บทที่ 102: เขียนจดหมาย
หลังจากมู่ไป๋ไป่ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว เธอก็ได้สั่งให้จื่อเฟิงลงจากภูเขาแทนตน และมุ่งหน้าไปที่หอไป่เฉ่าเพื่อส่งข้อความถึงเสิ่นจวินเฉา โดยบอกว่าช่วงนี้ในเมืองหลวงมีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้น ครอบครัวของเธอจึงรู้สึกเป็นห่วง ดังนั้นเธอจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก
ในเวลานั้นหากเสิ่นจวินเฉามีเรื่องอะไรอยากติดต่อกับเธอ ก็ให้เขาฝากจดหมายไว้ที่ลุงฝูที่เป็นเถ้าแก่หอไป่เฉ่า แล้วเธอจะให้คนลงเขาไปรับจดหมายในทุก ๆ 2 วัน
เนื่องจากช่วงนี้จื่อเฟิงได้กินมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เขาจึงแข็งแรงขึ้นและวิ่งเร็วขึ้น
หากเป็นการเดินทางของคนทั่วไป การขึ้นลงภูเขาจะใช้เวลาอย่างน้อย 1 ชั่วยาม แต่เขากลับใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น
มู่ไป๋ไป่รู้สึกว่าอาหารที่เธอเสียไปนั้นคุ้มค่าแล้ว
หลังจากจื่อเฟิงกินอาหารมื้อกลางวันเสร็จ เขาก็ลงจากภูเขา ส่วนคนตัวเล็กก็ไปงีบหลับ พอเธอตื่นนอนเขาก็กลับมาพอดี
“องค์หญิงหก แย่แล้ว มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น”
มู่ไป๋ไป่ที่ยังคงนั่งสะลึมสะลืออยู่บนเตียงก็เห็นหลัวเซียวเซียวกำลังรีบเร่งเข้ามาจากทางประตู
“จื่อเฟิงกลับมาแล้วบอกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับคุณชายเสิ่น!”
“อะไรนะ?!” อาการง่วงนอนของคนตัวเล็กพลันหายเป็นปลิดทิ้งหลังจากได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายบอก “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับพี่จวินเฉาหรือ เกิดอะไรขึ้น?”
หลัวเซียวเซียวตอบในขณะที่หอบหายใจว่า “จื่อเฟิงบอกว่าวันนี้เขาไปที่หอไป่เฉ่า แล้วพบว่าหอไป่เฉ่าไม่เปิด”
“แต่เขาเองก็ไม่ได้โง่ เขาจึงไปที่ร้านอาหารที่คุณชายเสิ่นพาเราไปกินวันนั้น”
“ปรากฏว่าร้านอาหารก็ปิดเช่นกัน”
ในเวลากลางวันของเมืองหลวงเป็นช่วงที่กิจการร้านอาหารอยู่ในช่วงขาขึ้น มันจึงเป็นเรื่องที่ผิดปกติมากที่ร้านอาหารจะปิดในเวลานี้
มู่ไป๋ไป่มีสีหน้าเคร่งเครียดและถามอย่างเป็นกังวลว่า “แล้วอย่างไรอีก?”
“จากนั้นจื่อเฟิงก็ได้ยินใครบางคนพูดว่าครอบครัวร่ำรวยที่แซ่เสิ่นมีเด็กหายตัวไป” หลัวเซียวเซียวย้ำสิ่งที่จื่อเฟิงบอกนางเมื่อครู่นี้ “เขายังบอกด้วยว่าเด็กที่หายไปในครั้งนี้อายุมากกว่าปีที่แล้วมาก”
“จื่อเฟิงเดาว่าคนที่ถูกลักพาตัวไปอาจจะเป็นคุณชายเสิ่น เขาจึงรีบกลับมาแจ้งข่าวเพคะ”
มู่ไป๋ไป่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกจากห้องด้านในไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบกับจื่อเฟิงที่ยืนอยู่ตรงประตู และเขาก็เดินเข้ามาหาเธอทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้า
“ท่านเก่งมาก” เด็กหญิงเขย่งเท้าเอื้อมมือไปตบไหล่เพื่อชมเชยอีกฝ่าย “ดูเหมือนว่าอาหารทุกอย่างที่ท่านกินเข้าไปจะไม่สูญเปล่า”
หลังจากเด็กหนุ่มได้รับคำชมจากเธอ เขาก็หัวเราะอย่างมีความสุข
“องค์หญิงหกเพคะ คุณชายเสิ่นเกิดเรื่องแล้ว เราจะต้องไปช่วยเหลือเขาหรือไม่?” หลัวเซียวเซียวที่ตามมาด้านหลังเอ่ยปากถาม
“ช่วยสิ แน่นอนว่าข้าต้องช่วยเขา” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา “พี่จวินเฉาคือเทพเจ้าแห่งโชคลาภของข้า”
“หากมีเรื่องเกิดขึ้นกับเทพเจ้าแห่งโชคลาภ มันก็ไม่มีเหตุผลที่ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย”
เธอเคยทำการค้ากับเสิ่นจวินเฉาเพียงครั้งเดียวก็สามารถร่ำรวยได้แล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาจริง ๆ ในอนาคตเธอจะไปหาคนที่ร่ำรวยและคุยง่ายได้จากที่ไหนอีก
“เซียวเซียว ไปเอาพู่กันกับกระดาษมาให้ข้า ข้าอยากเขียนจดหมายถึงท่านพ่อ” ในทุก ๆ ปีเมืองหลวงจะต้องมีเด็กหายตัวไป แต่น้ำเสียงของไทเฮาบ่งบอกว่าพระนางเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก
จากจุดนี้บ่งบอกได้ว่าเรื่องดังกล่าวคงรายงานไปไม่ถึงวังหลวง
เรื่องที่ร้ายแรงเช่นนี้เกิดอยู่ใต้จมูกของฮ่องเต้ แต่ฮ่องเต้กลับถูกปิดหูปิดตาไว้ แล้วชาวบ้านจะคิดว่าอย่างไรกัน?
