บทที่ 254 เริ่มต้นออกเดินทางไปสนามม้า
อย่างน้อยที่สุด ท่านตา พี่ชาย และท่านแม่ รวมถึงทุกคนในครอบครัวก็ยังมีชีวิตอยู่ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ซูเยี่ยคิดว่าซูเล่อหยุนอาจนึกถึงเรื่องในอดีต ความหม่นหมองฉายผ่านในแววตาของเขา แต่ก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
ซูเยี่ยส่งซูเล่อหยุนกลับถึงเรือน แล้วจึงกลับไปที่ห้องของตนเอง
"คุณชาย" ชิงอู่รออยู่ข้างนอกเพื่อช่วยซูเยี่ยเปลี่ยนเสื้อผ้า
"น้ำสำหรับอาบถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ ท่านไปอาบน้ำก่อนเถิด"
"อืม" ซูเยี่ยพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนที่มือของเขาจะหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง "สองคนนั้นมีข่าวบ้างหรือยัง"
"ทางเย่ว์โหลวยังไม่ได้ส่งคนมา คาดว่ายังคงหาไม่พบ"
"เข้าใจแล้ว เจ้าไปพักผ่อนได้ วันนี้เจ้าก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว"
ชิงอู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เห็นใบหน้าของซูเยี่ยสงบนิ่ง จึงไม่ได้ปฏิเสธ "เช่นนั้น ข้าขอตัวไปพักก่อน"
ซูเยี่ยอาบน้ำล้างตัวอย่างรวดเร็ว พอเดินออกมาจากหลังฉากกั้น เขาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
"ใครน่ะ"
"คุณชายซู"
หลิวเฟิงก้าวออกมาจากมุมหนึ่ง ในมือของเขาถือจดหมายฉบับหนึ่งไว้
"เจ้ามาที่นี่ทำไม" ซูเยี่ยถามอย่างประหลาดใจ ขณะหยิบเสื้อมาคลุมตัว
หลิวเฟิงยื่นจดหมายให้ "นี่คือจดหมายที่นายท่านของข้าสั่งให้ข้านำมาให้ท่าน"
เมื่อซูเยี่ยรับจดหมายมา หลิวเฟิงก็จากไปทันที
เขานั่งลงที่โต๊ะ แกะจดหมายออกมาอ่าน เพียงแค่อ่านได้ไม่กี่บรรทัด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
เขาขยำจดหมายในมือ แล้วโยนมันลงบนโต๊ะ
หลังจากเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ซูเยี่ยก็หยิบจดหมายขึ้นมาอีกครั้ง ค่อยๆคลี่กระดาษออกและอ่านซ้ำอย่างละเอียด
"บ้าชะมัด!"
เขากระซิบกับตัวเองก่อนลุกขึ้นมาเตรียมน้ำหมึก แล้วหยิบกระดาษอีกแผ่นขึ้นมาเพื่อเขียนบางอย่าง
ภายใต้แสงเทียนที่สั่นไหว ความเงียบงันแผ่ซ่านทั่วทั้งห้อง มีเพียงเสียงขีดเขียนบนกระดาษที่ลอยออกไปตามสายลม ยิ่งเบาบางเมื่อถูกพัดออกไปไกล
เช้าวันรุ่งขึ้น ชุ่ยหลิ่วได้นำข่าวมาบอก
ซูเล่อหยุนกำลังนั่งอยู่หน้ากระจกขณะให้เหลียนซินจัดแต่งทรงผม
"คุณหนู ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวานคุณชายหลี่รุ่ยสลบไปทั้งวันและยังไม่ฟื้นเลย ตอนนี้หมอหลายคนต่างก็พากันไปที่บ้านตระกูลหลี่"
ชุ่ยหลิ่วพูดพลางส่งปิ่นปักผมให้เหลียนซิน
เมื่อจางมามาเข้ามา ได้ยินที่ชุ่ยหลิ่วพูด นางมองไปทางชุ่ยหลิ่วพร้อมตำหนิว่า
"เจ้าเด็กคนนี้ อย่าเอาเรื่องอะไรก็ไม่รู้มาพูดต่อหน้าคุณหนู คุณชายตระกูลหลี่เกิดเรื่องขึ้น แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณหนูของเรา"
หลี่รุ่ยและซูหว่านเอ๋อร์ ไม่เคยเป็นที่โปรดปรานของคุณหนูของเราเลย จะพูดถึงทำไมกันล่ะ
