บทที่ 37 ไม่เก่งเรื่องโกหก
บทที่ 37 ไม่เก่งเรื่องโกหก
เฉินเฉิงรินน้ำร้อนใส่แก้ว แล้วรอให้น้ำเย็นลงก่อนที่จะดื่มหมด ในขณะนั้นเจียงลู่ซีก็ออกข้อสอบเสร็จเรียบร้อย
“ลองทำดูสิ” เจียงลู่ซีหันมาพูด
“อืม” เฉินเฉิงพยักหน้า เขานั่งลงบนเก้าอี้แล้วรับกระดาษข้อสอบที่เจียงลู่ซีออกให้
ข้อสอบทั้งหมดเป็นโจทย์เกี่ยวกับสมการ ซึ่งเฉินเฉิงทำได้อย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาทีเขาก็ทำเสร็จแล้ว
“เสร็จแล้ว” เฉินเฉิงลุกขึ้นและยื่นกระดาษให้เจียงลู่ซี
เจียงลู่ซีรับกระดาษไปตรวจ แล้วรู้สึกประหลาดใจมาก
เพราะข้อสอบที่เธอออกให้ เฉินเฉิงทำถูกหมดทุกข้อ
จริงๆ แล้วเธอสอนเร็วมาก ภายในช่วงเช้าเธอได้สอนเนื้อหาสมการของคณิตศาสตร์ระดับประถมห้าจบหมดแล้ว
เธอแค่ตั้งใจออกข้อสอบเพื่อดูว่ามีส่วนไหนที่เฉินเฉิงยังไม่เข้าใจ เพื่อที่จะได้อธิบายให้เขาอีกครั้ง เหมือนเวลาครูให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดหลังจากสอน เพื่อที่จะรู้ว่านักเรียนผิดตรงไหนและสามารถอธิบายให้ชัดเจนได้
แต่อย่างไรก็ตาม เนื้อหาเหล่านี้เป็นของระดับประถม ซึ่งไม่ได้ยากอะไรนัก สิ่งที่ทำให้เจียงลู่ซีแปลกใจคือ เฉินเฉิงตั้งใจฟังที่เธอสอนจริงๆ ทั้งๆ ที่เธอสอนอยู่ห่างจากเขาพอสมควร เธอไม่ได้สังเกตว่าเขาตั้งใจฟังหรือไม่ เพียงแค่สอนจบบทแล้วถามเขาว่าเข้าใจไหม เขาก็บอกว่าเข้าใจ จากนั้นเธอก็สอนต่อไปเรื่อยๆ
“เป็นยังไงบ้าง มีตรงไหนที่ผิดไหม?” เฉินเฉิงถาม
“ไม่มี” เจียงลู่ซีส่ายหัว
“ดูเหมือนคณิตศาสตร์จะไม่ยากอย่างที่คิด” เฉินเฉิงยิ้ม
ที่จริงเขากังวลว่าแม้ว่าเขาจะกลับมาเกิดใหม่และตั้งใจฟัง เขาอาจจะยังคงไม่เข้าใจหรือไม่สามารถเรียนรู้เนื้อหาที่เขาเคยต่อต้านได้
แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขาล้มเหลวเพราะตัวเองไม่ได้ตั้งใจเรียนเมื่อก่อน ไม่ใช่เพราะคณิตศาสตร์ยากเกินไป เขาทำได้ดีในวิชาภาษาจีนเพราะเขาชอบและสนใจเรียนมัน แม้ว่าเขาจะไม่ตั้งใจเรียนตอนประถม แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลต่อวิชาภาษาจีนในระดับที่สูงขึ้น
แต่คณิตศาสตร์นั้นแตกต่างออกไป ถ้าไม่เรียนให้ดีตั้งแต่ต้น ก็จะตามเนื้อหาที่ซับซ้อนในระดับต่อไปไม่ทันเลย
