บทที่ 265 หยุดเลือด
ซูเล่ออวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อยและเอ่ยด้วยเสียงเบา
"หมอหลวงอู๋"
"เจ้า... ทำไม..."
หมอหลวงอู๋เหลือบไปเห็นเพื่อนร่วมงานเดินมาแต่ไกล จึงรีบดึงซูเล่ออวิ๋นและหลิงหลงเข้าไปในห้องเล็กข้างทาง
"คุณหนูซู เจ้ามาทำอะไรที่หอหมอหลวง ยังแต่งตัวแบบนี้อีก"
"หมอหลวงอู๋ ท่านได้ไปที่ตำหนักพระสนมซูเฟยแล้วหรือยังเจ้าคะ" พอได้ยินคำถามของซูเล่ออวิ๋น หมอหลวงอู๋ก็เข้าใจทันที
"คุณหนูซู ข้ากำลังจะไปที่ตำหนักพระสนมซูเฟยพอดี แต่เรื่องนี้เจ้าอย่าเข้าไปยุ่งจะดีกว่า"
หมอหลวงอู๋เคยไปตรวจรักษาซูเล่ออวิ๋นที่บ้านตระกูลซู เพราะมีความเกี่ยวพันกับตระกูลซุนอยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่อยากเห็นซูเล่ออวิ๋นต้องเสี่ยงภัย
"หมอหลวงอู๋ ขอให้ข้าไปด้วยเถิด"
ซูเล่ออวิ๋นจ้องสบตาหมอหลวงอู๋ ทำให้เขารู้สึกสับสนในใจ เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าคุณหนูซูยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือพระสนมฉินจริงหรือ
หมอหลวงอู๋ลังเลอยู่ชั่วครู่ เขานึกถึงฝีมือทางการแพทย์ของซูเล่ออวิ๋น และเริ่มครุ่นคิดบางอย่าง บางทีคุณหนูซูอาจจะมีวิธีช่วยก็ได้
ไม่นานนัก หมอหลวงอู๋ก็กล่าวว่า "คุณหนูซู หากเจ้าจะไปด้วยก็ได้ แต่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน"
เขาจึงนำชุดบุรุษมาให้ซูเล่ออวิ๋นเปลี่ยน
"เจ้าต้องอยู่ข้างกายข้า ทำตัวเป็นเด็กฝึกยา อย่าเคลื่อนไหวหากไม่มีความจำเป็น"
"เข้าใจแล้ว" หลังจากเปลี่ยนชุดแล้ว ซูเล่ออวิ๋นบอกกับหลิงหลงว่า
"หลิงหลง เจ้ากลับไปก่อน องค์ชายสิบสามยังต้องการเจ้าอยู่ และอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับองค์ชาย"
"ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ"
หลิงหลงมองดูหมอหลวงอู๋พาซูเล่ออวิ๋นออกจากหอหมอหลวง จากนั้นนางก็รีบเดินไปอีกทางหนึ่ง
เมื่อเดินไปยังตำหนักของพระสนมซูเฟย คนก็เริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ เหล่าทหารยืนล้อมรอบตำหนักและคอยลาดตระเวน
ซูเล่ออวิ๋นก้มศีรษะเดินตามหมอหลวงอู๋เข้าไปในโถงใหญ่
"กระหม่อมไร้ความสามารถ ขอพระราชทานอภัยโทษจากฝ่าบาทด้วย"
หมอหลวงคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้เจี้ยนเหวิน ใบหน้าซีดเซียว
หมอหลวงอู๋มองสถานการณ์รอบๆ ก่อนจะเดินขึ้นไป
"กระหม่อมขอถวายบังคมฝ่าบาท และไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ" ซูเล่ออวิ๋นก็คุกเข่าตามไปด้วย
ไม่ไกลจากที่นางคุกเข่า พระสนมฉินคุกเข่าด้วยท่าทางสง่างาม
"หมอหลวงอู๋ เจ้าเข้าไปดูอาการของพระสนมซูเฟยเถิด"
ฮ่องเต้เจี้ยนเหวินตรัสเสียงเย็นชา บรรยากาศกดดันจนทุกคนแทบไม่กล้าหายใจดัง
หมอหลวงอู๋รับพระราชโองการแล้วพาซูเล่ออวิ๋นเข้าไปในห้อง