“บ่าวปากไว พูดผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” ชุ่ยหลิ่วรีบคุกเข่าขอโทษด้วยความรู้สึกผิด
ซูเล่อหยุนยิ้มแล้วพูดว่า "มามา ชุ่ยหลิ่วก็แค่เห็นว่าข้าเบื่อเลยเล่าเรื่องให้ข้าฟัง ลุกขึ้นเถอะ"
ชุ่ยหลิ่วเหลือบมองซูเล่อหยุน ก่อนจะหันไปมองจางมามา จากนั้นถึงได้ลุกขึ้น นางรู้ว่าคุณหนูไม่ได้โกรธ เพียงแต่คิดว่าข่าวนี้จะทำให้คุณหนูดีใจจึงพูดออกไป
ซูเล่อหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองกระจก หลี่รุ่ยเกิดเรื่องอะไรอีกนะ
“คุณหนู ข้าทำให้ท่านเจ็บหรือเปล่าเจ้าคะ”
เหลียนซินถามขึ้นเมื่อคิดว่าตนเองเผลอดึงผมของซูเล่อหยุน
ซูเล่อหยุนส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไร”
อยู่ในห้องพักได้ไม่นาน ซูเล่อหยุนก็รู้สึกอึดอัด จึงลุกขึ้นออกไปข้างนอก
ชุ่ยหลิ่วและเหลียนซินเดินตามหลังไป
พอเดินไปอย่างไร้จุดหมาย ซูเล่อหยุนได้ยินเสียงจากที่ไกลๆ เมื่อเดินไปใกล้ ก็เห็นซุนอวี้เซวียนกำลังถือดาบไม้ ซ้อมกระบวนท่าอย่างตั้งใจตามที่ซูเยี่ยสอน
เมื่อซุนอวี้เซวียนเห็นคนเดินเข้ามาใกล้ เขาหันศีรษะไปมองและยิ้มอย่างสดใส
“พี่เล่อหยุน”
ซูเยี่ยฝึกกระบวนดาบจนจบแล้วจึงเก็บดาบ ก่อนจะหันไปมองซูเล่อหยุน
“ทำไมเช้าขนาดนี้ก็ออกมาแล้ว”
ซูเล่อหยุนเดินเข้ามาพร้อมกับส่งผ้าเช็ดหน้าให้ “พอตื่นแล้วก็ออกมาเดินเล่น ข้างในห้องไม่มีอะไรทำนะเจ้าค่ะ”
ซูเยี่ยรับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
“พี่เล่อหยุน พี่ใหญ่กำลังสอนข้าฝึกดาบ ท่านอยากดูหรือไม่”
ซุนอวี้เซวียนตื่นเต้นเมื่อมีคนมาชมการฝึกฝนของเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ
เมื่อเห็นใบหน้าแดงเรื่อและท่าทีตื่นเต้นของเขา ซูเล่อหยุนกับซูเยี่ยมองหน้ากันแล้วก็ยิ้มออกมา
“ได้สิ พี่จะนั่งดูเจ้าอย่างตั้งใจเลย”
ซูเล่อหยุนนั่งลงที่ม้านั่งข้างๆ ขณะที่ซุนอวี้เซวียนยืดตัวตรง มือของเขาจับดาบไม้อย่างมั่นคงและออกท่าอย่างคล่องแคล่ว
แม้จะยังเด็ก แต่การร่ายรำดาบของเขานั้นชัดเจนและกระฉับกระเฉง
ดวงตาของซุนอวี้เซวียนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ท่าทางแต่ละอย่างแสดงออกถึงท่าทางของผู้สืบสกุลในตระกูลทหารอย่างชัดเจน
เมื่อเขาร่ายดาบจบ ซุนอวี้เซวียนเก็บดาบและมองซูเล่อหยุนด้วยความหวัง
ซูเล่อหยุนดึงเขาเข้ามาใกล้ๆ พลางเช็ดเหงื่อบนหน้าผากและพูดว่า
“พี่อาจไม่เข้าใจเรื่องนี้มากนัก แต่ก็เคยเห็นพี่ซูเยี่ยฝึก เจ้าร่ายดาบเกือบเทียบเท่าพี่ซูเยี่ยแล้วนะ”
“จริงหรือ”
ดวงตาของซุนอวี้เซวียนสว่างไสว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความดีใจที่ไม่อาจปิดบังได้
เมื่อเห็นท่าทีของเขา ซูเยี่ยจึงหยอกล้อขึ้นมา
เขาเก็บดาบเข้าฝักแล้วพูดว่า “พี่สาวเจ้าพูดเพื่อให้เจ้าดีใจเท่านั้น”
“อ๊ะ?” ซุนอวี้เซวียนเสียงเต็มไปด้วยความผิดหวัง
ซูเล่อหยุนทั้งขำและรู้สึกดีใจในเวลาเดียวกัน เนางตบไหล่ของซุนอวี้เซวียนแล้วพูดว่า "อย่าไปฟังพี่ซูเยี่ยนะ พี่สาวเคยโกหกเจ้าหรือ?"
