บทที่ 10 ฝึกฝนโลกภายนอก
ทันใดนั้น เสียงหนักแน่นดังขึ้นในหอวินัย ทุกคนหันมองและรีบหลีกทางให้กับบุคคลที่กำลังเดินเข้ามา
ผู้ที่มาไม่ใช่ใครอื่น โหลวหยุนเซียนจุนนั่นเอง! ซูเซียนจือมองเขาด้วยแววตาเคลิบเคลิ้มราวกับได้พบเทพเจ้า นางรีบถอยห่างจากเซียวสือและจับจ้องเซียนจุนด้วยสายตาเต็มไปด้วยความลุ่มหลง
จินเป่าเอ๋อนิ่งเงียบ นางรู้ดีว่าโหลวหยุนเซียนจุนมักปกป้องศิษย์ที่ตนเองรับไว้ ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะไม่โต้เถียง
นางก้มหน้าลงราวกับยอมรับชะตากรรม ท่ามกลางความเงียบงัน สายตาแน่วแน่และทรงพลังของนางพลันจ้องตรงไปยังโหลวหยุนเซียนจุน ราวกับกำลังท้าทาย! เสียงสดใสของนางดังสะท้อนทั่วบริเวณ “แต่ข้าไม่ยอมรับ!”
แววตาของนางทำให้โหลวหยุนเซียนจุนถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง จินเป่าเอ๋อมองเห็นสีหน้าซีดขาวของซูเซียนจือ แล้วหันไปมองเซียวสือที่กำลังจะพูดโต้เถียงด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ถ้าแน่จริงก็เอาชนะข้าต่อหน้าให้ได้ ไม่ใช่ทำตัวขี้ขลาดลอบกัดลับหลัง เช่นนี้ช่างน่ารังเกียจนัก! วันนี้ ใครจะมาขอความเมตตาก็ไร้ผล ร้อยแส้นี้ยังไงก็ต้องรับ!”
กล่าวจบ นางก็หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา ศิษย์พี่ทั้งเจ็ดตามนางไปทันที
เหล่าศิษย์ที่มุงดูพากันอุทาน “ศิษย์น้องจินช่างมีอำนาจและความกล้าหาญยิ่งนัก!”
จินเป่าเอ๋อเดินออกไปอย่างรวดเร็ว คำพูดเมื่อครู่ไม่เพียงพูดเพื่อซูเซียนจือ แต่ยังพูดเพื่อเตือนตัวนางเองด้วย ชาติที่แล้ว นางมีพรสวรรค์แต่กลับโง่เขลา ถูกใช้ประโยชน์จนถูกใส่ร้ายและถูกขับไล่ออกจากนิกาย นางต้องฝึกฝนในขณะที่หนีตาย จนเมื่อถึงระดับจินตันตอนอายุใกล้สามสิบ ก็ถูกบีบจนต้องทำลายตัวเองในที่สุด…
ความกลัวและความเกลียดชังที่มีต่อซูเซียนจือเหมือนกับรอยแผลลึกในจิตใจ แต่ครั้งนี้ นางเลือกที่จะเผชิญหน้ากับฝันร้ายของตนเอง ทำให้นางรู้สึกถึงความก้าวหน้าของพลัง ราวกับว่ากำลังจะเข้าสู่ขั้นฝึกพลังห้าชั้น!
หลังจากกลับสู่สำนัก จินเป่าเอ๋อรีบปิดด่านเพื่อเสริมสร้างพลัง และการปิดด่านนี้กินเวลายาวนานถึงห้าปี!