ก่อนเข้าห้อง ซูเล่ออวิ๋นก็ได้กลิ่นคาวเลือดแล้ว พอเข้าไป กลิ่นนั้นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
นางเงยหน้ามอง เห็นพระสนมซูเฟยนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด แสดงให้เห็นว่าสูญเสียเลือดมาก
"ผู้เฒ่าอู๋ เลือดของพระสนมซูเฟยยังไม่หยุดไหล รีบมาดูหน่อย" เมื่อเห็นหมอหลวงอู๋เข้ามา คนในห้องก็รีบเรียกเขา
หมอหลวงอู๋เดินไปข้างหน้าและตรวจชีพจรขอพระสนมซูเฟย
ซูเล่ออวิ๋นเหลือบมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจนาง นางก็รีบสำรวจสถานการณ์อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ
นางจึงก้มตารอคอยผลการตรวจจากหมอหลวงอู๋
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หมอหลวงอู๋ปล่อยมือออกจากข้อมือของพระสนมซูเฟย สีหน้าเคร่งเครียด
"เคยฝังเข็มแล้วหรือยัง"
"แน่นอนว่าเคย แต่หลังจากเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน เลือดก็ไหลไม่หยุดอีกครั้ง"
ถ้าไม่สามารถหยุดเลือดได้ วิธีการรักษาอื่นๆ ก็จะไม่สามารถใช้ได้เลย
หมอหลวงอู๋รู้เรื่องนี้ดี เขาจึงล้างมือและเริ่มฝังเข็มให้กับพระสนมซูเฟยอีกครั้ง
เนื่องจากการสูญเสียเลือดอย่างรุนแรง พระสนมซูเฟยจึงหมดสติ
หลังจากฝังเข็มไม่กี่จุด เลือดก็เริ่มหยุดไหล
แต่ในขณะที่ทุกคนยังไม่ทันดีใจ เลือดที่หยุดไหลก็เริ่มไหลออกมาอีก แม้ว่าจะน้อยกว่าเดิม แต่ถ้ายังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่เพียงแต่จะรักษาทารกในครรภ์ไม่ได้ แม้แต่ชีวิตของพระสนมซูเฟยก็จะตกอยู่ในอันตราย
หมอหลวงอู๋ขมวดคิ้วและหันไปมองซูเล่ออวิ๋น
"เจ้ามีวิธีบ้างไหม"
เหล่าหมอหลวงที่อยู่รอบๆ ต่างพากันตกตะลึง หมอหลวงอู๋กำลังพูดกับใคร
พวกเขาหันไปมอง เห็นเป็นคนที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เสื้อผ้าที่สวมอยู่กลับคุ้นตา
"ผู้เฒ่าอู๋ ในเวลาแบบนี้ อย่าทดสอบเด็กฝึกยาเลยนะ ขนาดเจ้ายังช่วยไม่ได้ จะหวังพึ่งเขาได้ยังไง"
หมอหลวงเฉินที่สนิทกับหมอหลวงอู๋กล่าวขึ้น เขารู้ดีว่าเพื่อนคนนี้ชอบทดสอบเด็กฝึกยาเป็นประจำ แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาทดสอบใคร
แต่หมอหลวงเฉินก็แปลกใจเล็กน้อย ปกติเขาเคยเห็นเด็กฝึกยาที่ติดตามหมอหลวงอู๋เป็นประจำ แต่กลับไม่เคยเห็นคนนี้มาก่อน
ที่สำคัญ เด็กฝึกยาคนนี้มีหน้าตาสะอาดสะอ้านเกินไป เขาน่าจะจำได้สิ
"ข้าจะลองดู"
ซูเล่ออวิ๋นสบตากับหมอหลวงอู๋ นางรู้ว่าเขาถามมาเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล และนางเชื่อว่าคนในห้องนี้จะไม่เปิดเผยตัวตนของนาง
หมอหลวงเฉินเบิกตากว้าง “ผู้หญิงหรือ”
"ในเวลานี้ ลองดูเถิด"
หมอหลวงอู๋ก็ไม่ได้สนใจอธิบาย เขารีบให้ซูเล่ออวิ๋นเข้ามาช่วย
"ผู้เฒ่าอู๋!"
