บทที่ 9 วัยหนุ่มสาว
บทที่ 9 วัยหนุ่มสาว
เฉินเฉิง ไม่สามารถกลับบ้านพร้อมกับ โจวหยวนได้ เขาจึงเดินช้า ๆ กลับบ้านพลางชื่นชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนของ อันเฉิงในช่วงสิบปีก่อน แม้เมืองอันเฉิงในตอนนั้นจะยังไม่มีตึกสูงใหญ่เหมือนในยุคหลัง ตึกที่สูงที่สุดก็เพียงแค่ยี่สิบหรือสามสิบชั้นเท่านั้น และยังมีไม่กี่แห่ง ส่วนใหญ่เป็นอาคารเตี้ย ๆ ที่มีเพียงไม่กี่ชั้นขึ้น ๆ ลง ๆ
แต่อันเฉิงแบบนี้นี่เองที่เป็นความทรงจำในวัยหนุ่มของเฉินเฉิง
ไม่มีแสงไฟสว่างไสวเหมือนยุคหลัง บรรยากาศของเมืองทั้งเมืองดูเงียบเหงาในสายลมฤดูใบไม้ร่วง
ไฟถนนสีเหลืองริบหรี่สลับสว่างและดับ ในยุคที่ความปลอดภัยยังไม่ดีนัก การที่แม่ของ เฉินชิง กังวลว่าเฉินชิงจะไม่ปลอดภัยหากเดินกลับบ้านคนเดียวในตอนกลางคืน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ในความเป็นจริง บ้านของพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก
โรงเรียนมัธยมปลายอันเฉิงเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดในเมือง มีประวัติยาวนานเกือบร้อยปี ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีพอสมควร ถือว่าอยู่ในย่านที่ค่อนข้างคึกคักของเมือง
ต่างจากโรงเรียนมัธยมอื่น ๆ แม้กระทั่งโรงเรียนมัธยมอันเฉิงสี่ ที่ชื่อเสียงและคุณภาพการสอนกำลังไล่ตามมา ก็ยังตั้งอยู่ในย่านที่ค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมือง
เพราะอยู่ใกล้กัน เฉินเฉิงและเพื่อน ๆ จึงไม่จำเป็นต้องขี่จักรยานกลับบ้าน แม้ว่าเขาจะเดิน ถ้าเดินตรงกลับบ้านโดยไม่หยุดแวะเล่นระหว่างทาง จะใช้เวลาเพียงสิบกว่านาทีเท่านั้นก็ถึงบ้าน
สำหรับบางคนที่อยู่ไกลจากโรงเรียน ต้องใช้เวลาขี่จักรยานราวสองถึงสามสิบนาทีเพื่อกลับบ้าน ดังนั้นนักเรียนบางคนแม้จะอาศัยอยู่ในเมือง แต่ก็เลือกพักในโรงเรียนเพื่อความสะดวก จะกลับบ้านในช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้น
เฉินเฉิงได้ยินคนพูดถึง เจียงลู่ซี ว่าบ้านของเธออยู่ไกลจากโรงเรียนมาก แม้จะขี่จักรยานก็ต้องใช้เวลาขี่เกือบชั่วโมง แต่ที่แปลกก็คือ เธอกลับไม่เลือกพักที่โรงเรียน สำหรับเฉินเฉิงแล้ว ให้เขาขี่จักรยานไปกลับสองชั่วโมงทุกวัน เขาทำไม่ได้แน่นอน
อากาศยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วงเริ่มเย็น เฉินเฉิงสวมเพียงเสื้อเชิ้ตบาง ๆ เมื่อโดนลมพัดก็รู้สึกหนาว เขาจึงเร่งฝีเท้าเพื่อกลับบ้าน
แต่เมื่อมาถึงหน้าบ้าน เฉินเฉิงกลับหยุดเดิน
มีคำหนึ่งที่เรียกว่า "ใกล้บ้านยิ่งหวั่นไหว"
เมื่อมาจากปี 2023 กลับมายังปี 2010 กลับมาบ้านอันอบอุ่นในความทรงจำอีกครั้ง และกำลังจะได้พบกับพ่อแม่ที่ยังอยู่ในวัยกลางคน เฉินเฉิงย่อมไม่อาจไม่ตื่นเต้นได้