"…ไม่เคย"
ซุนอวี้เซวียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัวหนักแน่น
จากนั้นเขาหันไปมองซูเยี่ี่ย เห็นซูเย่ยิ้มอย่างเต็มที่ ถึงแม้จะยังเด็กแต่เขาก็เริ่มเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
"พี่ซูเยี่ย ท่านหลอกข้า!"
เด็กน้อยอารมณ์เสียอยู่แค่ครู่เดียว เมื่อได้ยินว่าซูเยี่ยจะพาเขาไปขี่ม้า ซุนอวี้เซวียนก็ลืมความโกรธไปหมดสิ้น
หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ เขาก็เริ่มกระตือรือร้นวิ่งไปหาแล้วถามว่า "พี่ซูเยี่ย เมื่อไหร่พวกเราจะไปขี่ม้าเล่า"
"รอให้เจ้าหลับพักผ่อนก่อน ตื่นมาเมื่อไหร่เราจะไปกัน"
"งั้นข้าไม่พักแล้ว ไปตอนนี้เลยดีกว่า!"
เมื่อเห็นท่าทีเร่งรีบของเขา ซูเยี่ยและซูเล่อหยุนต่างหันมามองหน้ากันแล้วหัวเราะ
ฉินจื่อเหยียนเข้ามาดึงตัวซุนอวี้เซวียนไว้ "ถ้าเจ้าไม่พัก แต่พี่ชายพี่สาวก็ต้องพักสิ"
“เจ้าก็ไม่อยากเผลอหลับบนหลังม้าใช่ไหม รอให้เจ้าพักผ่อนพอแล้วเราจะไปสนามม้ากัน”
ซูเล่อหยุนพูดพลางนั่งย่อลง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซุนอวี้เซวียนก็พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะถูกสาวใช้พาตัวกลับไปพักผ่อน
เมื่อพักผ่อนเพียงพอแล้ว ซูเยี่ยและซูเล่อหยุนก็เดินมาถึงประตูพอดี เห็นซุนอวี้เซวียนวิ่งออกจากห้องมาทั้งที่เสื้อผ้ายังใส่ไม่เรียบร้อย
สาวใช้วิ่งตามมาอย่างทุลักทุเลกว่าจะจับตัวเขาได้
“พวกเรากำลังจะออกเดินทางหรือยังขอรับ”
ปกคอเสื้อของซุนอวี้เซวียนถูกสาวใช้จับไว้แน่น แต่ศีรษะของเขายังหันไปทางซูเยี่ยและซูเล่อหยุน
“รอเจ้าแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนแล้วเราจะไปกัน” ซูเยี่ยตอบ
ฉินจื่อเหยียนและซุนเจียงหรูไม่ได้ไปด้วย เนื่องจากทั้งสองคนไม่ชอบขี่ม้า อีกทั้งตอนนี้พวกเขากำลังเตรียมงานแต่งงานของซุนจางผิงกับจางซูซู จึงไม่อยากเสียเวลาไปกับเรื่องอื่นๆ ดังนั้นมีเพียงซูเล่อหยุน ซูเยี่ย และซุนอวี้เซวียนที่ออกเดินทางไปด้วยกัน
ซูเยี่ยขี่ม้าอยู่ข้างหน้า ส่วนซูเล่อหยุนและซุนอวี้เซวียนนั่งอยู่ในรถม้า
ซุนอวี้เซวียนชะโงกหน้าออกมามองซูเยี่ยที่ขี่ม้าอย่างตื่นเต้นเป็นระยะ ดวงตาเต็มไปด้วยความหวัง
เขาเคยขี่ม้าตอนอยู่ที่ตะวันตกเฉียงเหนือ แต่หลังจากกลับมาก็ไม่ได้ขี่อีก พอซูเยี่ยกลับมาและจะพาเขาไปขี่ม้า ซุนอวี้เซวียนก็รู้สึกดีใจมาก
“พี่เล่อหยุน ท่านขี่ม้าเป็นหรือเปล่า” ซุนอวี้เซวียนหันไปถามซูเล่อหยุน