200 - ไม่เป็นเสนาบดีกรมคลังแล้ว!
200 - ไม่เป็นเสนาบดีกรมคลังแล้ว!
การยกยอต้องรู้จักประมาณ พอดีคือพอดี ไม่ควรเกินความพอดี ซึ่งฉินโม่เข้าใจดี
เขาพาทุกคนไปยังพื้นที่ส่วนสำคัญที่สุดของฟาร์ม เมื่อเปิดประตูเข้าไป อากาศภายในห้องร้อนจนทำให้ทุกคนเริ่มมีเหงื่อออก
"เจ้าโง่ ที่นี่ทำไมมันร้อนขนาดนี้!" หลี่เยว่ร้อนจนอยากจะถอดเสื้อ
ตู้จิ้งหมิงมองไปรอบๆ และเห็นไข่ไก่จำนวนมากวางอยู่บนชั้นวาง "ไข่มากขนาดนี้ ไม่กลัวโดนอบจนสุกหรือ?"
"ที่นี่เป็นพื้นที่สำคัญที่สุดของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ นี่คือห้องฟักไข่!" ฉินโม่ชี้ไปที่ไข่ไก่ที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ "ไข่พวกนี้ผ่านการคัดเลือกแล้ว อุณหภูมิในห้องนี้จำลองจากอุณหภูมิที่แม่ไก่ใช้ฟักไข่ ดังนั้นที่นี่ไม่ควรให้ใครเข้าออกตามใจชอบ เพื่อรักษาอุณหภูมิให้คงที่
โดยปกติจะใช้เวลายี่สิบเอ็ดวันในการฟักไข่ไก่ หลังจากฟักออกมาแล้ว เราจะเริ่มใส่ไข่รุ่นใหม่ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
ในตอนนี้เรายังไม่มีประสบการณ์มากนัก แต่เมื่อเรามีประสบการณ์เพียงพอ การฟักไข่หลายล้านฟองต่อปีจะไม่ใช่เรื่องยากเลย"
เสียงสูดลมหายใจดังขึ้นพร้อมกันจากทุกคน เป็นที่เข้าใจแล้วว่าทำไมฉินโม่ถึงบอกว่าที่นี่จะสามารถผลิตไก่ได้หลายล้านตัวต่อปี
"ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าใช้วิธีเดียวกับที่ใช้ในการปลูกผักในเรือนกระจกใช่ไหม?" หลี่ซื่อหลงถามด้วยสายตาเป็นประกาย
"หลักการเดียวกัน แต่การฟักไข่มีขั้นตอนมากมาย ถึงแม้ว่าที่นี่จะยังไม่สมบูรณ์แบบ ข้าคงต้องค่อยๆ ปรับปรุงไป อย่างไรก็ตาม หากไข่ชุดนี้ฟักออกมาครึ่งหนึ่งก็ถือว่าสำเร็จแล้ว!"
ตู้จิ้งหมิงอดไม่ได้ที่จะถาม "จริงหรือที่ไม่ต้องใช้แม่ไก่ในการฟักไข่?"
"คอยดูกันต่อไปเถอะ!" ฉินโม่ตอบโดยไม่อธิบายมากนัก
ไต้เว่ยที่เคยสงสัยฉินโม่ ตอนนี้ก็เริ่มมองเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป แม้จะยังไม่แน่ใจว่าฉินโม่คุยโวหรือไม่ แต่สิ่งที่เขาทำก็ดูเป็นไปได้และมีเหตุผล ถ้าสำเร็จจริงๆ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์นี้จะสร้างรายได้มหาศาล เช่นนี้แล้ว กรมคลังจะสามารถหาทางเข้ามามีส่วนร่วมได้หรือไม่?
รายได้หลายล้านตำลึงจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์นั้น เขาย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไป!
คิดได้ดังนั้น ไต้เว่ยรีบกล่าว "ฝ่าบาท กระหม่อมมีข้อเสนอแนะ!"
"ว่ามา!" หลี่ซื่อหลงกล่าว
"ฟาร์มเลี้ยงสัตว์นี้เป็นครั้งแรกที่เปิดขึ้น และฉินโม่เองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะทำได้ดีหรือไม่ กระหม่อมคิดว่าควรให้กรมคลังส่งคนมาช่วยงาน เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ!" ไต้เว่ยกล่าวอย่างนอบน้อม
หลี่เยว่หน้าถอดสี ฟาร์มนี้เป็นของฉินโม่และถูกสร้างขึ้นเพื่อเขา ไต้เว่ยคงกำลังยื่นมือเข้ามายุ่มย่ามเกินไป
ไม่ทันที่หลี่เยว่จะกล่าวอะไร ฉินโม่ก็กล่าวตัดบททันที "ใครต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า? ข้าบอกหรือว่าขาดคน? ฟาร์มนี้ข้าเปิดเอง เจ้าจะเข้ามาช่วยทำไม?