เมื่อห้าปีผ่านไป ซูเซียนจือมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งขึ้น เมื่ออายุเพียงสิบสามปี นางก็เข้าสู่ระดับสร้างฐาน เป็นที่เลื่องลือว่าเป็นอัจฉริยะหายากแห่งโลกบำเพ็ญ ในช่วงปีเหล่านั้น โหลวหยุนเซียนจุนก็เอาใจใส่และปกป้องซูเซียนจือเป็นอย่างดี ทำให้ผู้คนมากมายต่างอิจฉา
ในขณะเดียวกัน ณ ภูเขาฮวาหมิง ภายในห้องฝึกฝนแห่งหนึ่ง จู่ๆ ก็เกิดกระแสพลังวิญญาณพลุ่งพล่านจนกระทบทั้งภูเขา พลังวิญญาณรอบๆ ต่างพุ่งเข้าไปในห้องนั้นอย่างบ้าคลั่ง…
ชายชราตัวเล็กเจ้าของภูเขาฮวาหมิงรีบวิ่งไปดูอย่างตกใจ ศิษย์พี่คนอื่นๆ ก็รีบตามมาเช่นกัน
ในขณะที่หอเซี่ยวหยุน ชายผู้เยือกเย็นและสง่างามพลันลืมตาขึ้นและจ้องมองไปยังภูเขาฮวาหมิงอย่างแน่วแน่
ไม่นานนัก ท้องฟ้ารอบๆ ภูเขาหลายแห่งพลันเกิดปรากฏการณ์ประหลาด เหล่าอสูรทั้งหลายต่างวิ่งหนีไปทุกทิศทางราวกับมีสิ่งน่าสะพรึงกลัวกำลังจะเกิดขึ้น!
เหล่าผู้อาวุโสในสำนักเพียวเมี่ยวต่างสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้า แต่ยังไม่ทันได้ตรวจสอบ ปรากฏการณ์ประหลาดก็หายไป ราวกับไม่เคยเกิดขึ้น!
ในห้องฝึกฝน จินเป่าเอ๋อรู้สึกเหมือนกระดูกทุกชิ้นในร่างบิดเบี้ยว นางเจ็บปวดจนอยากจะกรีดร้อง พลังวิญญาณภายในตัวนางหมุนวนเป็นเกลียวเหมือนจะฉีกทึ้งร่างของนาง ในขณะที่พลังบางส่วนเริ่มรักษาร่างกายและหล่อเลี้ยงพลังในตันเถียน
เพียงห้านาทีที่ผ่านไป แต่นางรู้สึกเหมือนชั่วชีวิต แรงหมุนของพลังวิญญาณหายไป ทว่าพลังวิญญาณกลับแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ทำให้บาดแผลทั้งหมดฟื้นฟูกลับมาในทันที
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง พลังในระดับสร้างฐานก็ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน!
นางทำสำเร็จแล้ว!
หลังจากอดทนเสริมสร้างพลังและความสามารถของตนเองอย่างละเอียดถี่ถ้วน ในที่สุด วันนี้ นางก็เข้าสู่ขั้นสร้างฐานได้สำเร็จ!
ชุดของนางถูกพลังวิญญาณฉีกขาดไปแล้ว นางหยิบยันต์ทำความสะอาดและเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป
ห้าปีแล้วที่ไม่ได้พบหน้า ทุกคนที่นางพบหน้าหลังเปิดประตูออกมาล้วนเป็นใบหน้าคุ้นเคย จินเป่าเอ๋อยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจบนใบหน้าที่งดงามประณีตอย่างยิ่ง
“ศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่สี่ ศิษย์พี่ห้า ศิษย์พี่หก ท่านอาจารย์ ข้ากลับมาแล้ว!”
ชุดผ้าสีเขียวสดใสทำให้นางดูโดดเด่นราวกับนางฟ้า ใบหน้าไร้เครื่องสำอางขับให้ผิวขาวใสดูงดงามอย่างน่าทึ่ง เส้นผมดำขลับถูกมัดรวบไว้ด้านหลังด้วยปิ่นไม้ เพิ่มความงดงามอย่างเป็นธรรมชาติราวกับนางอัปสรา
เมื่อเทียบกับความไร้เดียงสาของนางเมื่อห้าปีก่อน จินเป่าเอ๋อในวันนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก!
“นี่…นี่…เจ้าเป็นศิษย์น้องหญิงจริงๆ หรือ?”
ศิษย์พี่ห้าผู้ขี้อาย เฉินซวนหยวน เอ่ยด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงจัดหลังจากพูดจบ พลางเบือนสายตาหลบเลี่ยงอย่างเก้อเขิน
แม้ศิษย์พี่คนอื่นจะไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาที่มองมาก็สื่อความหมายเดียวกัน จินเป่าเอ๋อจึงยกมือขึ้นลูบหน้าของตนเองเบาๆ นางรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเองในห้าปีที่ผ่านมา มันย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขายังไม่คุ้นเคย!
