บทที่ 48 บ้านของเซี่ยซินหยู่ไฟดับ
บทที่ 48 บ้านของเซี่ยซินหยู่ไฟดับ
(ถึงจะเข้าใจนะ ว่ามือของเขาทั้งสองข้างถือของอยู่...)
(แต่ตอนป้อนนี่ เลือกที่หน่อยได้มั้ย!)
(วันนี้ฉันปกป้องรุ่นน้องหมีได้ก็จริง แต่ปกป้องหัวใจอันบอบบางของตัวเองไม่ได้ โฮๆๆ)
พนักงานสาวที่ดูแลการจับรางวัลรู้สึกว่า งานพาร์ทไทม์นี่มันไม่น่าทำขึ้นมาทันที
แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า ความเสียหายทั้งหมดที่ได้รับในช่วงนี้ เกิดจากคู่รักคู่นี้ทั้งนั้น
น่าโมโหจริง!
คุณหมีคะ กลางดึกช่วยไปจัดการสองคนนั่นทีสิ!
ชีสสติ๊กนี่มันหวานจัง
เหมือนใกล้หมดอายุแล้วเหมือนจะยิ่งหวานขึ้นนะ...
เฉินหยวนดูดชีสสติ๊กอย่างเอร็ดอร่อย
"ฉันช่วยถือกุ้งมั้ย?" เซี่ยซินหยู่อาสา
"ไม่เป็นไร" เซี่ยซินหยู่ตัวเล็กนิดเดียว เบากว่ากุ้งแช่แข็งอีก เฉินหยวนผู้ยึดมั่นในความเป็นสุภาพบุรุษ จึงไม่ยอมให้เธอถือของ
ที่ซานตง ผู้หญิงจะถูกผู้ชายอุ้มก็ไม่แปลก
ถึงเฉินหยวนจะไม่ใช่คนซานตง แต่ด้วยความสูง 183 เซนติเมตร สำหรับเซี่ยซินหยู่แล้ว เขาก็เหมือนยักษ์ใหญ่
ดังนั้น ตอนที่เธอยื่นชีสสติ๊กให้เขา ต้องเขย่งเท้า เฉินหยวนก็นึกถึงอนาคต ถ้าทั้งสองคน...
การได้อุ้มเธอขึ้นเล่น คงจะสะดวกน่าดู
เอามือสอดไปใต้รักแร้ของเซี่ยซินหยู่ ยกขึ้นได้อย่างง่ายดาย
จริงๆแล้ว เซี่ยซินหยู่ก็ไม่ได้เตี้ยนะ สูงประมาณ 163 เซนติเมตร แต่ไม่รู้ทำไม เธอกลับให้ความรู้สึกบอบบาง น่าทะนุถนอม เหมือนของเล็กๆที่สามารถกำไว้ในมือได้
เกิดอะไรขึ้นเนี่ย วันนี้มโนไปไกลเลย...
"วันนี้โชคดีจัง นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันจับรางวัลได้ไม่ใช่ทิชชู่!" เซี่ยซินหยู่ที่กำลังกินชีสสติ๊ก อารมณ์ดีมาก
และความสุขนี้ ชีสสติ๊กมีส่วนน้อยมาก
แต่วันนี้ชีสสติ๊กอร่อยเป็นพิเศษ
สรุปคือ มองอะไรก็ดูน่ารัก สดใส เหมือนมีสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน
"จริงๆแล้ว ถ้าจับสิบครั้ง โอกาสที่จะได้รางวัลที่ไม่ใช่ทิชชู่ก็มีสี่สิบเปอร์เซ็นต์" เฉินหยวนพูดหลังจากคำนวณในใจ
"พูดแบบนี้ไม่โรแมนติกเลยนะ!" เซี่ยซินหยู่มองเฉินหยวน บ่นพึมพำ "จะเป็นไปได้มั้ยว่าเป็นเพราะเครื่องรางนำโชคเมื่อวานช่วยฉันไว้"
"เครื่องรางนำโชคคืออะไร"
"...ก็หมายถึงโชคดีไง" เซี่ยซินหยู่หันไป กัดชีสสติ๊กดังกรุบ เหมือนกำลังหลบเลี่ยงอะไรบางอย่าง
(ถ้าเขารู้ว่าฉันเก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ แล้วยังพกติดตัวตลอดเวลา คงจะโดนหัวเราะเยาะแน่...)
อ้าว เธอเก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้เหรอ?
