ยอดกายากำราบยุค ตอนที่ 17 ยอดฝีมือมรรคกระบี่กลับชาติมาเกิด
ยอดกายากำราบยุค ตอนที่ 17 ยอดฝีมือมรรคกระบี่กลับชาติมาเกิด
“แม่เจ้า ที่นี่คือตระกูลอมตะอย่างนั้นหรือ? ยิ่งใหญ่จริง ๆ!”
ซูเสี่ยวเซวียนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
ภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าช่างมากมายนับไม่ถ้วน จนทำให้นางมองแทบไม่ทัน
น่าตกตะลึงยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ นางไม่เคยเห็นมาก่อน
มองไปทางใด ก็เห็นเพียงเกาะเทพและโถงตำหนักที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ปกคลุมด้วยเมฆาและหมอกควัน ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม
สายหมอกเซียนดุจดั่งเมฆา น้ำตกมากมายไหลรินลงมา ราวกับผ้าแพรสีขาว ภายในนั้นมีสัตว์โบราณขนาดใหญ่เทียบเท่าภูเขามากมายเดินทางผ่านไปมา ปราณโลหิตของพวกมันปกคลุมทั่วทั้งฟ้าดิน
ปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินหนาแน่นจนแทบจะกลายเป็นของเหลว
ทั่วป๋าซืออวี่ก็ตกตะลึงเช่นกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นรากฐานอันยิ่งใหญ่ของตระกูลอมตะ แม้จะเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ
ตระกูลและสำนักของพวกเขา เมื่อเทียบกับที่นี่แล้ว ก็ไม่ต่างจากคอกหมู
“ที่นี่เป็นเพียงเกาะด้านนอกเท่านั้น เมื่อเทียบกับเกาะด้านในแล้ว ก็ไม่นับว่าเป็นอันใด”
“ส่วนเกาะเทพที่คุณชายน้อยอาศัยอยู่ นั่นคือดินแดนเซียนที่แท้จริง”
คนรับใช้ที่นำทางพวกเขามายังที่แห่งนี้ กล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
กู้ฉางเซิงมอบหมายให้ทาสผู้นั้นดูแลพวกเขา ส่วนเขา เดินทางไปยังโถงบรรพชน เพื่อค้นหาพระสูตรโบราณที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับโชคชะตา
ไม่นานนัก คนรับใช้ผู้นั้นก็นำพวกเขาทั้งสองมาถึงดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล กล่าวว่าเป็นดินแดน
แท้จริงแล้ว ที่แห่งนี้เป็นเพียงเกาะขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเท่านั้น มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลถึงหนึ่งหมื่นลี้ จึงดูเหมือนกับดินแดน
สัตว์เทพ สัตว์ประหลาด สมุนไพรวิญญาณ ดอกกล้วยไม้เซียน พบเห็นได้ทั่วไป
กระทั่งปราณเส้นชีพจรปฐพียังพุ่งทะยานขึ้นมาจากพื้นดิน แปรเปลี่ยนเป็นมังกรขนาดใหญ่ บินวนอยู่บนท้องฟ้า
“ปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินที่นี่ หนาแน่นกว่าโลกภายนอกถึงหมื่นเท่า!”
ซูเสี่ยวเซวียนสูดลมหายใจลึก ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้าง
จากนั้นนางจึงกอดกระบี่โบราณไว้แน่น รู้สึกได้ถึงความหรูหราที่ไม่สามารถบรรยายได้
ไม่ต้องพูดถึงการเป็นผู้ติดตามของกู้ฉางเซิง แม้แต่ศิษย์ของตระกูลกู้ก็ยังคงต้องให้ความเคารพนาง
เพียงแค่ได้อาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรย่อมเหนือกว่าจินตนาการ
“ข้าจะต้องส่งข่าวสารเรื่องนี้กลับไปให้อาจารย์และเหล่าผู้อาวุโสรู้สึกตกตะลึง!”