หมอหลวงเฉินพยายามยื่นมือห้าม แต่หมอหลวงอู๋ก็ขวางไว้
หมอหลวงอู๋ส่งสัญญาณให้เขาเงียบ "อย่าเสียงดังไป หากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะรับผิดชอบเอง"
"เอ๊ะ"
หมอหลวงเฉินยิ่งตกใจหนักกว่าเดิม เพื่อนคนนี้ของเขาปกติแล้วมักหลีกเลี่ยงปัญหา แต่ทำไมวันนี้กลับอาสารับปัญหาด้วยตัวเอง
แม้เขาจะสงสัย แต่ก็ยังไม่มีเวลาไปคิดเรื่องนั้น เขาจ้องมองการกระทำของซูเล่ออวิ๋นอย่างใกล้ชิด
เมื่อเห็นนางหยิบเข็มเงินออกมาจากแขนเสื้อ หมอหลวงเฉินก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้น หรือว่านางจะเป็นหมอหญิง
ถ้าเป็นหมอหญิง แล้วทำไมต้องปลอมตัวเช่นนี้ด้วย
"จะให้ใครก็ไม่รู้มาฝังเข็มให้พระสนมซูเฟยอย่างนั้นหรือ หมอหลวงอู๋ ท่านอย่าทำตามใจตัวเองเลย"
หมอหลวงอีกคนกล่าวเตือน เพราะกลัวว่าหากเกิดข้อผิดพลาด หัวของตนเองจะไม่รอด
ซูเล่ออวิ๋นตรวจชีพจรอย่างระมัดระวัง จนในใจเริ่มมีการประเมินสถานการณ์ "ได้ให้พระสนมซูเฟยอมแผ่นโสมแล้วหรือไม่"
หมอหลวงอู๋หันไปมองหมอหลวงเฉิน เขาตอบว่า "ให้ไปแล้วสามแผ่น"
ซูเล่ออวิ๋นพยักหน้า จากนั้นนางใช้เปลวไฟอุ่นเข็มเงิน แล้วค่อยๆ จิ้มไปที่ตำแหน่งหว่างคิ้วของพระสนมซูเฟย
การเคลื่อนไหวของนางทำให้ทุกคนในห้องตกใจ แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากหรือเข้ามาห้าม เพราะถ้าผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ทุกอย่างจะจบสิ้น
มือของซูเล่ออวิ๋นนิ่งมาก นางปักเข็มเงินเข้าไปอย่างมั่นคง
เมื่อปล่อยมือ นางสะบัดเข็มเล็กน้อยเพื่อให้มันขยับ จากนั้นนางจึงเริ่มฝังเข็มต่อ
หลังจากฝังเข็มต่อเนื่องสิบจุด ผลลัพธ์ก็ปรากฏชัด
เลือดหยุดไหลอีกครั้ง
ทุกคนในห้องต่างจ้องเขม็ง หมอหลวงอู๋และหมอหลวงเฉินสังเกตเห็นว่า เข็มเงินทั้งสิบเอ็ดเล่มยังคงสั่นไหว ไม่หยุดนิ่ง
"หมอหลวงอู๋ เลือดหยุดแล้ว เรื่องที่เหลือท่านคงจะชำนาญกว่าข้า"
ซูเล่ออวิ๋นถอยให้หมอหลวงอู๋ดำเนินการต่อ
หมอหลวงอู๋ยังคงกังวลเล็กน้อยและอยากรอดูอีกสักพัก ซูเล่ออวิ๋นก็มองออกถึงความคิดของเขา
"เวลาไม่รอใคร ท่านก็ตรวจชีพจรไปแล้ว ถ้ารออีกนิดเดียว ทารกในครรภ์คงไม่รอดแน่"
หมอหลวงอู๋รู้ว่าซูเล่ออวิ๋นพูดถูก จึงกัดฟันแล้วลงมือรักษาต่อ ร่วมกับหมอหลวงเฉิน
เวลาผ่านไปเพียงชั่วหนึ่งก้านธูป หมอหลวงอู๋ก็เช็ดเหงื่อออกจากใบหน้า และถอนหายใจอย่างโล่งอก
ทารกในครรภ์รอดแล้ว
ซูเล่ออวิ๋นเดินเข้ามาอย่างช้าๆ และค่อยๆ ดึงเข็มเงินที่หว่างคิ้วออก
ทันทีที่เข็มนี้ถูกถอนออก เข็มเงินทั้งสิบเล่มที่เหลือก็หยุดสั่น
ดวงตาของหมอหลวงเฉินเต็มไปด้วยความประหลาดใจมากขึ้นกว่าเดิม.