ที่จริงแล้ว เพื่อเอาใจเซี่ยซินหยู่ ตอนที่ให้เธอทาย เขาแอบทำเครื่องหมายไว้บนกระดาษที่เขียนว่า 'โชคดี' และใช้วิธีฟังเสียงในใจ เพื่อชี้นำให้เธอเลือก 'โชคดี'
โดยเนื้อแท้แล้ว โชคดีครั้งนี้มันเป็นเรื่องโกหก
เฉินหยวนอยากจะมอบโชคดีที่แท้จริงให้เซี่ยซินหยู่มากกว่า
แต่เธอกลับมอง ‘โชคดี’ เป็นเหมือนเครื่องราง คล้ายกับว่ามันจะช่วยปกป้องคุ้มครองเธอจาก ‘โชคร้าย’ ได้ตลอดไป...
ตลอดทั้งวันนี้ เขาต้องคอยปกป้องเธออย่างนั้นหรือ?
เธอคิดอะไรอยู่กันแน่?
ความรู้สึกที่แท้จริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เฉินหยวนยังไม่อาจล่วงรู้ได้
บางทีเธออาจจะคิดทบทวนมาเป็นอย่างดีแล้ว ก่อนที่จะพูดประโยคนั้นออกมา ถึงได้ดูสบายใจแบบนี้ในวันนี้
เซี่ยซินหยู่ แม้แต่ความรู้สึกนึกคิดในใจ ก็ยังปิดบังเขาเอาไว้...
ถ้าอย่างนั้น เขาคงต้องเคาะให้เธอตื่นเสียหน่อยแล้ว
“อ้อ จริงสิ กระดาษที่เราใช้จับฉลากเมื่อวานยังอยู่ไหม?” เฉินหยวนแสร้งทำเป็นถามขึ้นลอยๆอย่างเป็นธรรมชาติ
คำถามนี้ ทำให้เซี่ยซินหยู่ดูประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย เธอเอามือจับชายกางเกงแน่น “ถามทำไมเหรอ?”
“ถามไปงั้นแหละ ไม่มีอะไร” เฉินหยวนพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าทิ้งไปแล้วก็ไม่เป็นไร แค่รู้สึกว่ามันน่าสนใจดี ครั้งหน้าจะได้เอามาจับฉลากอีก”
“ยังอยู่...จะทิ้งไปได้ยังไง?” เซี่ยซินหยู่รีบร้อนตอบราวกับพูดอะไรผิดไป
เหมือนกับจะสื่อว่า – เฉินหยวนไม่ไว้ใจเธอ กำลังสงสัยเธออยู่
“อ้อ... อย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่ได้ทิ้งจริงๆนะ รู้สึกว่ากระดาษแผ่นนั้นมีความหมายมาก ทำไม... ทำไมถึงคิดว่าจะทิ้งไปล่ะ?” เซี่ยซินหยู่ยังคงคาดคั้นถามต่อ สายตาจับจ้องไปที่ดวงตาของเฉินหยวน
“รู้อยู่แล้วว่าไม่ได้ทิ้ง เชื่อเธอน่า... แค่คิดว่ามันก็แค่กระดาษแผ่นหนึ่ง เก็บไว้หรือไม่ก็ไม่เห็นจะเป็นไร...”
“ไม่ได้ทิ้งจริงๆ!”
เซี่ยซินหยู่ไม่รอให้เฉินหยวนพูดจบ เธอก็ล้วงเอาถุงหอมสีแดงเข้มเรียบๆใบเล็กออกมาจากกระเป๋า ยื่นให้เฉินหยวนดูด้วยสีหน้าจริงจัง
ถึงแม้จะได้ยินความคิดในใจของเธอแล้วว่าพกติดตัวตลอดเวลา แต่พอได้เห็นของสิ่งนี้จริงๆ เฉินหยวนก็ยังอดตกใจไม่ได้
บางทีอาจเป็นเพราะดูติ๊กต็อกมากเกินไป ในยุคที่ผู้หญิงไม่แม้แต่จะชายตามองผู้ชายที่ใช้เงินไม่ถึงพันหยวน ของไร้ค่าที่เขาเขียนให้เล่นๆกลับถูกเซี่ยซินหยู่ทะนุถนอมราวกับสมบัติล้ำค่า...
เขารู้สึกผิดต่อเธออย่างบอกไม่ถูก
“เอา ‘โชคดี’ ใส่ไว้ในนั้นเหรอ?”