เจ้าส่งคนเข้ามา ก็แปลว่าต่อไปเจ้าจะเข้ามามีส่วนร่วมใช่ไหม? ข้าขอบอกไว้เลย ข้าจะปิดฟาร์มนี้ทิ้งเสียยังดีกว่าปล่อยให้ใครมาแทรกแซง กิจการที่บ้านเจ้า เจ้าให้ข้าส่งคนไปช่วยไหม?"
ไต้เว่ยไม่คิดว่าฉินโม่จะกล้ากล่าวจาตรงขนาดนี้ ทำเอาเขาหน้าแดงด้วยความอับอาย
"เจ้า...เจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้า บ้านข้ามีธุรกิจอะไรบ้าง? ที่มีก็เป็นของที่ฝ่าบาทประทานให้!"
"เจ้ากล่าวจาไร้สาระ ข้าไม่ใช่เด็ก ฟาร์มนี้ข้ากับหลี่เยว่เปิดเอง ท่านพ่อตาข้าก็ไม่แทรกแซง แล้วเจ้าคิดว่าจะมาแทรกแซงได้หรือ?
ไม่มีทาง! เจ้าและพวกของเจ้า มีอะไรไปถึงก็เสียหายหมด วันๆ เอาแต่เพ่งเล็งข้าวของของคนอื่น ข้ารู้สึกอายแทนพวกเจ้าจริงๆ! ชาวนาในอาณาจักรถือเป็นกลุ่มคนที่ยากจนที่สุดแล้ว แต่พวกเจ้ากลับไม่มีปัญญารีดภาษีคนอื่น วันๆ เอาแต่รีดภาษีชาวนาจนพวกเขาไม่มีอะไรจะกิน!"
"เจ้า...เจ้า...เจ้าบ้านี่! การเก็บภาษีจากผลผลิตข้าวนั้นถูกต้องตามธรรมเนียม จะมาโทษข้าได้อย่างไร?" ไต้เว่ยโกรธจนจมูกแทบจะบิดงอ
"เพราะอย่างนี้ข้าถึงบอกว่าเจ้าไม่มีประโยชน์อะไรเลย ตัวเจ้าเป็นเสนาบดีกรมคลังแต่กลับไม่คิดหาเงินเข้าคลังหลวง ตั้งแต่ยุคโบราณก็เอาแต่เก็บภาษีชาวนา ถ้าเสนาบดีกรมคลังไม่มีความคิดใหม่ๆ ในการหาเงินเข้าคลังหลวงและใช้แต่วิธีการเดิมๆ เช่นนั้นจะเอาหมูหมาที่ไหนมาทำก็ได้!"
หลี่เยว่ฟังแล้วรู้สึกสะใจมาก ฉินโม่กล่าวออกมาได้ตรงใจเหลือเกิน
แม้แต่หลี่ซื่อหลงเองก็รู้สึกสะใจ เพราะเขาอยากด่าไต้เว่ยมานานแล้ว ทุกครั้งที่ขอเงินจากกรมคลัง ก็แทบไม่มีเงินหลงเหลืออยู่สักที
สองปีที่ผ่านมา แม้แต่เงินเดือนของขุนนางก็ยังจ่ายไม่ครบ ทำให้เขาในฐานะฮ่องเต้ต้องลดรายจ่ายในชีวิตประจำวันลงมาก สถานการณ์นี้ชวนอึดอัดใจอย่างยิ่ง
ถ้าไม่มีฉินโม่ เขาคงยังยากจนอยู่อย่างนี้แน่
"เจ้า... เจ้านี่มันเกินไปแล้ว!" ไต้เว่ยโกรธจัดจนระเบิดออกมา "เหตุที่กรมคลังไม่มีเงิน ก็เพราะสงครามที่ต่อเนื่องหลายปี ฝ่าบาททรงเมตตาราษฎร ลดภาษีลงต่อเนื่อง สภาพอากาศก็ไม่ดี ทำให้เก็บภาษีได้น้อย เงินที่เก็บมาใช้ก็ไม่เพียงพอ
ข้าคนเดียวคงไม่สามารถทำอะไรได้ หากเจ้ามีความสามารถมากนัก ก็เอาตำแหน่งเสนาบดีกรมคลังไปทำแทนข้าสิ ข้าไม่ทำแล้ว!"