แม้จะรวมถึงชีวิตก่อนหน้านี้ด้วย เฉินเฉิงก็ไม่ได้พบพ่อแม่ของเขามานานมากแล้ว เพื่อไม่ให้พ่อแม่เร่งรัดให้แต่งงาน และไม่อยากฟังคำบ่นจากญาติ ๆ ในครอบครัว อีกทั้งเขายังงานยุ่งมาก นอกจากช่วงเทศกาลปีใหม่ เวลาปกติเฉินเฉิงก็แทบไม่กลับบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่พ้นการจัดการของแม่ที่นัดดูตัวให้เขา
ในชีวิตก่อนที่จะเกิดใหม่ การนัดดูตัวแบบนั้นเกิดขึ้นเกือบทุกเดือน เฉินเฉิงไม่อยากขัดใจแม่ จึงไปพบคู่ดูตัวอย่างไม่เต็มใจ
การที่เขาอายุ 30 แล้วยังไม่แต่งงาน ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากแต่ง แต่เพราะไม่เจอใครที่ถูกใจ
ในยุคที่ทุกอย่างหมุนเวียนด้วยวัตถุ การจะหาคนที่ใช่สำหรับตัวเองเป็นเรื่องที่ยากมาก นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนที่มีคุณสมบัติดีมากมายกลับไม่อยากแต่งงาน ใคร ๆ ก็อยากพบคนที่ตนเองรักและคน ๆ นั้นก็รักตัวเอง แต่คนแบบนี้หายากมาก
“ทำไมเฉินเฉิงยังไม่กลับบ้านอีก” นี่เป็นเสียงของ เติ้งอิง แม่ของเฉินเฉิง
“รีบอะไรนัก เฉินเฉิงเลิกเรียนแล้วยังต้องไปส่ง เฉินชิงก่อน คงยังไม่กลับมาเร็วหรอก” นี่เป็นเสียงของ เฉินชวนพ่อของเฉินเฉิง
“ก็จริงนะ ถ้าสุดท้ายเฉินเฉิงได้แต่งงานกับเสี่ยวชิงจริง ๆ ก็ดีไป ฉันยิ่งชอบเด็กคนนี้มากขึ้นทุกวัน ฉลาด ว่องไว หน้าตาก็ดี แถมฐานะทางบ้านก็ดีด้วย พวกเราก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว” เติ้งอิงพูดด้วยเสียงหัวเราะ
“แต่ถ้าเขาเรียนเก่งกว่านี้สักหน่อย ฉันคงจะเชื่อคำพูดเธอแล้ว ดูสิผลการเรียนเขาน่ะเป็นยังไง บ้าน เฉินซื่อ นั่นเป็นครอบครัวนักวิชาการ มีหวังซะที่ไหน พอเถอะพอเถอะ อย่าพูดเรื่องนี้เลย พอพูดแล้วฉันก็หงุดหงิด” พ่อของเฉินเฉิงพูดด้วยความไม่พอใจ
“ผลการเรียนแล้วไง? ผลการเรียนมันกินเป็นข้าวได้หรือไง เธอเองก็เรียนจบแค่มัธยมต้น ตอนนี้ก็ยังมีชีวิตดีอยู่ไม่ใช่เหรอ?” เติ้งอิงพูดด้วยความไม่พอใจ
“เขาจะมีตาถึงและโชคดีเหมือนฉันเหรอ? ฉันโชคดีได้เจอช่วงปฏิรูปเศรษฐกิจ จึงได้หาเงินก้อนแรกมา จากนั้นก็ได้ใช้โอกาสจากนโยบายดี ๆ ในบ้านเกิดจนตั้งตัวได้” เฉินชวนพูด
“ตอนนั้นพอหาเงินมาได้ ยังมีคนใจแคบมองว่าทำไมได้หาเงินในเมืองใหญ่แล้วยังกลับมาพัฒนาเมืองเล็ก ๆ ในบ้านเกิดด้วย ฉันทะเลาะกับเธอเรื่องนี้ทุกวัน ถ้าตอนนั้นฉันเชื่อเธอล่ะก็ ป่านนี้บ้านเราจะมีอย่างทุกวันนี้ได้ไหม?” เฉินชวนพูดด้วยเสียงหงุดหงิด
“พอเถอะ หยุดโม้ได้แล้ว ฉันมั่นใจว่าลูกชายของฉันจะเก่งกว่าเธอแน่” เติ้งอิงขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นว่า “เธอว่าใครใจแคบกันแน่?”