“อืม” เซี่ยซินหยู่พยักหน้าอย่างเขินอาย ก่อนจะเก็บมันเข้ากระเป๋า “เพราะได้รับพรจากมัน ถึงได้จับฉลากได้ชีสไง”
ไม่ใช่หรอก เพราะคำแนะนำของเขาต่างหาก
ไม่สิ เพราะแบบจำลองทางสถิติต่างหาก
ไม่ใช่...
“งั้นก็แสดงว่าได้ผลจริงๆ”
เฉินหยวนไม่พูดอะไรที่อ่อนไหวเกินไป ความคิดของเขาเป็นเหตุเป็นผลเสมอ นับตั้งแต่มีพลังพิเศษ ชีวิตของเขาก็ยิ่งเต็มไปด้วยความแน่นอนมากกว่าเรื่องบังเอิญ ยิ่งตอกย้ำความเชื่อในวัตถุนิยมของเขาให้หนักแน่นขึ้น
แต่บางครั้ง เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติบ้างก็ไม่เสียหาย
“แน่นอนสิ...” เซี่ยซินหยู่ไม่อยากให้เฉินหยวนเห็นของที่ทำให้เธอเขินอาย แถมยังดูน่าขายหน้าแบบนี้หรอก
ยังไงซะ เขาก็เป็นคนทำเองกับมือ ไม่ได้สวยงามอะไร ข้างในก็มีแค่กระดาษแผ่นหนึ่งที่ยับยู่ยี่...
(แต่ถ้าไม่มีเฉินหยวน ก็คงต้องพึ่งกระดาษแผ่นนี้ ให้รู้สึกสบายใจ...)
………
ถ้าอยากให้ฉันกลับไปด้วยทำไมไม่พูดล่ะ?
พูดตรงๆไม่ใช่วิถีนินจาของเธอหรอกเหรอ เซี่ยซินหยู่?
อะไรนะ? เซี่ยซินหยู่ไม่ได้ยึดถือวิถีแบบนั้น เป็นฉันเองที่คิดไปเองงั้นเหรอ?
ก็ใช่น่ะสิ!
หลังอาหารเย็น เวลาล่วงเลยไปกว่าสองทุ่มแล้ว เซี่ยซินหยู่ต้องเข้าเรียนออนไลน์ จึงกลับไปที่ห้อง ส่วนเฉินหยวนที่อยู่ในห้องของตัวเองกลับไม่มีกะจิตกะใจจะเรียน
เขากำลังครุ่นคิดเรื่องหนึ่ง
เซี่ยซินหยู่จะกลับบ้านไปร่วมงานศพ ในฐานะเพื่อนบ้านที่เพิ่งรู้จัก เขาควรจะไปดีไหม?
พิจารณาจากสถานการณ์ของทั้งคู่... ไปก็ดูสมเหตุสมผล เพราะเขาเป็นคนห้ามเธอฆ่าตัวตาย
แต่วันอาทิตย์มีการแข่งขันคณิตศาสตร์ มันชนกันพอดี
อีกอย่าง เรื่องแบบนี้เธอไม่ได้ชวนเอง ถ้าเขาไป...
คงโดนคุณน้าผู้เป็นครูมัธยมปลายที่ชอบดูถูกคนจบจากมหาวิทยาลัยธรรมดาๆสั่งเก็บแน่ๆ
น่าหนักใจจริงๆ น่าหนักใจจริงๆ
คิดได้ดังนั้น เฉินหยวนก็รู้สึกหงุดหงิดใจ ยุ่งยากใจจนกระทั่งวิชาโอลิมปิกคณิตศาสตร์สุดโปรดปรานก็เรียนไม่เข้าหัว เขาถอนหายใจแล้วเปิดดูอนิเมะเรื่อง "คังหยวนตู่" อย่างจนใจ
แต่พึ่งเปิดได้ไม่นาน ก็มีเสียงเคาะประตู
เฉินหยวนลุกขึ้นไปเปิดประตู
แล้วก็เห็นเซี่ยซินหยู่มีเหงื่อเกาะอยู่บนใบหน้าเล็กน้อย กอดหนังสือมากองหนึ่ง ทำสีหน้าลำบากใจ พูดไม่ออก ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากเสียงเบาว่า "ค่าไฟค้าง... ไฟโดนตัดแล้ว"
"รีบจ่ายเถอะ เดี๋ยวไปยืมโจวหยูให้" เฉินหยวนหยิบมือถือออกมาทันที
"เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน" เซี่ยซินหยู่เอื้อมมือมาจับมือเฉินหยวนไว้ พูดด้วยท่าทีเขินอาย "ถึงจะฝืนไปจนถึงสิ้นเดือนนี้ลำบากหน่อย แต่ฉันก็อยากจะพยายามไปจนถึงวันกลับบ้าน"
นี่ ยืนหยัดแบบนี้มันมีประโยชน์อะไรกัน?
(เมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มยืมเงิน ต่อไปพอมีปัญหาอะไร ก็จะคิดถึงแต่การยืมเงินคนอื่น...)
(มีแต่คนที่เคยชินกับการอดทนเท่านั้น ถึงจะอยู่ในเซี่ยงไฮ้ได้)
อย่าเป็นแบบนี้เลยลูก ป๊ะป๋าสงสารจัง...
"งั้นเข้ามาเถอะ แอร์ฉันเปิดคนเดียว ไฟฉันใช้คนเดียว เปลืองเกินไป" เฉินหยวนเอ่ยปากชวน
"อืม ได้" เซี่ยซินหยู่พยักหน้า เดินตามเฉินหยวนเข้าไปในห้อง
"เธอไปนั่งที่โต๊ะเรียน ฉันถนัดใช้โต๊ะญี่ปุ่นมากกว่า" เฉินหยวนรีบปิด "คังหยวนตู่" กางหนังสือออกมา ทำท่าทางตั้งใจเรียนต่อ
"ฉันนั่งตรงนี้ก็ได้ ยังพอจะใช้เรียนได้อยู่"
เซี่ยซินหยู่วางหนังสือไว้บนโต๊ะญี่ปุ่น นั่งเรียนออนไลน์อยู่ฝั่งตรงข้ามเฉินหยวน
ทั้งสองคนจึง "ยกโต๊ะเคารพซึ่งกันและกัน" ต่างคนต่างเรียนไป
ทันใดนั้น ความคิดของใครบางคนก็เริ่มล่องลอย
(เมื่อกี้ไฟดับ พัดลมใช้ไม่ได้ ยังฝืนทนอยู่ตั้งนาน ฉันจะมีกลิ่นเหงื่อหรือเปล่านะ...?)
ได้ยินแบบนั้น เฉินหยวนก็ไม่รู้ว่าสมองเธอคิดอะไรอยู่ อยู่ๆก็ทำท่าสูดกลิ่นสองที
ท่าทางเล็กๆน้อยๆนี้ ถูกเซี่ยซินหยู่ที่กำลังกังวลอยู่แล้วจับสังเกตได้ ใบหน้าก็แดงก่ำด้วยความเขินอายทันที กำปากกาแน่น กัดริมฝีปาก แอบดมกลิ่นตัวเองเบาๆ...
ไม่มีกลิ่น... แต่เมื่อกี้เหงื่อออก อาจจะมีกลิ่นบ้าง... ต้องมีกลิ่นแน่ๆ ไม่งั้นเฉินหยวนจะสูดลมหายใจสองทีทำไม?
ไม่ใช่นะ ฉันก็แค่ได้ยินเธอพูดถึงเลยดมดู
ก่อนหน้านี้ ฉันไม่ได้กลิ่นเหงื่ออะไรเลยสักนิด
ก็แค่กลิ่นหอมๆของเซี่ยซินหยู่นั่นแหละ?
คิดมากไปแล้ว!
เสียงเสียดสีดังขึ้นจากโต๊ะข้างกาย
เฉินหยวนเงยหน้าขึ้นช้าๆ ก็เห็นเซี่ยซินหยู่ทำท่าทางเหมือนลูกแมว ใช้มือทั้งสองข้างเกาะขอบโต๊ะ สายตาหลบเลี่ยง ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อไปจนถึงไหปลาร้า
เมื่อรู้สึกตัวว่าเฉินหยวนมองอยู่ เซี่ยซินหยู่ก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติ
แต่สีหน้าของเธอกลับเผยความรู้สึกออกมาจนหมดสิ้น "ไฟดับน่ะ เครื่องทำน้ำอุ่นใช้ไม่ได้ อาบน้ำเย็นกลัวจะเป็นหวัด..." พูดมาถึงตรงนี้ เซี่ยซินหยู่ก็ไม่กล้าสบตาอีกต่อไป เอ่ยปากอย่างยากลำบาก "ขอโทษนะ...ขออาบน้ำที่ห้องนี้ได้ไหม?"