซียวถังอี้ลุกขึ้นนั่งและเลิกคิ้วถาม “ท่านเกลียดเด็กไม่ใช่หรือ?”
ทั้งที่เป็นเช่นนั้น แต่เมื่อครู่นี้เขาเห็นว่าอวี้เซิ่งดูเหมือนจะสนิทสนมกับเจ้าตัวเล็กนั่นมาก
“อืม…” ชายหนุ่มแตะคางตัวเองเบา ๆ ก่อนจะตอบว่า “ผู้คนย่อมเปลี่ยนแปลงได้กันตลอดเวลา”
“...”
อวี้เซิ่งเป็นคนข้างกายมู่เทียนฉง เขาจึงไม่จำเป็นต้องรายงานตัวกับใครนอกจากฝ่าบาท ดังนั้นเมื่อเขามาที่วัดฮู่กั๋วเพื่อคอยปกป้ององค์หญิงหก เขาจึงไม่จำเป็นต้องไปทำความเคารพไทเฮาหรือคนอื่น ๆ
ทางด้านมู่ไป๋ไป่ก็รู้สึกสบายใจมากขึ้นที่ตอนนี้มีคนที่มีฝีมือระดับปรมาจารย์อยู่เคียงข้าง แต่เธอก็ทำอะไรลำบากมากขึ้นเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น เธอไม่สามารถพูดคุยเรื่องการค้าที่เธอทำกับเสิ่นจวินเฉาได้อย่างเปิดเผย
อีกตัวอย่างหนึ่ง เธอต้องคอยมาห้ามจื่อเฟิงไม่ให้มีเรื่องกับอวี้เซิ่งตลอดเวลา
เธอไม่รู้ว่าทำไม 2 คนนั้นถึงได้เข้าขากันดีขนาดนี้ พวกเขาเป็นเหมือนสุนัขที่พยายามแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานจากเจ้าของ ทันทีที่จื่อเฟิงเห็นอวี้เซิ่งปรากฏตัวต่อหน้ามู่ไป๋ไป่ เขาก็จะทำหน้าบูดบึ้งถึงขั้นไม่ยอมกินอะไรเลยถ้าอีกฝ่ายอยู่ด้วย
มันทำให้เด็กหญิงรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
“จื่อเฟิง ท่านจะทำแบบนี้ตลอดไม่ได้” สุดท้ายมู่ไป๋ไป่ก็ตัดสินใจที่จะพูดคุยเรื่องนี้กับเด็กหนุ่มอย่างจริงจัง
หลังจากที่จบมื้อเย็นของวัน เธอได้เรียกจื่อเฟิงมาที่เรือนพักและพูดสั่งสอนเขาเสียงเบา “ท่านกับอวี้เซิ่งต่างก็เป็นองครักษ์ที่คอยปกป้องข้า ท่านเข้าใจหรือไม่ว่าท่านจะต้องให้ความร่วมมือกัน? ไม่ใช่มาตั้งตัวเป็นศัตรูกันเช่นนี้”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: มีคนเพิ่มมาแบบนี้ก็ยิ่งบันเทิงเลยสิ ปล.พบคนซึนหนึ่งอัตราค่ะ!