นางกล่าวในใจ
ทั่วป๋าซืออวี่ปิดบังความตกใจ แต่ฝ่ามือของเขากลับเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น เพราะความตื่นเต้น
“การได้ติดตามคุณชายน้อย คงจะเป็นบุญวาสนาที่ข้าสั่งสมมาหลายภพหลายชาติกระมัง”
ไม่นานนัก กู้ฉางเซิงก็ปรากฏตัวขึ้น ณ ที่แห่งนั้น
“คารวะบุตรเทพ” พวกเขาทั้งสองรีบคารวะ
“เรียกข้าว่าคุณชายก็พอ ไม่ต้องเกร็ง” กู้ฉางเซิงกล่าวพร้อมกับโบกมือ
“ขอรับ เจ้าค่ะ คุณชาย” ทั้งสองกล่าวพร้อมกัน
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงเลือกเจ้า” ทันใดนั้น กู้ฉางเซิงมองไปยังซูเสี่ยวเซวียน เอ่ยถามขึ้น
“เอ่อ… เพราะข้า… เพราะข้าทำอาหารและซักผ้าได้หรือเจ้าคะ?” ซูเสี่ยวเซวียนตกตะลึงเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างมีแววตาสับสน จากนั้นก็ตอบอย่างลังเล
ตอนที่อยู่ป่าไผ่ม่วง กู้ฉางเซิงก็กล่าวเช่นนั้น
กู้ฉางเซิงส่ายหน้า
มีเพียงทั่วป๋าซืออวี่ที่ครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ ราวกับว่ากำลังคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง จากนั้นจึงกล่าวอย่างไม่มั่นใจว่า “หรือว่าเป็นเพราะกระดูกกระบี่ในร่างกายของนางหรือ?”
เขามองออก ซูเสี่ยวเซวียนมีพรสวรรค์ด้านมรรคกระบี่มาตั้งแต่กำเนิด
แต่…………คนที่มีพรสวรรค์ด้านมรรคกระบี่มีมากมาย เหตุใดซูเสี่ยวเซวียนถึง ‘พิเศษ’
กู้ฉางเซิงมองดูด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ มิได้อธิบายมากนัก
เมื่อครู่นี้ เขาเพียงแค่เอ่ยขึ้น ลองดูท่าทีของซูเสี่ยวเซวียน
เด็กสาวผู้นี้ดูเหมือนไม่รู้เรื่องใด ๆ
เขาเดินทางไปยังโถงบรรพชน ตรวจสอบพระสูตรโบราณ พบว่ากระดูกกระบี่นั้น มีปราณม่วงปกคลุม
ปกติมักจะมีสองสถานการณ์
หนึ่งก็คือพรสวรรค์แข็งแกร่งยิ่งนัก ได้รับพรจากโชคชะตา คนเหล่านี้มักจะเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่กำเนิด เฉลียวฉลาดดุจดั่งอสูรร้าย
เห็นได้ชัดว่าซูเสี่ยวเซวียนมิได้เป็นเช่นนั้น
สองก็คือ เป็นการกลับชาติมาเกิดของตัวตนโบราณ โชคชะตาจากชาติที่แล้ว ปรากฏขึ้นในชาตินี้
ดังนั้น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า ซูเสี่ยวเซวียน คือการกลับชาติมาเกิดของยอดฝีมือมรรคกระบี่
เพียงแต่ไม่รู้ว่าความทรงจำของนางจะตื่นขึ้นเมื่อใด
“พวกเจ้าจงหาที่พำนักบนเกาะแห่งนี้เถิด อีกไม่กี่วันก็ถึงงามชุมนุมล่าสัตว์ ข้าจะพาพวกเจ้าไปด้วย”
จากนั้น กู้ฉางเซิงมิได้สนใจเรื่องนี้มากนัก จึงบอกกล่าวกับพวกเขาทั้งสอง
ซูเสี่ยวเซวียนตกตะลึง จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างงุนงงว่า “คุณชาย เช่นนั้น ข้าไม่ต้องทำอาหารและซักผ้าให้ท่านหรือเจ้าคะ?”
กล่าวจบ นางก็รู้ว่าตนเองพลาดท่า แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขได้
กู้ฉางเซิงไม่สนใจ กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มว่า “เจ้าคิดว่าข้าต้องการหรือไม่?”
