บทที่ 103: องค์หญิงหกของเรา
“เซียวถังอี้ เจ้าอยากให้เราโมโหจนตายหรืออย่างไร?” มู่เทียนฉงแสร้งทำเป็นโกรธ “เรื่องนี้เราจริงจัง ในฐานะท่านอ๋องแห่งแคว้นเป่ยหลง เจ้าจะต้องแบกรับความรับผิดชอบในการสืบเชื้อสายของตระกูลให้กับราชวงศ์”
“แค่นั้นเองหรือ?” เซียวถังอี้เลิกคิ้ว วางถ้วยชาลงแล้วลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินออกไป
“นี่เจ้าจะทำอะไร!” ฮ่องเต้หนุ่มคว้าตัวอีกฝ่ายไว้ “เราเพิ่งพูดกับเจ้าไปได้ไม่กี่ประโยคเจ้าก็คิดจะไปแล้ว ทำไมนิสัยของเจ้าถึงได้แปลกประหลาดขึ้นเรื่อย ๆ”
“ตอนเด็ก ๆ เจ้ายังน่ารักมากอยู่เลย เจ้าชอบมาก่อกวนให้เราเล่าเรื่องให้เจ้าฟังอยู่ทุกวัน”
“เสด็จพี่!” ดวงตาของเซียวถังอี้ที่อยู่ภายใต้หน้ากากกระตุก “พระองค์จะยกเรื่องนี้มาพูดถึงอีกกี่ปีกัน?”
ในตอนที่เขาเข้ามาในวังหลวงครั้งแรกเขาก็มีความอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวนั่นนี่ไปเสียหมด เขาจึงชอบไปรบเร้าให้มู่เทียนฉงช่วยเล่าเรื่องให้เขาฟัง
แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไร? อีกฝ่ายเอาแต่จำเรื่องนั้นเพียงอย่างเดียว และจะคอยยกเรื่องดังกล่าวมาพูดถึงทุกปีที่พบหน้ากัน
ถ้าใครผ่านมาได้ยินเข้าคงจะคิดว่าเขานั้นมีนิสัยเหมือนเจ้าเด็กน้อยคนนั้น
จู่ ๆ ภาพของเด็กตัวเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นในใจของเด็กหนุ่ม ในขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เขาก็เห็นร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเงียบ ๆ ในห้องโถง
ซึ่งคนผู้นั้นก็คืออวี้เซิ่ง
“ฝ่าบาท มีจดหมายจากองค์หญิงหกส่งมาจากวัดฮู่กั๋วพ่ะย่ะค่ะ” นักฆ่าหนุ่มเหลือบมองไปที่เซียวถังอี้ ก่อนจะพยักหน้าให้อีกฝ่ายเป็นการทักทาย
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล
“จดหมายจากไป๋ไป่อย่างนั้นหรือ?” รอยยิ้มปรากฏขึ้นในดวงตาของมู่เทียนฉงทันที “ในที่สุดเด็กคนนั้นก็จำเราได้ นางคงจะคิดถึงเราแทบบ้า”
“เอาจดหมายมาให้เราเร็วเข้า”
อวี้เซิ่งยื่นจดหมายที่เขาเพิ่งได้รับจากทหารรักษาพระองค์ให้ผู้เป็นฮ่องเต้ ก่อนจะเดินไปนั่งลงอีกด้านหนึ่งของเซียวถังอี้และรินชาให้ตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ
“ช่วงนี้ในเมืองหลวงเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นหรือ?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม
“มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว” เด็กหนุ่มตอบพลางเหลือบมองจดหมายในมือของมู่เทียนฉงโดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ จากนั้นจึงนั่งคุยกับอวี้เซิ่งแบบสบาย ๆ “สำนักยุทธต่าง ๆ ส่งเสียงดังอยู่ตลอดทั้งวัน ช่างเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งนัก”
เซียวถังอี้ทำงานอยู่นอกวังหลวงมานานหลายปี จึงค่อย ๆ มีชื่อเสียงไปทั่วหล้า
เพียงแต่ว่าเขาปกปิดตัวตนของเขาได้เป็นอย่างดี และคุ้นเคยกับการทำอะไรคนเดียว ตอนนี้จึงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ภูมิหลังของเขา
ทุกคนรู้เพียงว่าเขาแซ่ ‘เซียว’ ซึ่งโดยปกติแล้วเขามักจะถูกเรียกว่า ‘คุณชายเซียว’
“ฮ่า ๆ ก็ยังเหมือนเดิม...” อวี้เซิ่งเผยรอยยิ้มจาง ๆ แต่แววตาของเขากลับดูโหยหาเล็กน้อย
เดิมทีเขาก็เคยเป็นดั่งนกอินทรีที่บินอยู่บนท้องฟ้าอย่างอิสระ แต่ตอนนี้เขาต้องมาถูกจองจำอยู่ในวังหลวงแห่งนี้
