ยอดกายากำราบยุค ตอนที่ 20 ไร้ค่า
ยอดกายากำราบยุค ตอนที่ 20 ไร้ค่า
ในขณะที่เหล่าสมาชิกตระกูลกู้กำลังแสดงความยินดีกับการทะลวงระดับตบะของกู้ฉางเซิง ทันใดนั้น บนท้องฟ้าไม่ไกลก็ปรากฏเสียงแหวกอากาศขึ้น
ต่อมา แสงสว่างก็ตกลงมายังพื้นพิภพ เผยให้เห็นเงาร่างของบุคคลผู้นั้น
ชายผู้นี้มีรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดเกราะสีทองอร่าม สง่างามยิ่งนัก บนหน้าอกปรากฏลวดลายดาบและกระบี่ที่ดูแปลกตา
เขาคือศิษย์หน่วยลาดตระเวนของตระกูลกู้
มีหน้าที่ลาดตระเวนรอบ ๆ ตระกูลกู้ทุกวัน สังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่กล้าเข้าใกล้!
“คารวะบุตรเทพ”
ชายผู้นั้นโค้งคำนับกู้ฉางเซิงอย่างนอบน้อม จากนั้นจึงกล่าวว่า “สตรีนางหนึ่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูเข้านานสามวันสามคืนแล้ว ข้าน้อยเห็นว่านางคงจะทนไม่ไหว คาดว่าจะหมดสติ จึงรีบมารายงานบุตรเทพ”
สตรีนางหนึ่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูเข้านานสามวันสามคืนแล้ว?
เหตุใดเขาจึงไม่รู้เรื่องนี้?
กู้ฉางเซิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสตรีผู้นั้นคือผู้ใด?”
ทันใดนั้น เขาก็นึกอะไรบางอย่างออก เงาร่างของสตรีนางหนึ่งปรากฏขึ้นในใจ ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลงเล็กน้อย
เป็นไปได้อย่างยิ่งว่านางคือองค์หญิงเก้าแห่งราชวงศ์ราชาจิ่งหยาง
หลังจากที่ฉู่เหยาเยวี่ยถูกปฏิเสธ นางมิได้จากไป กลับคุกเข่าอยู่หน้าประตูเขา
แต่นางคิดอันใดอยู่? กำลังวิงวอนเขาอยู่หรือ?
กู้ฉางเซิงไม่เข้าใจความคิดของสตรีนางนั้น
“เช่นนั้นหรือ ข้ารู้แล้ว”
จากนั้น กู้ฉางเซิงก็โบกมือ
เหล่าสมาชิกตระกูลกู้เห็นเช่นนั้น ต่างก็แยกย้ายกันไป
เรื่องราวของบุตรเทพ มิใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถถามไถ่ หรือยุ่งเกี่ยวได้
หน้าประตูภูเขาเขาตระกูลกู้
ฉู่เหยาเยวี่ยสวมชุดยาวสีม่วง บนใบหน้าที่งดงามปรากฏท่าทางสงบนิ่ง คุกเข่าอยู่ตรงนั้น เพียงแต่ใบหน้าที่ซีดเผือดของนางแสดงให้เห็นว่านางอยู่ในสภาพที่ไม่ดีนัก
โดยรอบมีแสงสว่างมากมายบินผ่านไปมา เหล่าผู้บำเพ็ญที่เดินผ่านไปมาต่างก็ชี้ไปที่นาง มองดูด้วยความตกใจ ความสงสัย และความเยาะเย้ย
เหล่าสมาชิกตระกูลกู้ก็สังเกตเห็นนางเช่นกัน แต่เมื่อได้ยินคนเฝ้าประตูกล่าวว่านางเกี่ยวข้องกับบุตรเทพ ใบหน้าของพวกเขาก็พลันเปลี่ยนสี รีบเดินหนีไป
