ยอดกายากำราบยุค ตอนที่ 18 คุกเข่าเบื้องหน้าประตู
ยอดกายากำราบยุค ตอนที่ 18 คุกเข่าเบื้องหน้าประตู
ล่มสลาย?
สองคำนี้ไม่เพียงแต่ทำให้สีหน้าของฉู่เหยาเยวี่ยซีดเผือดลงเท่านั้น แม้แต่สาวใช้ตัวน้อยที่อยู่ข้างกายนาง ผู้ซึ่งพูดไม่หยุด ก็ดูเหมือนจะตกใจเช่นกัน
สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ราวกับไม่กล้าเชื่อ
ครั้งหนึ่ง สองคำนี้ช่างห่างไกลจากพวกนางยิ่งนัก
แต่ตอนนี้กลับปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เป็นความจริงที่โหดร้าย
ราชวงศ์ราชาจิ่งหยางก่อตั้งขึ้นเมื่อสองแสนกว่าปีก่อน จักรพรรดิราชาจิ่งหยางพระองค์แรกก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ภายใต้ท้องฟ้า เคยทิ้งตำนานเอาไว้มากมาย
หนึ่งในตำนานที่โด่งดังที่สุดก็คือการที่เขาควบคุมเส้นชีพจรมังกรขนด ดึงดูดดวงดาวจากสี่สมุทร ใช้ปราณมังกรจิ่งหยางหลอมรวมบัลลังก์ราชาจักรพรรดิ สร้างวิชาเวทระดับกึ่งจอมสรรพสิ่ง
พระสูตรมังกรวิถีราชาสูงสุด
แต่ในฐานะที่เป็นทายาทรุ่นหลัง พวกเขากลับไม่สามารถทำให้ราชวงศ์ราชาจิ่งหยางรุ่งเรืองได้
ตรงกันข้าม กลับทำให้ราชวงศ์ตกต่ำลง จากความรุ่งโรจน์สู่ความเสื่อมโทรม และตอนนี้ถูกแคว้นฉือหลีโบราณที่ก่อตั้งขึ้นไม่ถึงห้าหมื่นปี บีบบังคับจนถึงขั้นนี้
น่าสังเวชยิ่งนัก
“ยังมีหนทางอื่นอีกหรือไม่? เสร็จพ่อมอบความหวังสุดท้ายไว้กับข้า แต่ข้ากลับทำลายความหวังนั้นด้วยความหุนหันพลันแล่น” ฉู่เหยาเยวี่ยมีสีหน้าที่ขมขื่น
ภายในใจรู้สึกเสียใจ
“องค์หญิง พวกเรายังมีหนทางอื่น เพียงแค่สามารถได้รับการสนับสนุนจากตระกูลอมตะ อย่าว่าแต่แคว้นฉือหลีโบราณ แม้จะมีอีกหลายแคว้น พวกเราก็ไม่ต้องกลัว”
ได้ยินคำพูดพึมพำของฉู่เหยาเยวี่ย สาวใช้ข้างกายก็ราวกับมองเห็นความหวัง รีบกล่าวขึ้น
ถูกต้อง ตระกูลอมตะ!
ในเวลานี้ มีเพียงตระกูลอมตะเท่านั้น ที่สามารถช่วยราชวงศ์ราชาจิ่งหยางให้พ้นจากวิกฤตได้
ในแดนมรรคาหนานเซิ่ง ไม่มีขุมอำนาจใดกล้าต่อต้านตระกูลอมตะ
เพราะนั่นคือการรนหาที่ตาย
“แต่…………”
ฉู่เหยาเยวี่ยกัดฟัน ภายในใจเริ่มสับสน
นางยังคงไม่สามารถละทิ้งความภาคภูมิใจของตนเองได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพิ่งถูกกู้ฉางเซิงปฏิเสธ และกล่าวตรง ๆ ว่านางด้อยกว่าคนอื่น
นางยังคงโกรธเคือง
“บางที นี่อาจจะเป็นบททดสอบที่บุตรเทพมอบให้องค์หญิงก็เป็นได้กระมัง?” สาวใช้ตัวน้อยเปลี่ยนท่าที คาดเดาและปลอบโยน
นางไม่ต้องการให้ราชวงศ์ราชาจิ่งหยางล่มสลาย เพราะนั่นจะทำให้นางต้องพบเจอกับจุดจบที่เลวร้าย และตอนนี้ ความหวังเดียวอยู่ที่ฉู่เหยาเยวี่ย
ได้ยินเช่นนั้น ฉู่เหยาเยวี่ยก็รู้สึกว่ามีเหตุผล
บางทีบุตรเทพอาจจะต้องการขัดเกลาความโอหังของนาง และนี่คือบททดสอบ
นางเข้าใจดีว่าท่าทีของนางในตอนนั้น แย่กว่าคนอื่น ๆ
ในที่สุดฉู่เหยาเยวี่ยก็รู้สึกตัว สีหน้าของนางกลับมาเป็นปกติ สั่งการว่า “เตรียมราชรถเทพให้ข้า ข้าจะไปพบกับบุตรเทพอีกครั้ง”
“เจ้าค่ะองค์หญิง” สาวใช้ตัวน้อยมีสีหน้ายินดี องค์หญิงคิดได้เช่นนี้ก็ดี นางกลัวว่าองค์หญิงจะไม่ยอมลดตัวลงมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อราชรถเทพเดินทางมาถึงเชิงเขาตระกูลกู้ ก็ถูกพลังอำนาจอันน่ากลัวราวกับสายฟ้าเคราะห์ปกคลุม ไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อไปได้
ฉู่เหยาเยวี่ยเข้าใจ นี่คือเขตแดนของมหาค่ายกลพิทักษ์บรรพตตระกูลกู้
นางสามารถเดินทางมาถึงที่นี่ได้เท่านั้น หากก้าวไปข้างหน้าอีกกึ่งก้าว สายฟ้าอันน่ากลัวก็จะตกลงมาจากท้องฟ้า
แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับหวนเอกาก็ต้องพินาศในชั่วพริบตา
“ผู้ใดมาเยือน?”