“บังอาจ!” ในขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกัน จู่ ๆ มู่เทียนฉงก็ผุดลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เสี่ยวอัน ไปเรียกตัวผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ให้มาพบเรา เราอยากจะถามเขานักว่าทำไมเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ในเมืองหลวงแต่เรากลับไม่รู้อะไรเลย”
อันกงกงที่รออยู่นอกประตูตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เขารีบตอบรับแล้ววิ่งไปประกาศราชโองการอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” เซียวถังอี้รู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้เป็นพี่ชายอารมณ์เสีย
“เจ้าเอาไปดูเองเถอะ” มู่เทียนฉงกระดกชาลงท้อง 2 ถ้วยเพื่อดับความโกรธโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วเขาก็โยนจดหมายของมู่ไป๋ไป่ไปให้อีกคน
เซียวถังอี้หยิบจดหมายขึ้นมาดู ก่อนจะขมวดคิ้วเพราะตัวอักษรที่คดเคี้ยวบนนั้น จากนั้นเขาจึงทำใจอ่านมันอย่างอดทน
ยิ่งเขาอ่านจดหมายในมือมากเท่าไหร่ สีหน้าของเขาก็ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้นเท่านั้น
“ในเมืองหลวงมีเด็กหายตัวไปหลายปีติดต่อกันแล้ว แต่เรื่องนี้ยังไม่เคยถึงหูของฝ่าบาทเช่นนั้นหรือ?” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว
“ถูกต้อง” ในขณะที่มู่เทียนฉงพูด มีแสงเย็นวาบในดวงตาของเขา “พวกขุนนางตัวดีทั้งหลาย กล้าละเว้นไม่รายงานเรื่องใหญ่เช่นนี้แก่เรา ถ้าไป๋ไป่ไม่ได้เขียนจดหมายมาบอกกล่าว เราคงไม่อาจรู้เรื่องนี้ไปตลอดชีวิต”
เซียวถังอี้เหลือบมองตัวอักษรบนจดหมายแล้วเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “ไป๋ไป่นี่คือ...?”
“องค์หญิงหก ลูกสาวของเรา” ฮ่องเต้หนุ่มยิ้มอย่างภูมิใจ “พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ถังอี้ เจ้าคงยังไม่เคยพบนางมาก่อน นางน่ารักมาก”
“...” เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไม่ตอบกลับ
แต่ทำไมภาพในหัวของเขาตอนนี้ถึงมีแต่ภาพตอนที่เจ้าเด็กคนนั้นนอนกรนล่ะ?
“ไป๋ไป่เป็นลูกสาวของเราจริง ๆ แต่ว่าตอนนี้นางเดินทางไปที่วัดฮู่กั๋วเพื่อสวดมนต์ขอพรให้แก่แคว้นเป่ยหลง แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่เคยลืมที่จะห่วงใยประชาชน” มู่เทียนฉงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมลูกสาวตัวเอง “หากไป๋ไป่กลับมา เราจะตกรางวัลใหญ่ให้นาง”
เซียวถังอี้เลิกคิ้วขึ้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ไม่นานผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ก็มาถึง หลังจากที่ฮ่องเต้หนุ่มซักถามเกี่ยวกับเรื่องคดีเด็กหายตัวไปในเมืองหลวง จู่ ๆ ผู้บัญชาการก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปก่อนที่เขาจะคุกเข่าลง
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจปิดบังเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ” ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่กล่าวด้วยใบหน้าซีดเซียว และเสียงแผ่วเบากว่าปกติ “ตอนนี้ไม่มีหลักฐานใดที่พิสูจน์ได้ว่าเด็กที่หายตัวไปหลายคดีนั้นมีความเกี่ยวข้องกัน”
“ไม่มีหลักฐานอย่างนั้นหรือ?” มู่เทียนฉงเย้ยหยัน “เราขอถามท่านสักเรื่อง มีคดีเด็กหายในเมืองหลวงในช่วงเวลาเดียวกันของทุกปีหรือไม่?”