“องค์หญิง ท่านคุกเข่าอยู่ที่นี่นานสามวันสามคืนแล้ว เขายังไม่ปรากฏตัว พวกเรากลับกันเถิด”
เหล่าองครักษ์ที่ติดตามฉู่เหยาเยวี่ยมากล่าวด้วยความเศร้าโศก บนใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความโกรธแค้น
แต่มิกล้าแสดงความเกลียดชังออกมา
องค์หญิงเก้าของพวกเขา เป็นถึงอัจฉริยะฟ้าประทานแห่งราชวงศ์ราชาจิ่งหยาง เป็นที่หมายปองของบุรุษมากมาย
บัดนี้ได้คุกเข่าอยู่หน้าประตูเขานานสามวันสามคืน แต่กลับไม่พบเจอแม้แต่เงาของบุตรเทพผู้นั้น
นี่คือโลกที่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะอยู่รอด เบื้องหน้าผู้ที่มีพลังอำนาจแข็งแกร่งกว่าพวกเขานับไม่ถ้วน ตนก็ไม่ต่างจากมดปลวก
ฉู่เหยาเยวี่ยมีสีหน้าซีดเผือด ภายในใจเริ่มสั่นคลอน
การกระทำของนางเป็นสิ่งที่ผิดหรือ?
แต่นางไม่มีทางเลือกอื่น... หากไม่ทำเช่นนี้ ราชวงศ์ราชาจิ่งหยางคงต้องล่มสลายอย่างแน่นอน
ตอนนี้นางยังคงมีความหวัง
ด้วยความคิดเช่นนี้ ฉู่เหยาเยวี่ยจึงส่ายหน้า ไม่สนใจคำพูดของเหล่าองครักษ์ ยังคงคุกเข่าอยู่ตรงนั้น
เพียงแต่ร่างกายที่สั่นเทา และขาที่ชาจนไร้ความรู้สึก แสดงให้เห็นว่านางกำลังอดทน
“ได้ยินมาว่าเจ้าต้องการพบข้า? ตอนนี้ข้ามาแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าต้องการกล่าวอันใด?”
ทันใดนั้น เสียงอันแผ่วเบาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
ฉู่เหยาเยวี่ยเงยหน้าขึ้น มองดูด้วยความตกใจ
บุรุษชุดขาวยืนอยู่เบื้องหน้าตั้งแต่เมื่อใด นางกลับไม่รู้สึกตัว
เมื่อเทียบกับครั้งแรกที่พบเจอ กลิ่นอายของเขายิ่งลึกลับยากหยั่งถึง
“คารวะบุตรเทพ” ฉู่เหยาเยวี่ยรู้สึกดีใจ พยายามลุกขึ้นยืน แต่ขาของนางชาจนไร้ความรู้สึก ลุกขึ้นไม่ได้
กู้ฉางเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้ว่าเป็นเพราะฉู่เหยาเยวี่ยคุกเข่านานเกินไป
ตลอดสามวันสามคืน นางไม่ได้ใช้พลังเวทใด ๆ
ท่าทางของนางดูจริงใจ
แต่เขามิได้กล่าวสิ่งใด มิใช่เขาที่สั่งให้นางคุกเข่า
“กล่าวมาเถิด มีเรื่องอันใด ข้าให้เวลาเจ้าสามลมหายใจ” กู้ฉางเซิงกล่าวอย่างสบาย ๆ ภายในดวงตาไม่ปรากฏความสงสาร
การที่กู้ฉางเซิงปรากฏตัว ก็ทำให้ฉู่เหยาเยวี่ยรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง นางไม่กล้าคาดหวังสิ่งใด เมื่อได้ยินเช่นนั้น จึงรีบกล่าวว่า “เหยาเยวี่ยต้องการกล่าวขอโทษบุตรเทพ สำหรับการกระทำที่ไม่เหมาะสมเมื่อสามวันก่อน”
