บทที่ 31 การอ่านหนังสือด้วยตนเอง
บทที่ 31 การอ่านหนังสือด้วยตนเอง
เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว
เฉินเฉิงอาบน้ำแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ในห้องขึ้นมา
ไม่มีอะไรทำ เฉินเฉิงเลยคิดว่าจะเขียนอะไรสักหน่อย
ในชีวิตก่อน เฉินเฉิงมีเรื่องหนึ่งที่เขาเสียดายมาก นั่นก็คือผลงานชิ้นแรกของเขา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตตอนนั้น เขาเขียนมันขึ้นมาบนฟอรั่มอย่างไม่ตั้งใจ ภายหลังมันถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือและดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ แม้ว่าภาพยนตร์จะได้รับความนิยมมาก แต่เนื้อหาของหนังสือยังมีข้อบกพร่องอยู่มาก
เฉินเฉิงในชีวิตต่อมาได้พยายามหลายครั้งที่จะปรับปรุงผลงานชิ้นนี้ให้ดีขึ้น
ในช่วงนั้น งานเขียนของเขายังไม่ประณีต และเป็นช่วงที่เขาอยู่ในช่วงตกต่ำ เขาจึงเขียนอย่างตามอารมณ์ การเขียนของเขาจึงไม่ดี เมื่อกลับมาอ่านอีกครั้ง เขาก็พบปัญหาหลายอย่างในงานเขียนชิ้นนี้
ในครั้งนั้น คำวิจารณ์ที่ทำให้เฉินเฉิงรู้สึกเจ็บปวดที่สุดคือ "หนังสนุกมาก วัยเยาว์ในหนังมีความสมจริง แต่ต้นฉบับของหนังสือ การเขียนมันช่างจืดชืดและยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ"
สำหรับนักเขียนแล้ว คงไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว
แต่เมื่อเขากลายเป็นที่รู้จัก งานต่างๆ ก็ยุ่งมาก
เฉินเฉิงพยายามหลายครั้งที่จะปรับปรุงผลงานชิ้นนี้ แต่ก็ถูกสำนักพิมพ์ปฏิเสธ
เพราะการปรับปรุงหนังสือเล่มเก่า ใช้เวลามาก แม้ว่าการเขียนจะดีขึ้น แต่ว่าเนื้อหาก็ยังคงเป็นเนื้อหาเดิม ไม่ว่าจะปรับปรุงยังไง ก็ไม่ทำกำไรได้เท่ากับหนังสือเล่มใหม่
อย่างน้อยๆ การขายสิทธิ์ IP มันก็ไม่สูงเท่าหนังสือใหม่
เพราะสิทธิ์ในหนังสือเล่มเก่าถูกขายไปหมดแล้ว
แต่สำหรับเฉินเฉิง ผลงานชิ้นอื่นๆ ของเขาในภายหลัง ไม่ว่าจะแต่งอย่างไรก็ไม่สามารถเทียบเท่ากับผลงานชิ้นแรกได้
เพราะผลงานชิ้นนั้น เขาได้ใส่ประสบการณ์และความรู้สึกทั้งหมดในช่วงชีวิตยี่สิบกว่าปีของเขาลงไป
มันเหมือนกับคำพูดของกัวเป่าชาง ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง The Grand Mansion Gate ที่พูดในระหว่างการสัมภาษณ์ว่า "มีคนขอให้ฉันทำหนังที่คล้ายกับ The Grand Mansion Gateอีก แต่สิ่งที่ฉันคิดคือ ฉันไม่สามารถสร้างหนังที่คล้ายกับ The Grand Mansion Gateได้อีกแล้ว เพราะมันเป็นสิ่งที่ฉันได้ทุ่มเททั้งชีวิตของฉันลงไปแล้ว"
สำหรับเฉินเฉิงก็เช่นกัน
ถ้าผลงานชิ้นแรกของเฉินเฉิงมีการเขียนที่ดีขึ้นอีกนิด เฉินเฉิงคิดว่ามันจะประสบความสำเร็จมากขึ้นแน่นอน
ชีวิตก่อนของเขา ด้วยเหตุผลหลายอย่างทำให้ไม่สามารถปรับปรุงผลงานชิ้นนี้ได้