เมื่อหลัวเซียวเซียวคาดเดาได้ว่าองค์หญิงกำลังคิดอะไรอยู่ นางก็ตอบรับจากนั้นก็ไปหยิบกระดาษกับพู่กันมาให้อย่างรวดเร็ว แล้วกางมันออกวางบนโต๊ะหินในสวน
มู่ไป๋ไป่ยกพู่กันขึ้นมาแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มเขียนตัวหนังสือที่คดเคี้ยว
2 เค่อต่อมา จดหมายที่เขียนด้วยลายมือขององค์หญิงหกก็ถูกส่งไปที่วังหลวงโดยองครักษ์อย่างลับ ๆ
“แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปเพคะ?” หลัวเซียวเซียวยังคงรู้สึกสงสัย “เราจะรอให้ฝ่าบาทสั่งการสอบสวนเรื่องนี้หรือไม่?”
“แน่นอนว่าเราไม่สามารถทนรออยู่เฉย ๆ ได้หรอก” มู่ไป๋ไป่ยิ้มมีเลศนัย “ท่านพ่อจะต้องให้ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ตอบคำถามหลังจากได้รับจดหมายของข้าแน่นอน”
“เมื่อท่านพ่อแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่ข้าบอกนั้นเป็นความจริง เขาก็จะส่งคนไปสอบสวนอีกครั้ง ซึ่งเวลาที่ใช้ไม่รู้ว่าจะเป็นปีหรือเป็นเดือน”
“องค์หญิงหกหมายความว่าอย่างไรเพคะ?” หลัวเซียวเซียวมีลางสังหรณ์บางอย่าง “เราจะทำการสืบสวนเงียบ ๆ ใช่หรือไม่เพคะ?”
มู่ไป๋ไป่ยิ้มเจ้าเล่ห์ในขณะที่กล่าวว่า “สมแล้วที่เจ้าติดตามข้ามานาน ตอนนี้เจ้าสามารถเดาความคิดของข้าได้เก่งขึ้นเรื่อย ๆ”
“ใช่ เราจะต้องทำงานทั้ง 2 ด้าน”
“ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่าการหายตัวไปของพี่จวินเฉากับการหายตัวไปของเด็กพวกนั้นมีคนร้ายเป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่”
“ถูกต้อง” หลัวเซียวเซียวพยักหน้าเห็นด้วย “ก่อนที่คุณชายเสิ่นจะหายตัวไป ส่วนใหญ่แล้วเด็กที่หายไปจะอายุพอ ๆ กับหม่อมฉัน”
“ไม่เป็นไร” มู่ไป๋ไป่ปรบมือ “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าก็ต้องแจ้งให้ท่านพ่อทราบเรื่องนี้เสียก่อน”
“สำหรับเรา ดูเหมือนว่าวันนี้เราต้องลงจากภูเขาแล้ว”
“จื่อเฟิง” จากนั้นเด็กหญิงก็หันไปพูดกับเด็กหนุ่ม “อย่าแอบกินนะ ไปเก็บของแล้วลงภูเขาไปกับข้า”
…
ขณะเดียวกัน ณ วังหลวง
ในตำหนักของฮ่องเต้ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าสีดำกำลังนั่งไขว่ห้างจิบชา ท่าทางสบาย ๆ ของเขาดูไม่เข้ากับห้องโถงอันโอ่อ่านี้เลย แต่คนที่นั่งอยู่บนจุดสูงสุดกลับไม่สนใจ เขาเพียงแค่พลิกฎีกาที่อยู่ในมือ และบางครั้งเขาก็จะพูดกับเด็กหนุ่มคนนั้น 2-3 คำ
“เหตุใดวันนี้เจ้าถึงกลับมาเยี่ยมเราได้ล่ะ?”
