บทที่ 17 หมั่นโถวไหม้เล็กน้อย
บทที่ 17 หมั่นโถวไหม้เล็กน้อย
วันเสาร์ เฉินเฉิงกินข้าวกลางวันเสร็จแล้วก็ไปที่ร้านหนังสือซินหัวที่เขาเคยไปเมื่อครั้งก่อน
เวลาผ่านไปหลายวันแล้ว อีกทั้งตอนนี้ก็ล่วงเลยช่วงเปิดเทอมต้นเดือนกันยายนมาพอสมควร เฉินเฉิงคิดว่าเวลานี้น่าจะมีตำราเรียนวางขายบ้างแล้ว แม้จะไม่ได้ตำราระดับมัธยมปลาย อย่างน้อยก็น่าจะมีตำราระดับมัธยมต้นขายบ้าง
“เจ้าของร้าน ตอนนี้มีตำราเรียนมัธยมต้นหรือมัธยมปลายขายหรือยังครับ?” เฉินเฉิงถามทันทีที่เดินเข้าร้าน
“คุณมาถูกจังหวะมาก เมื่อเช้าเพิ่งจะมีของมาพอดี ตอนนี้มีแล้ว” เจ้าของร้านยิ้มกล่าว
“อยู่ตรงนี้เลย ผมเพิ่งจัดเรียงเสร็จเอง คุณดูว่าอยากได้เล่มไหนบ้าง” เจ้าของร้านบอก
เฉินเฉิงเดินไปยังชั้นวางตำราเรียนในร้าน เขาเริ่มเลือกตำราเรียนจากชั้นมัธยมปีหนึ่ง ไล่ไปจนถึงชั้นมัธยมปลาย ทั้งตำราวิชาคณิตศาสตร์, วิชาฟิสิกส์, เคมี และภาษาอังกฤษ เขาก็หยิบขึ้นมาด้วย
เมื่อเขานำหนังสือทั้งหมดวางบนเคาน์เตอร์ ความสูงของหนังสือที่วางรวมกันนั้นเกือบครึ่งเมตรได้
เฉินเฉิงคำนวณคร่าวๆ แล้ว พบว่าหนังสือทั้งหมดนี้น่าจะมีประมาณสามสิบเล่ม
หากไม่รวมระดับประถมศึกษา นี่คือปริมาณหนังสือที่นักเรียนทั่วไปสะสมมานานเกือบสิบปี แต่เฉินเฉิงตั้งใจจะใช้เวลาหนึ่งปีเพื่อเรียนรู้ทั้งหมด ซึ่งถือเป็นเรื่องยากอยู่พอสมควร
ไม่มีทางเลือก เพราะสำหรับคนอย่างโจวหยวนที่เริ่มหลุดทางเมื่อช่วงปลายของมัธยมปลายเท่านั้น หากเขาพยายามสักหน่อย ก็อาจใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนในการตามเนื้อหาที่ตกหล่นไปได้ เพราะเขายังตามไม่ทันในช่วงสั้นๆ เท่านั้น
แต่สำหรับเฉินเฉิงแล้ว เขาตามไม่ทันหลายวิชา ตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นเป็นต้นมา โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ที่เขาตามไม่ทันมาตั้งแต่ชั้นประถมเลยทีเดียว
ดังนั้นนอกจากการไปเรียนกวดวิชา เฉินเฉิงไม่มีทางเลือกอื่นที่จะใช้สอบถามครูได้
ถ้าเป็นแค่การหลุดทางเนื้อหาครึ่งเทอมหรือหนึ่งปี ครูก็ยังยินดีที่จะช่วยสอน เพราะท้ายที่สุดแล้วมันเป็นหน้าที่ของครูที่จะสอนนักเรียน แต่หากคุณยื่นตำราคณิตศาสตร์ชั้นประถมให้ครูสอนตั้งแต่พื้นฐาน ครูคงคิดว่าคุณบ้าแน่ๆ
มันก็เหมือนกับการใกล้สอบแล้วแต่คุณยังขอให้ครูภาษาไทยสอนวิธีสะกดคำพื้นฐานให้
เคราะห์ดีที่เฉินเฉิงพกกระเป๋าใบใหญ่ไปด้วย ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถนำหนังสือทั้งหมดนี้กลับบ้านได้
หลังจากจัดหนังสือเรียบร้อย เฉินเฉิงจ่ายเงินแล้วออกจากร้าน
เพียงแต่ทันทีที่เขาออกจากร้านหนังสือ เฉินเฉิงก็พบกับเงาร่างที่คุ้นเคย นั่นก็คือ เจียงลู่ซี