กู้ฉางเซิงไม่แสดงสีหน้าใด ๆ กล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องขอโทษ เจ้ามิได้ทำสิ่งใดผิด”
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการกระทำที่ไม่เหมาะสมที่ฉู่เหยาเยวี่ยกล่าวถึงคืออันใด
แต่มิใช่เรื่องสำคัญ
ฉู่เหยาเยวี่ยเห็นกู้ฉางเซิงไม่สนใจเรื่องนี้ จึงรู้สึกโล่งใจ กล่าวต่อว่า “เหยาเยวี่ยรู้ว่าการกระทำในวันนั้นทำให้บุตรเทพไม่พอใจ เมื่อคิดทบทวนแล้วก็รู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง จึงอยากใช้โอกาสนี้กล่าวขอโทษ และขอร้องให้บุตรเทพมอบโอกาสให้ข้าอีกครั้ง”
กู้ฉางเซิงจึงเข้าใจ กล่าวว่า “เช่นนั้นหรือ เพียงแต่ข้าเคยกล่าวอย่างชัดเจนแล้วว่าเจ้ามิสู้พวกเขา”
ฉู่เหยาเยวี่ยมีสีหน้าซีดเผือด กล่าวด้วยความไม่ยินยอมว่า “บุตรเทพสามารถบอกเล่าเหตุผลให้ข้าทราบได้หรือไม่?”
จนถึงตอนนี้ นางก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงมิสู้ซูเสี่ยวเซวียนและทั่วป๋าซืออวี่
กู้ฉางเซิงมองดูนางแวบหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “แม้ว่าเจ้าจะเป็นกายาราชาจักรพรรดิแต่กำเนิด ปรากฏนิมิตเก้าห้าสูงสุด บำเพ็ญพระสูตรมังกรวิถีราชาสูงสุด อายุยังน้อยแต่กลับมีตบะระดับแยกปฐพีเก้าวัฏ แต่ปราณเส้นชีพจรมังกรของราชวงศ์กำลังจะเหือดแห้ง เส้นทางข้างหน้าถูกทำลาย”
“เช่นนี้แล้ว เจ้าจะเทียบเคียงกับผู้อื่นได้อย่างไร?”
เพียงไม่กี่คำพูดก็สามารถมองเห็นความจริงทั้งหมดของฉู่เหยาเยวี่ย ใบหน้าของนางซีดเผือด ไร้ซึ่งสีเลือด
ต้องรู้ว่าพระสูตรมังกรวิถีราชาสูงสุด ถูกสร้างขึ้นจากปราณของเส้นชีพจรราชวงศ์ ทั้งสองเกี่ยวข้องกันโดยแยกไม่ออก
หากเส้นชีพจรมังกรถูกทำลาย การบำเพ็ญที่ผ่านมาของนางก็จะสูญเปล่า กลายเป็นเพียงผู้อ่อนแอ
ดังนั้น ฉู่เหยาเยวี่ยจึงยอมทิ้งศักดิ์ศรีทุกอย่าง เพื่อที่จะรักษาราชวงศ์ราชาจิ่งหยางเอาไว้
น่าเสียดาย กู้ฉางเซิงมองเห็นความจริงทั้งหมด
“บุตรเทพ หากท่านช่วยเหลือราชวงศ์ราชาจิ่งหยางให้ผ่านพ้นภัยพิบัติครั้งนี้ ไม่ว่าท่านต้องการสิ่งใด พวกเราจะยอมมอบให้ ท่านจะเป็นผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ของประชากรนับล้านคนในราชวงศ์ราชาจิ่งหยาง”
ฉู่เหยาเยวี่ยรู้สึกสิ้นหวัง นางไม่มีทางเลือกอื่นจึงกล่าวเช่นนั้น
นางรู้ดีว่าราชวงศ์ราชาจิ่งหยางเป็นเพียงขุมอำนาจเล็ก ๆ ในสายตาของตระกูลอมตะ
กู้ฉางเซิงคงไม่สนใจ