บทที่ 104: มีอีกเรื่องหนึ่ง
“เสด็จพี่มีอะไรจะคุยกับข้าอีกหรือ?” เซียวถังอี้ตั้งคำถามกลับโดยที่ไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย
มู่เทียนฉงที่เห็นท่าทางดื้อดึงของน้องชายนอกไส้ก็อยากจะถอนหายใจออกมาเสียงดัง อดีตฮ่องเต้เคยตรัสเอาไว้ว่าเซียวถังอี้เป็นคนแปลกหน้าที่สวรรค์ส่งมาช่วยแคว้นเป่ยหลง
อย่างไรก็ตาม เจ้าเด็กแปลกหน้าคนนี้กลับชอบออกไปท่องอยู่ด้านนอกมากกว่าช่วยฟื้นฟูแคว้นเป่ยหลง
“มีอีกเรื่องหนึ่ง” มู่เทียนฉงเอ่ยขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้ายังจำแคว้นหนานซวนได้หรือไม่?”
“แคว้นหนานซวนที่พ่ายแพ้ให้กับแคว้นเป่ยหลงเมื่อปีที่แล้วหรือ?” เซียวถังอี้เลิกคิ้ว “ทำไม พวกเขามีใจทะเยอทะยานอีกแล้วหรือ?”
แคว้นหนานซวนเป็นแคว้นเล็ก ๆ ที่มีความทะเยอทะยานสูง พวกเขามักจะสร้างปัญหาก่อกวนบริเวณชายแดนระหว่างทั้ง 2 แคว้น ทำให้ประชาชนของแคว้นเป่ยหลงที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมาน
ดังนั้นเมื่อปีที่แล้ว มู่เทียนฉงจึงมีราชโองการให้ส่งกองกำลังไปโจมตีแคว้นหนานซวน
แล้วก็เป็นธรรมชาติที่แคว้นหนานซวนจะพ่ายแพ้ให้กับแคว้นเป่ยหลง หลังจากได้รับความพ่ายแพ้ไปถึง 2 ครั้ง พวกเขาก็ได้ยื่นหนังสือเจรจาสงบศึกและยอมจำนนต่อแคว้นเป่ยหลง
ในเวลานั้นเซียวถังอี้บอกกับมู่เทียนฉงแล้วว่าแคว้นหนานซวนเป็นเหมือนหมาป่าที่หลบไปเลียแผลเพื่อฟื้นคืนความแข็งแกร่ง หนังสือเจรจาสงบศึกนั้นเป็นเพียงภาพลวงตาที่ช่วยปกปิดความทะเยอทะยานของพวกเขาเอาไว้เท่านั้น
รอจนถึงวันที่ตนเองแข็งแกร่งมากพอ พวกเขาจะตระบัดสัตย์ของตัวเอง และโจมตีแคว้นเป่ยหลงอย่างไร้ยางอายแน่นอน
ฮ่องเต้หนุ่มเองก็ใส่ใจคำพูดของน้องชายและสั่งให้คนคอยตรวจสอบการเคลื่อนไหวภายในแคว้นหนานซวนตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“ไม่ใช่” มู่เทียนฉงเลิกคิ้วขึ้น “จนกระทั่งตอนนี้แคว้นหนานซวนยังคงทำตามสัญญา และปีนี้พวกเขาก็ได้ส่งเครื่องบรรณาการมาเต็มจำนวนแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจู่ ๆ พระองค์จึงกล่าวถึงแคว้นหนานซวน?” เซียวถังอี้ไม่เข้าใจเหตุผลที่อีกฝ่ายหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
ชายหนุ่มรู้สึกกระดากปากเล็กน้อย เขากระแอมในลำคอเบา ๆ แล้วตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก เมื่อไม่กี่วันก่อน แคว้นหนานซวนได้เสนอแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่าง 2 แคว้นขึ้นมา”
“...”
“เจ้าเองก็รู้ว่าองค์ชายหลาย ๆ คนของเรายังเด็กอยู่” มู่เทียนฉงเหลือบมองน้องชายของตน “พอเรามาคิดดูดี ๆ แล้ว เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่อายุใกล้เคียงกับองค์หญิงแห่งหนานซวน”
“และเจ้าก็ออกไปทัศนาจรอยู่ด้านนอกมาหลายปีแล้ว ดังนั้นถึงเวลาที่เจ้าควรจะมีคนอยู่ข้างกายเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับเจ้า”
“เสด็จพี่ พระองค์จำผิดแล้ว” เซียวถังอี้พูดขัดจังหวะพี่ชาย “ข้ายังเด็กและยังไม่ถึงวัยสวมกวานเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงยังไม่ถึงเวลาเหมาะสมที่จะแต่งงาน”
“พอพูดถึงเรื่องนี้ แคว้นหนานซวนเสนอการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ หรือว่าพวกเขากำลังมุ่งเป้ามาที่ข้า ท่านอ๋องผู้ไม่ได้ความ?”