“อย่าเพิ่งดีใจไป นี่มันแค่เนื้อหาประถม มันง่ายอยู่แล้ว พอขึ้นมัธยม มันจะไม่ง่ายแบบนี้อีก” เจียงลู่ซียังไม่วายทำลายความมั่นใจของเขา
“แค่ความกระตือรือร้นชั่วคราวมันไม่ช่วยอะไรหรอก” เธอยังไม่คิดว่าเขาจะสามารถรักษาความกระตือรือร้นนี้ไว้ได้นาน
“เวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบ” เฉินเฉิงยิ้ม
เฉินเฉิงดูนาฬิกา และเห็นว่าเหลืออีกแค่สองนาทีก็จะเที่ยงแล้ว เขาจึงพูดว่า “โอเค หมดเวลาแล้ว เราไปกินข้าวกันเถอะ”
ที่บ้านมีร่มหลายคัน เฉินเฉิงจึงหยิบร่มให้เจียงลู่ซีหนึ่งคัน
เจียงลู่ซีรับร่มมาแล้วเดินออกไปนอกบ้าน
เฉินเฉิงเก็บขยะภายในบ้านใส่ถุงแล้วออกไปทิ้งข้างนอก
หลังจากทิ้งขยะเสร็จ เฉินเฉิงก็เดินไปยังร้านอาหารใกล้ๆ
ในบริเวณนั้นมีร้านอาหารอยู่มากมาย แมคโดนัลด์และเคเอฟซีสาขาแรกของเมืองอันเฉิงก็เปิดอยู่ที่นี่ด้วย
แม้ทั้งสองร้านจะเป็นคนละบริษัท แต่ไม่ว่าเมืองไหนก็ตาม เรามักจะพบว่าแมคโดนัลด์และเคเอฟซีเปิดใกล้กันเสมอ อาจเป็นเพราะทั้งสองร้านเลือกเปิดในย่านที่มีคนเยอะและพลุกพล่านเหมือนกัน
ในปี 2010 เมืองอันเฉิงยังมีคนจำนวนมากที่ไม่เคยลองอาหารจานด่วนต่างประเทศแบบนี้ คนที่เคยกินมาก่อนก็มักจะอวดอ้างให้คนอื่นรู้ ทำให้มีการแข่งขันกันกินถึงแม้ว่าราคาจะสูงถึงหลักหลายสิบหยวนก็ตาม แต่ลูกค้าของทั้งสองร้านก็ยังเยอะอยู่ดี
จนกระทั่งในอนาคตอีกหลายปีต่อมา ยอดขายของเคเอฟซีและแมคโดนัลด์ในจีนถึงได้ลดลงจากความนิยม
เฉินเฉิงเห็นเจียงลู่ซีอยู่ที่หน้าร้านขายซาลาเปาแห่งหนึ่ง
“พี่คะ ซาลาเปานี่ขายยังไงเหรอ?” เจียงลู่ซีถาม
“ซาลาเปาไส้เนื้อหนึ่งลูกหนึ่งหยวนห้าสิบ ไส้ผักหนึ่งหยวน” ชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเพิ่งเลิกเรียนออกจากโรงเรียนไม่นานพูดขึ้น
“หา? แพงขนาดนี้เลยเหรอ?” เจียงลู่ซีอึ้งไปเล็กน้อย เธอไม่คาดคิดว่าซาลาเปาร้านนี้จะแพงขนาดนี้
“เราเป็นแฟรนไชส์ซาลาเปาระดับประเทศ แถมค่าเช่าร้านแถวนี้ก็แพงกว่าที่อื่น ราคาขายเลยสูงกว่าร้านอื่นนิดหน่อย” ชายหนุ่มที่ตอนแรกดูไม่สนใจ แต่เมื่อเห็นเจียงลู่ซีที่สวยงามยืนอยู่ตรงหน้า เขาก็ยิ้มและพูดอธิบายให้เธอฟังอย่างใจเย็น
“ว่าไง จะซื้อสักสองลูกไหม?” เขายิ้มถาม