นางรู้ดีว่าใบหน้าของตนเองงดงามเพียงใด ไม่เช่นนั้นในชาติก่อน ซูเซียนจือก็คงไม่อิจฉาจนต้องหาทางทำลายความงามของนางด้วยการกรีดใบหน้าด้วยมีดจนเป็นรอยแผลจากหน้าผากถึงคาง นางยังจดจำความเจ็บปวดนั้นได้ไม่ลืมเลือน
หลังจากสะบัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป นางมองไปที่ศิษย์พี่สาม หลัวหนานซาน ซึ่งถือหม้อเซรามิกใบคุ้นเคยอยู่ในมือ แล้วเดินเข้าไปหา
“นี่คืออาหารที่ศิษย์พี่เตรียมไว้ให้ข้าใช่ไหม? เป็นหมูตุ๋นใช่ไหม? หอมจัง! ข้าไม่ได้กินมาห้าปีแล้วเจ้าค่ะ!”
หลัวหนานซานชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะส่งหม้อให้ด้วยใบหน้ายิ้มกว้าง “เฮ้! เจ้าชอบก็ดีแล้ว!”
ชายชราหัวเราะด้วยความชื่นใจ เมื่อมองเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวจินเป่าเอ๋อ ปิดด่านฝึกฝนห้าปีจนตอนนี้จิตใจนางเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด หากศิษย์พี่ใหญ่ได้เห็นคงต้องตกตะลึงแน่!
“ศิษย์น้องหญิงเข้าสู่ขั้นสร้างฐานแล้วหรือ? ข้ารู้แล้วว่าเจ้าย่อมเก่งกว่าซูเซียนจือแน่นอน รากวิญญาณธรรมดาเช่นนางยังสามารถเข้าสู่ขั้นสร้างฐานได้ คงต้องใช้วิธีการพิเศษเป็นแน่ ไม่เหมือนเจ้าที่ก้าวไปอย่างมั่นคงในทุกขั้นตอน!”
ขณะที่จินเป่าเอ๋อกำลังเคี้ยวหมูตุ๋นคำโต พลันได้ยินชื่อของซูเซียนจือ นางถึงกับหยุดชะงัก และเมื่อทราบว่านางได้เลื่อนขั้นเป็นขั้นสร้างฐานแล้ว ความคิดแรกของจินเป่าเอ๋อคือนี่เป็นไปไม่ได้!
ในชาติก่อน ซูเซียนจือเลื่อนขั้นสร้างฐานหลังจากที่นางถูกขับไล่ออกจากนิกาย ตอนนี้เพียงห้าปีนางกลับเข้าสู่ขั้นสร้างฐานแล้ว?
ความแตกต่างนี้ทำให้จินเป่าเอ๋อรู้สึกไม่สบายใจ ด้วยความเร็วเช่นนี้ ซูเซียนจืออาจเข้าสู่ขั้นจินตันในเร็ววัน และเมื่อถึงตอนนั้น โหลวหยุนเซียนจุนอาจต้องการสังหารนางเพื่อใช้พลังจินตันเหมือนที่เกิดขึ้นในชาติก่อน!
นางเผลอกำมือแน่น ความคิดนั้นทำให้จิตใจของนางหวั่นไหว
“ไม่! จะให้เกิดขึ้นอีกครั้งไม่ได้! ข้ายังมีเวลาอยู่ หากการฝึกในนิกายไม่เร็วพอ ข้าจะหาทางอื่น!”
“อาจารย์…ข้าอยากออกไปฝึกฝนโลกภายนอกเจ้าค่ะ”
ชายชราที่เพิ่งได้เจอหน้าศิษย์ได้เพียงสิบนาทีก็ต้องนิ่งอึ้งไปกับคำขอนั้น สีหน้าที่เคยยิ้มแย้มกลับเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยทันที
“ก็ได้ๆ เจ้าจะไปก็ไปเถิด ปล่อยข้าคนแก่ให้โดดเดี่ยวบนภูเขานี้ไปจนตายก็แล้วกัน เฮ้อ…”
กวนจื่อหยุน ศิษย์พี่สี่ ผู้มีนิสัยช่างแซวและขี้เล่น เอ่ยขัดทันที “ท่านอาจารย์คงลืมไปแล้วกระมัง ว่ายังมีพวกเราศิษย์อีกหลายคนอยู่ อย่างน้อยข้าก็เข้าสู่ขั้นครึ่งทางจินตันแล้วละ ท่านจะอยู่ถึงข้าตายเลยก็ว่าได้!”