แต่ในชีวิตนี้ เฉินเฉิงมีเวลาเยอะ
นวนิยายเรื่อง อันเฉิง มีความยาวไม่มาก ประมาณสองแสนกว่าคำ
มันเป็นนวนิยายแนววัยเยาว์ที่หวนระลึกถึงอดีต บันทึกช่วงชีวิตของเฉินเฉิง ตั้งแต่วัยเด็กในชนบท จนกระทั่งต้องออกจากโรงเรียนเข้าสู่สังคม พ่อของเขาลงทุนล้มเหลวและเป็นหนี้มหาศาล แม่ของเขาป่วยหนักเพราะทำงานหนัก
แน่นอนว่า เรื่องราวในหนังสือได้เน้นไปที่ช่วงมัธยมปลายอันน่าจดจำของเฉินเฉิง ความหลงใหลและความรู้สึกแรกๆ ที่มีต่อการไล่ตามเฉินชิง และช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตวัยรุ่นในเมืองเล็กๆ อย่างอันเฉิง พร้อมทั้งการต่อสู้กับความยากลำบากเมื่อครอบครัวล้มละลายและแม่ของเขาป่วยหนัก
เขาใช้เวลาว่างเขียนเพียงหนึ่งหรือสองพันคำต่อวัน แค่สามถึงสี่เดือนก็จะเขียนเสร็จ
ในชีวิตใหม่นี้ เฉินเฉิงไม่อยากที่จะต้องขอเงินจากพ่อแม่อีก
และในครั้งแรกที่เขาเขียนหนังสือเล่มนี้ เขาอายุแค่ยี่สิบกว่า แต่ตอนนี้ด้วยอายุและประสบการณ์ที่มากขึ้น จิตใจเขาก็เติบโตขึ้นมาก การที่เขาได้กลับมาใช้ชีวิตในยุคนี้อีกครั้ง เขาได้สัมผัสถึงความจริงของวัยเยาว์และความงดงามของยุคสมัยนี้อย่างแท้จริง
การเขียนหนังสือเล่มนี้ใหม่อีกครั้ง เฉินเฉิงคิดว่ามันจะต้องดีกว่าเดิมแน่นอน
เพราะความเข้าใจเกี่ยวกับวัยเยาว์ในช่วงกลางชีวิตย่อมลึกซึ้งกว่าช่วงวัยหนุ่ม
หลังจากปรับปรุงและแก้ไขไปเรื่อยๆ จนก่อนนอน เฉินเฉิงก็เขียนได้กว่าพันคำ
นับว่าเขียนบทนำออกมาได้แล้ว
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็ถึงวันศุกร์แล้ว
สำหรับนักเรียนที่กลับบ้าน ทุกวันศุกร์หลังจากจบชั่วโมงเรียนพิเศษช่วงค่ำชั่วโมงสุดท้ายก็จะได้หยุดพักผ่อน แต่สำหรับนักเรียนที่พักในโรงเรียน พรุ่งนี้ยังต้องเรียนพิเศษในตอนเช้าอีกชั่วโมงหนึ่งแน่นอน และเมื่อถึงชั้นมัธยมปลายปีสุดท้าย เนื่องจากต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย บางคนที่กลับบ้านก็อาจตื่นเช้ามาเรียนพิเศษที่โรงเรียนในเช้าวันเสาร์ อ่านหนังสือกันทั้งเช้า
เพราะถ้าพูดถึงบรรยากาศการเรียนแล้ว แน่นอนว่าไม่มีที่ไหนจะดีเท่าโรงเรียน
แต่อย่างไรก็ตาม คนที่ทำเช่นนี้ก็มีไม่มาก
“เฉินเกอ ตอนเย็นจะไปเล่นเน็ตไหม? ฉันกะจะเล่นจนถึงเช้าเลย” เพิ่งจะเลิกเรียน โจวหยวน ก็ถามขึ้น
“ไม่ล่ะ” เฉินเฉิงใส่หนังสือลงในกระเป๋า แล้วตอบ
“แล้วพรุ่งนี้ล่ะ? พรุ่งนี้นายจะไปที่ร้านอินเทอร์เน็ตไหม? พรุ่งนี้วันเสาร์ ถ้านายจะไปเล่น ฉันจะช่วยจองเครื่องไว้ให้ก่อน” โจวหยวนพูด
วันเสาร์นักเรียนหยุดพักผ่อน ร้านอินเทอร์เน็ตแถวๆ โรงเรียนมักจะเต็มเร็ว ถ้าไม่ไปจองเครื่องก่อนก็อาจจะไม่มีเครื่องให้เล่น โจวหยวนที่ใช้เวลาแทบทั้งหมดในร้านอินเทอร์เน็ตในช่วงวันหยุด จะช่วยเฉินเฉิงจองเครื่องให้เสมอเมื่อเขาต้องการเล่นเน็ต