“เสด็จพี่ ข้าคงไม่อาจทำตามที่แคว้นหนานซวนเสนอได้”
“อย่างไรก็ตาม พระองค์ก็มีพระสนมอยู่ตั้งมากมาย มีเพิ่มอีกสักคนคงจะไม่ลำบากอะไร”
สิ้นคำพูดเซียวถังอี้ก็รีบจ้ำอ้าวเผ่นไปอย่างรวดเร็ว
“เซียวถังอี้ กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!” มู่เทียนฉงโกรธมาก แต่อีกฝ่ายก็วิ่งหนีหายไปจนไม่เห็นเงาแล้ว
“คนพวกนี้… แต่ละคนยั่วโมโหเราเก่งยิ่งนัก” ฮ่องเต้หนุ่มขมวดคิ้วมุ่นในขณะที่คิดถึงมู่ไป๋ไป่ ก่อนที่สีหน้าของเขาจะอ่อนลง หากเขารู้ว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เขาคงไม่ยอมให้ไทเฮาพาตัวลูกสาวไปที่วัดฮู่กั๋วแน่
ไม่อย่างนั้น เขาก็จะมีเจ้าก้อนแป้งตัวน้อย ๆ มาคอยออดอ้อนอยู่ข้างกาย
สำหรับมู่ไป๋ไป่ที่ผู้เป็นพ่อกำลังคิดถึง หลังจากที่เธอส่งคนให้ไปส่งจดหมายถึงมู่เทียนฉงแล้ว เธอก็แอบย่องลงจากภูเขาพร้อมกับหลัวเซียวเซียวและจื่อเฟิง
แรกสุดเธอได้มุ่งหน้าไปที่หอไป่เฉ่าและร้านอาหารของเสิ่นจวินเฉา ก่อนจะพบว่ากิจการทั้ง 2 แห่งถูกปิดตามที่จื่อเฟิงกล่าวเอาไว้ จากนั้นเธอก็ได้ถามทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลเสิ่น
ที่ตั้งของจวนตระกูลเสิ่นนั้นหาง่ายมาก มันเป็นจวนหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่บนถนนที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวง
เธอเคาะประตูและนำป้ายไม้ที่เสิ่นจวินเฉามอบให้กับเธอก่อนหน้านี้มาแสดงให้กับคนรับใช้ โดยแจ้งว่าเธอมาที่นี่เพื่อขอพบเด็กชาย
พอคนรับใช้เห็นเช่นนั้นก็รีบมาต้อนรับเธออย่างสุภาพ
“เชิญคุณหนูเข้ามาได้เลยขอรับ ข้าน้อยขอถามว่าท่านต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมอีกหรือไม่?”
มู่ไป๋ไป่มองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบว่าแม้จวนตระกูลเสิ่นจะไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่การตกแต่งภายในได้รับการใส่ใจเป็นอย่างดี ดูเหมือนว่าเจ้าของจวนจะรู้วิธีการเพลิดเพลินในชีวิต
จากนั้นเด็กหญิงก็นึกขึ้นได้ว่าเธอไม่เห็นพ่อแม่ของเสิ่นจวินเฉาเลยตั้งแต่เธอเดินเข้ามาด้านใน
หลังจากสอบถามคนรับใช้แล้ว พวกเธอก็ได้รู้ว่าพ่อแม่ของเด็กชายนั้นไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองหลวง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือจวนหลังนี้มีเขาอาศัยอยู่เพียงลำพัง
เมื่อมู่ไป๋ไป่ได้ยินเรื่องนี้ เธอก็รู้สึกชื่นชมเสิ่นจวินเฉามากยิ่งขึ้น
“องค์— คุณหนู ทำไมเราไม่บอกว่าเรามาที่นี่เพื่อช่วยตามหาคุณชายเสิ่นล่ะเจ้าคะ?” หลัวเซียวเซียวที่เดินตามองค์หญิงหกเข้ามาที่ห้องรับรองแขกถามขึ้นมาหลังจากที่คนรับใช้เดินออกไปแล้ว
“อีกอย่าง คนรับใช้ของตระกูลเสิ่นก็แปลกประหลาดมากเช่นกัน แม้ว่าทุกคนในเมืองหลวงจะรู้ว่าคุณชายของพวกเขาหายตัวไป แต่พวกเขาทำเพียงแค่บอกว่าคุณชายของพวกเขาไม่อยู่บ้าน”
“ถ้าเราไม่รู้เรื่องนี้ เราอาจจะเผลอคิดไปได้ว่าคุณชายกำลังไปทำธุระด้านนอก”
“เจ้าไม่เข้าใจ” มู่ไป๋ไป่เดินดูรอบ ๆ ห้องโถง แล้วคอยเอามือแตะนั่นแตะนี่ “จู่ ๆ ก็มีคนเคาะประตูบ้านแล้วมาเสนอความช่วยเหลือเจ้า เจ้าจะเชื่อหรือไม่? ยิ่งไปกว่านั้น คนที่มาเสนอความช่วยเหลือดันเป็นเด็ก 2 คนที่อายุไม่ถึง 5 ขวบด้วยซ้ำ ในสายตาของคนอื่น พวกเราเป็นเพียงเด็กที่รู้จักแต่กินนอนเท่านั้น แล้วเราจะไปช่วยอะไรพวกเขาได้”