คนเฝ้าประตูที่ยืนอยู่หน้าประตูเอ่ยถาม
“ฉู่เหยาเยวี่ย องค์หญิงเก้าแห่งราชวงศ์ราชาจิ่งหยาง ขอเข้าพบกับบุตรเทพตระกูลกู้” ฉู่เหยาเยวี่ยสูดลมหายใจลึก กล่าวขึ้น
ขอเข้าพบบุตรเทพ?
คนเฝ้าประตูมองหญิงสาวผู้มีรูปโฉมงดงามเลิศเลอ แต่กลับไม่เคลื่อนไหว กล่าวอย่างเย็นชาว่า “บุตรเทพตระกูลกู้ มิใช่ผู้ใดก็สามารถพบเจอได้ เจ้ามีเหรียญตราของบุตรเทพหรือไม่?”
เหรียญตรา?
ฉู่เหยาเยวี่ยส่ายหน้า นางไม่มีสิ่งของเช่นนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น การมาที่นี่ในครั้งนี้ เป็นการมาขอความช่วยเหลือ
“ไม่มีเหรียญตรา แล้วเจ้ายังคิดจะพบเจอบุตรเทพหรือ ฝันไปเถิด!” สีหน้าของคนเฝ้าประตูเย็นชาลง
ทุก ๆ สามถึงห้าวันก็มีคนมาขอเข้าพบบุตรเทพ ทำให้เขารู้สึกรำคาญ
เพราะผู้บำเพ็ญมากมายพลาดโอกาสที่ป่าไผ่ม่วง แต่ก็ไม่ยอมแพ้ พวกเขามักจะวนเวียนอยู่หน้าประตู
เขาคิดว่าฉู่เหยาเยวี่ยก็คงเป็นเช่นนั้น
“ข้ามีเรื่องเร่งด่วน ต้องการพบเจอบุตรเทพ…………” ฉู่เหยาเยวี่ยกล่าวอย่างร้อนรน
“แม้จะมีเรื่องเร่งด่วนเพียงใดก็มิอาจทำลายกฎได้” คนเฝ้าประตูกล่าวอย่างเย็นชา
ฉู่เหยาเยวี่ยรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย เหตุใดการเข้าพบจึงยากลำบากถึงเพียงนี้ อย่างน้อยนางก็เป็นถึงองค์หญิงแห่งราชวงศ์
“รบกวนเจ้าไปรายงาน บุตรเทพเขาต้องพบเจอข้าอย่างแน่นอน ได้โปรด” ฉู่เหยาเยวี่ยไม่เคยอ้อนวอนผู้ใดเช่นนี้ หากเป็นในอดีต นางคงไม่เชื่อว่าตนเองจะทำเช่นนี้
เห็นสีหน้าของนางเช่นนี้ คนเฝ้าประตูก็ลังเลเล็กน้อย
บางทีบุตรเทพอาจจะมีความสัมพันธ์กับนางก็เป็นได้ หญิงสาวผู้นี้มีรูปโฉมงดงามล้ำเลิศ งดงามราวกับเทพธิดา
“เช่นนั้นข้าจะไปรายงานให้”
“ขอบคุณ” ฉู่เหยาเยวี่ยกล่าวด้วยความรู้สึกขอบคุณ
ไม่นานนัก คนเฝ้าประตูก็กลับมา สีหน้าของเขาดูไม่ดีนัก แม้แต่สายตาที่มองฉู่เหยาเยวี่ยก็ยังคงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“เป็นเช่นไร? บุตรเทพเขากล่าวอันใด?” ฉู่เหยาเยวี่ยไม่ทันสังเกตเห็นสายตาของเด็กรับใช้ รีบเอ่ยถาม
“บุตรเทพกล่าวว่าไม่พบ” เด็กรับใช้กล่าวอย่างเกลียดชัง ยิ่งไปกว่านั้น เขายังถูกผู้อาวุโสตำหนิ ไม่ให้รบกวนบุตรเทพโดยไม่จำเป็น เพราะเวลาของบุตรเทพนั้นมีค่า
ฉู่เหยาเยวี่ยตกตะลึง จากนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนจากความอ้างว้าง ความสับสน เป็นความสิ้นหวัง และในที่สุดก็สงบนิ่ง
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?
หรือว่านางคิดมากเกินไป?
ในความคิดของนาง นี่เป็นเพราะการกระทำที่ไม่เคารพในวันนั้น ทำให้บุตรเทพไม่พอใจ
“หากบุตรเทพไม่พบเจอ ข้าจะคุกเข่าอยู่ที่นี่จนกว่าเขาจะมา”
แต่ฉู่เหยาเยวี่ยก็ใจเด็ด เมื่อกล่าวจบ ก็คุกเข่าลง สีหน้าสงบนิ่ง
คิดได้แล้ว อย่างไรเสีย นางก็เสียหน้าไปแล้ว ยังต้องสนใจอันใดอีก