“ไม่ล่ะ มันแพงไป” เจียงลู่ซีส่ายหัว
ซาลาเปาที่หน้าประตูโรงเรียนของเธอชิ้นใหญ่กว่านี้ แค่หนึ่งหยวนก็ซื้อได้สามลูก แต่ร้านนี้กลับขายลูกละหนึ่งหยวนห้าสิบ มันแพงเกินไป
ร้านขายบะหมี่หน้าประตูโรงเรียนขายแค่ชามละสามหยวน แถมยังมีเนื้อวัวด้วย
“งั้นบอกฉันสิว่าเธออยู่โรงเรียนไหน ฉันจะเลี้ยงซาลาเปาสองลูก” เขาพูดพร้อมยิ้มหวาน ดูเหมือนเขาจะสนใจเธอมาก
นอกจากนี้ เขายังยกมือเป่าผมยาวที่ย้อยลงมาปิดหน้าผากอีกด้วย เพราะตอนที่เขาเรียนอยู่ นักเรียนผู้หญิงในห้องส่วนใหญ่ชอบผู้ชายที่ดูเกเรและเท่ๆ เขาจึงพูดต่อว่า “ฉันมีเพื่อนหลายคนอยู่โรงเรียนแถวนี้ บอกชื่อเธอมา ฉันจะให้เพื่อนคอยดูแลเธอเอง”
เจียงลู่ซีได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ต้อง ขอบคุณ”
เจียงลู่ซีพูดจบก็เดินไปยังร้านอื่นๆ
แต่ทุกร้านอาหารในละแวกนี้ล้วนขายอาหารแพงกว่าปกติ
เธอพกเงินมาน้อย เพราะออกจากบ้านมาแค่สองหยวน เธอวางแผนไว้ว่าจะซื้อซาลาเปาสามลูกทั้งตอนเช้าและตอนกลางวัน จะได้กินอิ่มพอดี
แต่เพราะเช้านี้ฝนตกหนัก และเธอต้องรีบไปสอนพิเศษครั้งแรก จึงไม่ได้กินข้าวเช้า เธอคิดว่าสองหยวนนี้คงพอสำหรับซื้อบะหมี่หรือเกี๊ยวสักชาม
บะหมี่ถั่วผสมที่เธอกินเป็นประจำราคาแค่สองหยวนต่อชาม และอิ่มท้องพอดี
แต่ร้านในบริเวณนี้ บะหมี่ถั่วผสมที่ถูกที่สุดก็ยังขายชามละสามหยวน
แต่เดิมเธอคิดว่าร้านอาหารหน้าประตูโรงเรียนขายแพงแล้ว แต่พอมาที่นี่
ราคากลับแพงยิ่งกว่า
ฝนตกหนักเกินไป ถ้าฝนไม่ตก เธอคงขี่จักรยานกลับไปกินข้าวที่โรงเรียนได้ เพราะในวันหยุดสุดสัปดาห์โรงอาหารยังเปิดขายให้กับนักเรียนที่พักอยู่ที่โรงเรียน
ที่นี่ก็ไม่ได้อยู่ไกลจากโรงเรียนมากนัก
แต่เพราะฝนตกหนักเกินไป ถ้าต้องไปกลับและกินข้าวด้วย เวลาก็ไม่พอ
เจียงลู่ซีจึงตัดสินใจจะไม่กินข้าว เธอคิดว่าจะดื่มน้ำมากๆ แล้วรอจนเย็นค่อยกลับไปกินข้าวที่บ้าน
แต่พอเธอหันหลังกลับ เธอก็เห็นเฉินเฉิงยืนกางร่มอยู่ข้างหน้าเธอ
“เธอกินแล้วเหรอ?” เฉินเฉิงถาม
“อืม กินแล้ว” เจียงลู่ซีพยักหน้า
เฉินเฉิงจ้องเธออยู่อย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
เจียงลู่ซีไม่เก่งเรื่องโกหกนัก เมื่อถูกเฉินเฉิงจ้อง เธอก็เริ่มหันหน้าหนีไปทางอื่น