“...” หลัวเซียวเซียวได้ยินดังนี้ก็ถึงกับพูดไม่ออก
“...” ส่วนจื่อเฟิงที่เฝ้าอยู่ที่ประตูก็ยืนนิ่งเงียบตามปกติ
“ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากตอนนี้ ถึงแม้ว่าเราจะพูดออกไปหรือไม่มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการตามหาคนที่เราอยากจะตามหา” จู่ ๆ มู่ไป๋ไป่ก็ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยปากว่า “สำหรับสิ่งที่คนรับใช้คนนั้นพูด มันก็แปลกเล็กน้อย…”
แม้ว่าเสิ่นจวินเฉาจะไม่อยู่ที่จวน แต่จวนตระกูลเสิ่นกลับไม่ตื่นตระหนกเลย
นอกจากนี้พวกเขายังมีน้ำใจต้อนรับแขกเป็นอย่างดี และยังได้เตรียมของดีและอร่อยมาให้พวกเธอกินดื่มอีกด้วย
มู่ไป๋ไป่เองก็ไม่ได้เกรงใจ เธอได้พาหลัวเซียวเซียวกับจื่อเฟิงกินข้าวจนอิ่มก่อนจะพากันเดินออกจากห้องโถงไปโดยอ้างว่าพวกตนอยากจะออกไปเดินเล่น
เนื่องจากทั้ง 3 คนหนีลงจากภูเขามาโดยไม่บอกใคร จึงทำให้พวกเธอไม่สามารถอยู่ข้างนอกได้นาน ดังนั้นเธอเลยจำเป็นต้องลงมือให้เร็วที่สุด
ก่อนอื่นเธอจะต้องตามหาเจ้าเหลือง โดยขอให้มันช่วยเธอดูว่าจะสามารถตามหาเสิ่นจวินเฉาได้อยู่หรือไม่
จากนั้นเจ้าเหลืองก็ได้พาพวกเธอเดินไปรอบ ๆ เมืองหลวงอยู่หลายรอบ แต่ก็ไม่สามารถหาเบาะแสใด ๆ พบ เธอจึงจำใจต้องยอมแพ้ไป
อาจเป็นเพราะในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาในเมืองหลวงมีเด็กหายตัวไปทีละคน ดังนั้นบนท้องถนนจึงทั้งมืดและไร้ผู้คน
ในเวลาเดียวกัน มีผู้หญิงคนหนึ่งเฝ้าดูเด็ก 3 คนที่เดินเตร่อยู่บนถนน ด้วยความเป็นห่วง นางก็ได้บอกให้เด็ก ๆ รีบกลับบ้านกันเร็ว ๆ
“ท่านน้า ท่านรู้หรือไม่ว่าเด็ก ๆ ที่หายตัวไปก่อนหน้านี้ถูกพบเห็นครั้งสุดท้ายที่ใด?” มู่ไป๋ไป่ถือโอกาสสอบถามหาเบาะแสกับหลาย ๆ คน แต่ก็ไม่ค่อยมีใครทราบเลย
“ทำไมเจ้าถึงถามเรื่องนี้ล่ะ?” สตรีคนนั้นเอ่ยถามด้วยท่าทีสงบนิ่ง “พวกเจ้าเองก็รีบกลับบ้านเร็ว ๆ เถอะ ถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับเด็กน่ารักอย่างพวกเจ้า พ่อแม่ของพวกเจ้าคงจะเป็นห่วงไม่น้อย”
“เจ้าค่ะ ข้าจะรีบกลับบ้านแล้ว” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าอย่างเชื่อฟังพร้อมกับยิ้มหวาน “ที่ข้าถามเรื่องนี้ก็เพราะข้าอยากออกไปเดินเล่นข้างนอก และเพลิดเพลินไปกับความงดงามของเมืองหลวงในยามค่ำคืนบ้าง”
เมื่อผู้หญิงคนนั้นได้ยินสิ่งที่เด็กน้อยพูด นางก็เอ่ยอย่างลังเลว่า “ข้าเองก็ได้ฟังเรื่องพวกนี้จากคนอื่นมาอีกที พวกเขาบอกว่าเด็กพวกนั้นดูเหมือนจะออกจากเมืองไปก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ”
“หากสังเกตทิศทางที่พวกเขาเดินทาง ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะมุ่งหน้าไปยังวัดฮู่กั๋วที่อยู่บนภูเขา”
“อย่างไรก็ตาม ข่าวลือพวกนี้ก็ไม่สามารถเชื่อถือได้ทั้งหมดอยู่ดี ตอนนี้ใคร ๆ ก็รู้ดีว่าไทเฮากำลังสวดมนต์ขอพรอยู่ที่วัดฮู่กั๋ว ถึงแม้ว่าเด็กพวกนั้นจะเดินทางไปที่วัดฮู่กั๋วก็คงไม่สามารถก่อเรื่องใหญ่โตขึ้นได้หรอก”