“เราคิดว่าเจ้าลืมพี่ชายคนนี้ไปเสียแล้ว”
เด็กหนุ่มในชุดดำวางถ้วยชาลงเบา ๆ ในขณะที่ยกยิ้มมุมปาก “เสด็จพี่ให้คนส่งจดหมายถึงข้า 3-4 ฉบับทุก ๆ เดือน ข้าคงไม่อาจลืมแม้ว่าจะอยากลืมมากเพียงใดก็ตาม”
มู่เทียนฉงชะงักพู่กันในมือ แล้วเงยหน้ามองดูน้องชายที่อายุน้อยกว่าเขาถึงครึ่งชีวิต ก่อนจะถอนหายใจ “ถังอี้ เจ้าเป็นน้องชายของเรา วังหลวงแห่งนี้คือบ้านของเจ้า เจ้าจะไปตะลอน ๆ อยู่ข้างนอกทั้งปีได้อย่างไร”
“เสด็จพี่ เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น” เซียวถังอี้พูดขัดขึ้นมาพร้อมกับยักไหล่
“ถังอี้…” จู่ ๆ ฮ่องเต้หนุ่มก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาจึงยกมือขึ้นนวดขมับ “ในตอนนั้น อดีตฮ่องเต้ได้นำกองกำลังไปบุกศัตรูและถูกล้อมเอาไว้ ถ้าเจ้าไม่บังเอิญผ่านไปพบแล้วพยายามล่อศัตรูให้เข้าไปในหุบเขาลึกสร้างโอกาสให้อดีตฮ่องเต้สามารถเอาชนะกองทัพศัตรูได้ในคราวเดียว หากวันนั้นไม่สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาชนะได้ แคว้นเป่ยหลงคงจะไม่มีวันสงบสุขอย่างเช่นทุกวันนี้”
“อดีตฮ่องเต้เคยตรัสเอาไว้แล้วว่าหากไม่มีเจ้า ก็คงจะไม่มีแคว้นเป่ยหลง”
“พระองค์อยากให้เราดูแลเจ้าเหมือนน้องชาย…”
“เสด็จพี่!” เซียวถังอี้รีบทำท่าทางหยุดอีกฝ่าย “การแสดงความรู้สึกเช่นนี้ไม่สมกับเป็นพระองค์จริง ๆ รีบพูดมาตามตรงเถอะ ทำไมพระองค์ถึงเรียกข้ากลับมาเช่นนี้?”
ย้อนกลับไปในตอนนั้น เขาบังเอิญผ่านไปช่วยอดีตฮ่องเต้เอาไว้ และยังทำให้พระองค์เอาชนะศัตรูได้
อดีตฮ่องเต้เห็นว่าเขาไม่มีพ่อหรือแม่จึงรับเขากลับมาเลี้ยงดูอยู่เคียงข้างกาย
ในตอนนั้นอดีตฮ่องเต้ทรงปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นลูกชายของตนเองคนหนึ่ง แล้วก็ทำให้มู่เทียนฉงปฏิบัติกับเขาเหมือนกับเป็นน้องชาย แต่เขาไม่ชอบถูกกักขังในสถานที่แห่งนี้
ดังนั้นหลังจากที่เขาโตขึ้นมาหน่อย เขาก็วิ่งวุ่นออกไปนอกวังอยู่ทุกวัน
และในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาก็มักจะอาศัยอยู่นอกวังหลวง
“นี่เจ้า…” มู่เทียนฉงจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “คิดอยากจะพูดกับเจ้าดี ๆ แต่ก็ไม่เคยพูดกันได้เกิน 2-3 ประโยคสักที เจ้านี่มันจริง ๆ เลย”
เซียวถังอี้ทำเพียงแค่ยิ้ม ในขณะที่ใบหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นเย็นชาครู่หนึ่ง เพราะเขาก็ไม่สามารถเสแสร้งแกล้งทำได้อีกต่อไปเช่นกัน
แม้ว่าทั้ง 2 จะไม่ใช่พี่น้องทางสายเลือด แต่พวกเขาก็นับว่ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
“เจ้าเองก็ถึงวัยแต่งงานได้แล้ว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่อยู่นอกวังหลวงเจ้าเจอคนเข้าตาบ้างหรือไม่?” มู่เทียนฉงเดินลงมาจากที่นั่งแล้วไปนั่งลงข้าง ๆ น้องชายบุญธรรมโดยไม่สนใจความแตกต่างระหว่างกษัตริย์กับขุนนางเลยสักนิด “ถ้าเจ้ามีก็รีบไปสู่ขอเร็วเข้า ตอนที่เราอายุเท่าเจ้า เราก็มีองค์ชายตัวน้อย ๆ เรียบร้อยแล้ว”
“เหตุใดพระองค์ถึงได้รีบร้อนเช่นนี้” เซียวถังอี้ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจขณะพูดกับเขา “ข้าไม่ได้จะต้องสืบทอดบัลลังก์สักหน่อย”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: คาดไม่ถึงกับตัวตนของคุณชายเซียวเลยนะเนี่ย ไม่คิดว่า 2 คนนี้จะมีความสัมพันธ์กันแบบนี้!