“นี่…” ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่หมดคำจะโต้แย้ง
“นี่อะไร? ถ้าใช่ก็ตอบว่าใช่ ถ้าไม่ใช่ก็ตอบว่าไม่ใช่!” ผู้เป็นฮ่องเต้ตบโต๊ะเสียงดัง “ศาลต้าหลี่ทำงานประสาอะไร แล้วแบบนี้ราษฎรจะมองเราอย่างไร”
“เป็นความผิดของกระหม่อม กระหม่อมสมควรตาย” ผู้บัญชาการรู้สึกขมขื่นในใจแต่ก็ไม่สามารถแสดงออกไปได้ แล้วเขาก็คิดเพียงว่าเด็กที่หายตัวไปนั้นหายไปเอง มันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด
ไม่เพียงเท่านี้ หลังจากนั้นไม่นานที่ศาลต้าหลี่ก็มีหัวขโมยบุกเข้ามา ทำให้เอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคดีเด็กหายตั้งแต่ครั้งแรกได้รับความเสียหาย
มันเสียหายมากจนแม้หลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่ง เขาก็ไม่สามารถปะติดปะต่อหาเบาะแสมาเริ่มสอบสวนได้
แล้วในปีนี้มันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะแย่ลงเรื่อย ๆ เขาได้ยินมาว่าเด็กผู้ชายในวัย 12 ปีก็ได้สูญหายไปเช่นกัน
ก่อนหน้านี้เขาก็เป็นกังวลเกี่ยวกับคดีดังกล่าวอยู่แล้ว แต่เขาไม่ได้คาดคิดว่าตนนั้นจะถูกฮ่องเต้เรียกมาซักถามก่อนที่จะได้รับเบาะแส
“ท่านสมควรตายยิ่งนัก!” มู่เทียนฉงตะคอกเสียงเย็น “เป็นถึงผู้บัญชาการศาลต้าหลี่แต่กลับไร้ความสามารถ เมืองหลวงอยู่ใต้จมูกของเรา แต่ประชาชนต้องคอยกังวลเรื่องที่ลูกตัวเองอาจจะหายไปสักวันอยู่ตลอด เช่นนี้พวกเขาจะรู้สึกปลอดภัยยามที่อาศัยอยู่ในแคว้นเป่ยหลงได้อย่างไร?”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ผู้บัญชาการไม่กล้าพูดอะไร
“เราจะให้โอกาสท่านได้ชดใช้ความผิดของตัวเอง” ฮ่องเต้หนุ่มมองไปยังคนที่กำลังคุกเข่าอยู่ด้านล่าง “ภายใน 7 วัน ท่านจะต้องหาตัวเด็กที่หายไปให้พบและจับกุมผู้กระทำผิดที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ให้ได้”
“ถ้าท่านทำไม่ได้ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการนี้”
“ไปให้พ้นหน้าเราซะ!”
ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่คำนับขอบคุณบิดาของแผ่นดินซ้ำ ๆ ก่อนจะรีบวิ่งออกไป
“อวี้เซิ่ง เจ้าช่วยไปที่วัดฮู่กั๋วแทนเราหน่อย” มู่เทียนฉงขมวดคิ้วแล้วกระซิบว่า “แม้ว่าไป๋ไป่อยู่ที่วัดฮู่กั๋วจะปลอดภัยดี แต่เรากลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้น”
“เจ้าเดินทางไปที่วัดฮู่กั๋วเพื่อปกป้องไป๋ไป่สักระยะหนึ่ง แล้วรอฟังคำสั่งเรา”
ดวงตาของอวี้เซิ่งเป็นประกายทันทีเมื่อได้ยินว่าตนจะได้ออกจากวังหลวง เขาเองก็ไม่ต่างจากเซียวถังอี้ พวกเขาทั้ง 2 เป็นคนที่รักอิสระเช่นกัน ตราบใดที่เขาไม่ได้ถูกกักขังเอาไว้ในวังหลวง เขาก็สามารถทำอะไรตามที่ต้องการได้
“กระหม่อมรับพระบัญชา” นักฆ่าหนุ่มรับคำสั่งอย่างมีความสุข ก่อนจะหันหลังเดินออกไป
เมื่อเซียวถังอี้เห็นดังนี้ เขาก็ลุกขึ้นยืนโดยอาศัยช่วงที่กำลังชุลมุนนี้หนีไป
“หยุดเดี๋ยวนี้ เราอนุญาตให้เจ้าไปแล้วหรือ?” มู่เทียนฉงหยุดอีกฝ่ายด้วยสายตาเฉียบคม “ถังอี้ เจ้าเพิ่งกลับมายังวังหลวงได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เจ้าจะไปไหนอีก?”