ซูเสี่ยวเซวียนรีบส่ายหน้า
“คุณชาย เช่นนั้น ท่านไม่คิดที่จะปลูกฝังอาคมต้องห้ามไว้ในร่างกายของพวกเราหรือเจ้าคะ? หากวันใด พวกเราทรยศท่าน ……………”
ทั่วป๋าซืออวี่คิดถึงเรื่องอื่น จึงเอ่ยถามขึ้น
ต้องรู้ว่าเมื่อขุมอำนาจอมตะอื่น ๆ รับผู้ติดตาม สิ่งแรกที่พวกเขาทำก็คือการปลูกฝังอาคมต้องห้ามไว้ในห้วงสมุทรแห่งปัญญาของอีกฝ่าย เพื่อไม่ให้ทรยศ
อย่างไรก็ตาม กู้ฉางเซิงไม่สนใจ กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มว่า “ข้าไม่คิดว่าพวกเจ้าจะกล้า นอกจากนี้ ข้ายังเชื่อว่าพวกเจ้าจะไม่ทำเช่นนั้น”
เรียบง่ายและตรงไปตรงมา
ทั่วป๋าซืออวี่ยิ้มอย่างขมขื่น
กู้ฉางเซิงกล่าวถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากู้ฉางเซิงจะไม่ปลูกฝังอาคมต้องห้าม เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลกู้ก็คงจะลงมือเองอยู่ดี
ดังนั้น พวกเขาทั้งสองจึงเปิดห้วงสมุทรแห่งปัญญาโดยไม่ลังเล
“ยุ่งยากจริง ๆ” กู้ฉางเซิงส่ายหน้าเบา ๆ จากนั้นก็ดีดนิ้ว ปล่อยอาคมต้องห้ามสองสายเข้าไป
……………
ในเวลาเดียวกัน ฉู่เหยาเยวี่ยที่เพิ่งจะออกจากป่าไผ่ม่วงรู้สึกราวกับว่าวิญญาณล่องลอย ความโกรธเคืองทั้งหมดในใจ มิรู้ว่าจะระบายออกมาอย่างไร
ทำอย่างไรดี?
ก่อนหน้านี้ นางมั่นใจอย่างยิ่ง คิดว่าการเป็นผู้ติดตามของกู้ฉางเซิงมิใช่เรื่องยาก และสามารถแก้ไขปัญหาของราชวงศ์ราชาจิ่งหยางได้อย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ ไม่เพียงแต่เสียหน้า แม้แต่โอกาสก็ยังคงสูญเสียไป
“บุตรเทพตระกูลกู้ผู้นี้ช่างโอหังเกินไป กล้ากล่าวว่าองค์หญิงเก้าไม่คู่ควร……………” สาวใช้ข้าง ๆ ยังคงโกรธเคือง นางเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยตาของตนเอง
ท่าทีที่กู้ฉางเซิงแสดงออกมา ทำให้ดูเหมือนว่าเขาไม่สนใจองค์หญิงเก้า แม้แต่นางที่เป็นเพียงสาวใช้ยังคงรู้สึกโกรธแค้น
องค์หญิงของนาง เป็นถึงอัจฉริยะฟ้าประทาน เป็นถึงหงส์เก้าสวรรค์ มีบุรุษมากมายต้องการติดตาม เหตุใดจึงต้องทนต่อเรื่องราวเช่นนี้
ในเวลานั้น องครักษ์คนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านว่า “องค์หญิงเก้า ไม่ดีแล้ว ข่าวสารจากราชวงศ์ราชาจิ่งหยาง แคว้นฉือหลีโบราณได้บุกโจมตีเมื่อคืน ดินแดนส่วนใหญ่ถูกยึดครอง ท่านแม่ทัพหวังพ่ายแพ้ ถูกจับเป็นเชลย ……………”
“หากไม่มีขุมอำนาจอื่นมาช่วยเหลือ ราชวงศ์ราชาจิ่งหยางคงต้องล่มสลายอย่างแน่นอน”
ฉู่เหยาเยวี่ยได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของนางก็พลันซีดเผือด