“ใครล่ะ จะเป็นใครได้ ก็ฉันน่ะสิ!” เฉินชวนพูดพร้อมยิ้มแหย
เฉินเฉิงที่ยืนฟังอยู่ข้างนอกมานานได้แต่ยิ้มบาง ๆ อย่างอ่อนใจ จากนั้นเขาก็ผลักประตูเข้าไป
การเถียงแบบนี้มีมาตั้งแต่เขายังเด็ก และก็ไม่เคยหยุด
แต่ไม่ว่าจะเถียงกันหนักหนาแค่ไหน คนที่ต้องขอโทษทุกครั้งก็จะเป็นพ่อของเขา
“พ่อ แม่ ผมกลับมาแล้ว” เฉินเฉิงพูดพลางกลั้นน้ำตา เขายิ้มให้พ่อแม่ที่นั่งรอเขากลับมาจากโรงเรียนอยู่บนโซฟา
หากเป็นแค่พ่อแม่ในยุคหลัง เฉินเฉิงก็คงจะรู้สึกตื่นเต้น แต่คงไม่ถึงขั้นอยากร้องไห้เช่นนี้ แต่พ่อแม่ที่เขาเห็นตอนนี้ คือพ่อแม่ที่มีใบหน้าในวัยหนุ่มสาวที่ปรากฏในความทรงจำในวัยหนุ่มของเขา ซึ่งทำให้เขาหวนคิดถึงความทรงจำมากมาย
ความทรงจำเหล่านี้ยากที่จะเกิดขึ้น แม้แต่ในความฝันก็แทบไม่มีโอก
าสคิดถึงพวกเขา
เราอาจจะฝันถึงโรงเรียนเก่า ฝันถึงเด็กสาวที่เราเคยชอบในสมัยเรียน หรือฝันถึงเรื่องราวโง่ ๆ ที่เคยทำในวัยเด็ก แต่เรามักจะฝันถึงใบหน้าหนุ่มสาวของพ่อแม่ในความทรงจำวัยเยาว์น้อยมาก
ในโลกนี้ ไม่มีใครที่ใช้เวลากับเรามากกว่าพ่อแม่แล้ว ดังนั้นเมื่อความทรงจำถาโถมเข้ามา แต่ละภาพที่เคยผ่านมาจึงได้รวมกันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานกว่ายี่สิบปี ซึ่งทำให้เฉินเฉิงรู้สึกซาบซึ้งมากในตอนนี้
การเกิดใหม่ ไม่ได้ปลุกความทรงจำในแค่ชีวิตในโรงเรียนเท่านั้น
มันยังปลุกให้เขานึกถึงเมืองที่เคยอยู่ เรื่องราวโง่ ๆ ที่เคยทำ ภาพถ่ายที่เหลืองเก่าในความทรงจำ เพลงและละครที่เคยชอบดูในช่วงเวลานั้น รวมถึงพ่อแม่ที่ยังหนุ่มสาวในตอนนั้น
สิ่งเหล่านี้รวมกันเป็นวัยหนุ่มสาวของเรา