ตรงหน้าของเธอมีจักรยานคันหนึ่ง จักรยานมีตะกร้าด้านหน้า ซึ่งในตะกร้าก็มีแผ่นไม้หนึ่งแผ่น
แผ่นไม้นั้นเขียนด้วยสีทาบ้านว่า "สอนพิเศษ" และใต้คำว่าสอนพิเศษนั้นก็เขียนอัตราค่าสอนของระดับชั้นต่างๆ คือ ระดับมัธยมปลาย ชั่วโมงละ 20 หยวน ระดับมัธยมต้น ชั่วโมงละ 15 หยวน และระดับประถม ชั่วโมงละ 10 หยวน
ราคานี้ต้องบอกว่า ถูกมากๆ
เนื่องจากเป็นวันเสาร์ ร้านหนังสือซินหัวนี้ก็เป็นร้านหนังสือใหญ่ร้านเดียวในบริเวณนั้น จึงมีคนมาซื้อหนังสือมากมาย ส่วนใหญ่เป็นผู้ปกครองพาเด็กมาซื้อ แต่กลับไม่มีใครหยุดดูที่ป้ายของเจียงลู่ซีเลย
ตรงกันข้าม ฝั่งตรงข้ามของเจียงลู่ซีมีหลายแผงที่มีผู้สอนพิเศษเหมือนกัน แต่กลับมีผู้ปกครองยืนอยู่หลายคน
เฉินเฉิงเหลือบมองป้ายราคาของแผงเหล่านั้นก็พบว่าราคาสูงกว่าเจียงลู่ซีมาก
พวกเขาไม่ได้สอนพิเศษตั้งแต่ระดับประถม แต่เริ่มจากมัธยมต้นโดยตรง และยังแบ่งตามชั้นมัธยมต้นปีที่ 1, 2 และ 3 ด้วย โดยมัธยมปีที่ 1 กับ 2 ชั่วโมงละ 30 หยวน ส่วนมัธยมปีที่ 3 ชั่วโมงละ 40 หยวน และระดับมัธยมปลายชั้นปีที่ 1 กับ 2 ชั่วโมงละ 50 หยวน สำหรับมัธยมปลายชั้นปีที่ 3 ราคาพุ่งไปถึง 70 หยวนต่อชั่วโมง
เฉินเฉิงก็ไม่แปลกใจ เพราะครูสอนพิเศษที่นั่นดูมีอายุค่อนข้างมาก ซึ่งก็คือพวกที่ทำงานสอนพิเศษเป็นอาชีพ ดังนั้นถ้าคุณเป็นผู้ปกครองที่กำลังหาครูสอนพิเศษให้ลูก คุณก็คงเลือกครูที่ดูมีประสบการณ์มากกว่าเด็กอายุสิบหกหรือสิบเจ็ดปีที่ยังดูอ่อนเยาว์
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่สามารถหาครูสอนพิเศษให้ลูกได้ ก็ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน และเมื่อต้องจ่ายเงินแล้วก็คงเลือกครูที่ดีที่สุด ครูราคาถูกที่ดูอายุยังน้อยแบบนี้จะสอนอย่างไรก็ยังน่าสงสัย ที่สำคัญคือเด็กๆ ที่ต้องการครูสอนพิเศษก็คงจะไม่ได้ตั้งใจเรียนดีอยู่แล้ว
ดังนั้น ถึงแม้เจียงลู่ซีจะตั้งราคาถูก แต่ก็ยังไม่มีใครสนใจเธออยู่ดี
เฉินเฉิงส่ายหัว เขาคิดว่าเจียงลู่ซีซื่อเกินไปจริงๆ
ป้ายของคนอื่นดูเป็นมืออาชีพ เห็นได้ชัดว่าเป็นงานสั่งทำโดยเฉพาะ พร้อมกับบรรยายผลงานของครูอย่างละเอียด เช่น ช่วยนักเรียนสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนชื่อดังมาแล้วกี่คน
แต่เจียงลู่ซีกลับเอาแผ่นไม้จากที่ไหนมาก็ไม่รู้ และใช้สีทาบ้านเขียนลงไป ซึ่งกลิ่นสียังลอยมาเตะจมูกอีก แถมยังไม่เขียนผลงานอะไรที่เธอเคยได้ตำแหน่งอันดับหนึ่งในการสอบเข้ามัธยมปลายในเมืองอันเฉิงซึ่งไม่มีใครทำได้ เธอกลับยืนอยู่อย่างอ่อนแอเหมือนลมพัดก็ล้ม แล้วแบบนี้ใครจะมาหาเธอสอนพิเศษได้ล่ะ?