พูดจบ ไต้เว่ยก็ทรุดตัวลงคุกเข่า "ฝ่าบาท กระหม่อมขอสละตำแหน่งให้ฉินโม่ หากเขาทำได้ตามที่กล่าว กระหม่อมยินดีเป็นคนรับใช้เขาตลอดไป!"
เมื่อเห็นไต้เว่ยทำเช่นนี้ หลี่ซื่อหลงรู้ว่าต้องหยุดเล่นสนุก เขาจึงหันไปด่าฉินโม่ว่า
"เจ้าโง่ ถ้าไม่มีใต้เท้าไต้คุมกรมคลัง จะเอาเงินที่ไหนไปทำสงครามนอกอาณาจักร? ยังไม่รีบขอโทษใต้เท้าไต้อีก!"
"ข้าไม่ขอโทษ!" ฉินโม่หันหน้าหนี "ข้ากล่าวความจริง เขาเป็นเสนาบดีกรมคลังแต่บริหารเงินจนย่ำแย่ เขายังกล้ามาบ่นอีก ข้าอายแทนเขาเหลือเกิน!"
"เจ้านี่มันเจ้าโง่จริงๆ!"
หลี่ซื่อหลงตีหัวฉินโม่เบาๆ จนฉินโม่ร้องออกมาอย่างเจ็บปวดพร้อมน้ำตา
จากนั้นหลี่ซื่อหลงก็หันไปกล่าวกับไต้เว่ยว่า "หมิงไถ(ชื่อรองของไต้เว่ย) เจ้าอย่าไปถือสาเจ้าโง่คนนี้เลย เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย กล่าวไปก็แค่นั้น ข้าจะสั่งให้ฉินเซียงหรูจัดการลงโทษเขาเอง!"
ไต้เว่ยยังคงโมโห "ฝ่าบาท กระหม่อมขอลาออก กระหม่อมไร้ความสามารถ ไม่อาจทำหน้าที่เสนาบดีกรมคลังต่อไปได้แล้ว!"
"หมิงไถ ข้าก็โดนเจ้าโง่คนนี้ทำให้โกรธอยู่บ่อยๆ เจ้าอย่าไปถือสาเขาเลย จะให้ข้าก้มขอโทษเจ้าไหม เจ้าถึงจะหายโกรธ?"
เมื่อหลี่ซื่อหลงกล่าวพร้อมยกมือขึ้นคล้ายจะคำนับ ไต้เว่ยรีบกล่าวด้วยความตกใจ "ฝ่าบาท อย่าได้ทรงทำเช่นนั้น!"
ตู้จิ้งหมิงก็รีบกล่าวเสริม "หมิงไถอย่าไปถือสาเจ้าฉินโม่เลย ถ้าเจ้าโกรธใส่เขาแล้วชนะ ผู้คนก็จะกล่าวว่าเจ้าขาดความใจกว้าง แต่ถ้าแพ้ ผู้คนจะกล่าวว่าเจ้าไม่มีปัญญาแม้แต่จะเอาชนะคนโง่ เรื่องนี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย?"
ไต้เว่ยหัวเราะแห้งๆ "กระหม่อมฝึกความอดทนมาไม่เพียงพอ ทำให้ฝ่าบาท เยว่อ๋อง และใต้เท้าตู้ต้องหัวเราะเยาะ"
ฉินโม่ที่ยืนจับหัวอยู่แสดงสีหน้าเศร้าเสียใจ แต่ในใจกลับรู้สึกสะใจ พร้อมทั้งหันไปมองไต้เว่ยด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย ความคิดของเขาที่จะไม่ยอมให้ไต้เว่ยเข้ามาแทรกแซงยังคงชัดเจน
หลี่ซื่อหลงตบมือไหล่ของไต้เว่ยเบาๆ ก่อนจะหันไปด่าฉินโม่อีกครั้ง แล้วกล่าวว่า "เอาล่ะเจ้าโง่ ต่อไปเราจะไปไหนกันต่อ?"
แต่ใครจะคิดว่า ฉินโม่จะตอบด้วยความโกรธว่า "ไม่ไปแล้ว ข้าไม่ไปที่ไหนอีกทั้งนั้น!"
…………..