“ไม่ต้องหรอก พรุ่งนี้ฉันจะทบทวนบทเรียน” เฉินเฉิงยิ้มตอบ
“เฉินเกอ นายจะจริงจังเรียนหนังสือแล้วหรือ?” ถ้าเป็นเมื่อก่อน โจวหยวนคงไม่เชื่อ แต่ในสัปดาห์นี้ เฉินเฉิงใช้เวลาเกือบทุกคาบเรียนไปกับการอ่านหนังสือ ไม่เคยขาดเรียน และไม่เคยขอลา ในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่เคยเข้าคลาสเรียนพิเศษในตอนเที่ยง แต่ช่วงนี้หลังจากทานข้าวเสร็จ เขาก็จะเข้ามาในห้องเรียนทุกวัน
“จะโกหกนายทำไมล่ะ” เฉินเฉิงตอบ
“เก็บของเสร็จหรือยัง?” เฉินเฉิงถามต่อ
“เก็บเสร็จตั้งนานแล้ว” โจวหยวนตอบ
“งั้นกลับบ้านกัน” เฉินเฉิงสะพายกระเป๋าขึ้น
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เฉินเฉิงก็เขียนหนังสือสักพัก แล้วก็พักผ่อนเร็ว
วันรุ่งขึ้นแต่เช้า เฉินเฉิงก็ตื่นขึ้นมา
ฝนเริ่มตกลงมาปรอยๆ ภายนอก เมื่อฝนฤดูใบไม้ร่วงเริ่มตก อากาศก็เริ่มเย็นลงจริงๆ
เฉินเฉิงรูดซิปเสื้อคลุมขึ้น แล้วหยิบร่มออกจากบ้านและเดินทางไปโรงเรียน
เสียงอ่านหนังสือเริ่มดังขึ้น เมื่อเฉินเฉิงเดินผ่านโถงทางเดินมายังห้องเรียน หลายคนในห้องต่างตกตะลึง
แม้แต่เฉินชิง ที่เห็นเฉินเฉิงปรากฏตัวอยู่ที่ประตูห้องก็ยังแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
“พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกหรือไง?” หวังเหยียน ที่นั่งข้างเฉินชิงถามขึ้นด้วยความตกใจ
“นี่เฉินเฉิงจริงๆ เหรอ? เขามาเรียนพิเศษเช้าวันเสาร์ได้ยังไง?” นักเรียนหญิงที่นั่งข้างเจียงลู่ซี ก็พูดขึ้นด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
เจียงลู่ซีที่กำลังก้มหน้าท่องหนังสือเบาๆ เงยหน้าขึ้นมอง และในแววตาที่สวยงามของเธอก็ปรากฏความแปลกใจขึ้นมาชั่วขณะ
สำหรับนักเรียนในห้อง การที่เฉินเฉิงมาเรียนพิเศษในเช้าวันเสาร์นั้น ทำให้พวกเขารู้สึกตกใจพอๆ กับที่ทีมฟุตบอลจีนผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลก ไม่สิ หรือแม้กระทั่งคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเลยทีเดียว
นี่มันเหลือเชื่อจริงๆ
สำหรับนักเรียนที่กลับบ้าน การเรียนพิเศษเช้าวันเสาร์นี้ แม้แต่นักเรียนที่มีผลการเรียนดีหลายคนก็ยังไม่มาเรียน
เมื่อขึ้นชั้นมัธยมปลายปีสามแล้ว แรงกดดันในการเรียนก็เพิ่มขึ้นมาก ทุกคนล้วนอยากจะนอนพักผ่อนในวันเสาร์
ใครจะอยากตื่นเช้าไปโรงเรียนเรียนพิเศษล่ะ!
ในห้องเรียนของชั้นสามเองก็เช่นกัน จากนักเรียนที่กลับบ้านทั้งหมด มีเพียงเจียงลู่ซี เฉินชิง และหวังเหยียน นักเรียนที่ผลการเรียนดีเท่านั้นที่จะมาเรียนในวันนี้
แม้แต่เจิ้งฮว่า ที่เพิ่งเดินเข้ามายังห้องเรียนก็ยังตกใจ
“ทำไมนายถึงมาเรียนล่ะ?” เจิ้งฮว่าถามด้วยความสงสัย
“มาเรียนพิเศษน่ะครับ อาจารย์” เฉินเฉิงยิ้มตอบ “วันนี้ฝนตกนิดหน่อยเลยมาสาย”