ไม่ต้องเดาเลย ดูจากริมฝีปากแห้งและเหงื่อที่หยดอยู่บนหน้าผาก ก็คงจะขี่จักรยานมาไกลจากบ้านเพิ่งจะมาถึงที่นี่ แน่นอนว่าคงยังไม่ได้กินข้าว
ตอนนี้เพิ่งบ่ายโมงกว่าๆ จากบ้านเจียงลู่ซีมาถึงโรงเรียนมัธยมอันเฉิงต้องใช้เวลาขี่จักรยานเป็นชั่วโมงครึ่ง และจากโรงเรียนมัธยมถึงที่นี่ก็ยังมีระยะทางพอสมควร คาดว่าเธอคงออกจากบ้านตั้งแต่สิบโมง
เหตุที่เฉินเฉิงคิดว่าเธอไม่ได้กินข้าว เพราะในตะกร้ารถของเธอนอกจากแผ่นไม้ที่เขียนคำว่า "สอนพิเศษ" ยังมีหมั่นโถวสีเหลืองอ่อนที่มีรอยไหม้ติดเล็กน้อย ในแถบภาคเหนือของจีน ถ้าไม่ใช่หมั่นโถวที่ซื้อจากร้านที่นึ่งสดใหม่แล้วละก็ หมั่นโถวที่นึ่งเองจะมีสีเหลืองอ่อนๆ
เหตุที่หมั่นโถวนี้มีรอยไหม้สีดำติดอยู่ก็เพราะเวลานึ่งหมั่นโถว บางครั้งชิ้นที่อยู่ใกล้ขอบหม้อจะโดนความร้อนมากจนไหม้
แม่ของเฉินเฉิงเองก็เคยนึ่งหมั่นโถวแบบนี้เวลาว่างๆ ตอนกลับบ้าน
ที่ชนบท คุณยายของเขาก็จะนึ่งหมั่นโถวแบบนี้เช่นกัน เฉินเฉิงกับเด็กๆ คนอื่นไม่ค่อยชอบกินหมั่นโถวที่มีรอยไหม้เหล่านี้
ทุกครั้งที่ถึงเวลานั้น พ่อแม่และคุณยายของเฉินเฉิงจะสอนว่าในสมัยของพวกเขา หมั่นโถวที่ทำจากแป้งขาวนั้นไม่ได้มีให้กินบ่อยนัก กินได้เฉพาะตอนเทศกาลเท่านั้น และหมั่นโถวที่มีรอยไหม้นี้เป็นของโปรดของพวกเขา เพราะในสมัยนั้นไม่มีอาหารดีๆ กิน หมั่นโถวไหม้ๆ แบบนี้มีรสชาติหอมเป็นพิเศษ กินแทนกับข้าวได้เลย
แต่นั่นมันก็นานมาแล้ว
ตอนนี้มีใครบ้างที่จะกินหมั่นโถวไหม้ๆ แทนกับข้าวอีก?