บทที่ 21 อดีตของท่านอา
บทที่ 21 อดีตของท่านอา
เลอเอินจิง......ท่านอา??
หลังจากได้ยินแบบนั้น
ทุกอย่างก็เงียบสงบลง
เจียงเสี่ยวหรูมองเย่เหรินทางซ้าย มองจ้าวแห่งหมอกมัวทางขวา เธอเลือกที่จะยืนอยู่ข้างๆ อย่างชาญฉลาด เธอเริ่มศึกษาไม้เท้าของตัวเอง
ส่วนจ้าวแห่งหมอกมัว เธอยังคงถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีเทา มันทำให้ไม่มีใครมองไม่เห็นสีหน้าของเธอออก
ไม่นานนัก
จ้าวแห่งหมอกมัวก็ถอนหายใจออกมา “ช่างเถอะ”
พูดจบ ดินแดนหมอกมัวก็สลายไปราวกับควัน
พวกเขาทั้งสามคนกลับมายังห้องเดิม
หมอกสีเทารอบตัวจ้าวแห่งหมอกมัวก็สลายไป
เจียงเสี่ยวหรูแอบมองด้วยหางตา เธอตกตะลึง
ตอนนี้เอง
หญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงนั้น
เธอสวมใส่ชุดยาวรัดรูป
เรือนร่างของเธองดงามจนน่าทึ่ง
แม้จะอยู่ใต้แสงไฟสีขาวในห้อง แต่ผิวขาวๆ ของหญิงสาวยังคงเปล่งประกายออกมา
ผมยาวหยักศกของเธอดูเหมือนน้ำตก มันตกลงมาบนแขนของเธออย่างแผ่วเบา ใบหน้าของเธอสวยสง่า เธอแต่งหน้าจัด
ริมฝีปากสีแดงเพลิง สวยงาม
ถ้าเลอวั่นอี้คือดอกบัวหิมะบนภูเขาน้ำแข็ง หญิงสาวตรงหน้าก็คงจะเป็นกุหลาบที่กำลังเบ่งบาน
มีเสน่ห์เย้ายวนใจ น่าหลงใหล และอันตราย
ใครจะไปคิดว่า ใต้หมอกควันนั้นจะมีหญิงสาวที่สวยงามราวกับนางฟ้าซ่อนอยู่
หญิงสาวมีสีหน้าที่ซับซ้อน “เธอยังคงฉลาดเหมือนอย่างเคย เสี่ยวหรัน...”
พูดจบหญิงสาวก็หยิบเอาบุหรี่ออกมาจากมือของเธอ เหมือนนักมายากลกำลังจะแสดงมายากล เธอจุดมันแล้วเอาเข้าปาก “บอกมาสิ เธอรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าเป็นฉัน?”
เย่เหรินมองหญิงสาวตรงหน้า เขาตอบกลับ “ตั้งแต่ที่ท่านอาโกรธแล้วตีจางเจ๋อตอนที่พวกเราเดินเข้ามา...”
เย่เหรินเดาได้ยังไง? ความจริงแล้ว มันถูกเขียนเอาไว้ในข้อมูลของโรงเตี๊ยมอิสระที่ระบบมอบให้เขา
เลอเอินจิง หนึ่งในปรมาจารย์ผู้เลิศล้ำทั้งสามของโรงเตี๊ยมอิสระ อัจฉริยะรุ่นก่อนของตระกูลเลอ เธออกจากตระกูลเลอด้วยสถานการณ์พิเศษ เธอยอมรับมรดกจากรูปปั้นผู้ส่งสารแห่งหมอกมัวในโรงเตี๊ยมอิสระ และก้าวข้ามขีดจำกัดจนกลายเป็นปรมาจารย์ผู้เลิศล้ำ
เย่เหรินกำลังมองหาคำตอบและเบาะแส และเขาค้นพบอะไรบางอย่าง
“ท่านอาเอินจิง ท่านอาโจมตีจางเจ๋อตั้งแต่ที่พวกเรายังไม่ทันได้เข้าไปใกล้ จุดประสงค์ที่แท้จริงของท่านอาคือการหยุดพวกเราเอาไว้ในระยะสิบเมตร ท่านอากลัวว่าคนของตระกูลเลอจะได้รับผลกระทบ ถ้าหากเข้ามาใกล้เกินไป”
เย่เหรินวิเคราะห์อย่างช้าๆ
“หลังจากนั้น ท่านอาก็แกล้งทำเป็นหงุดหงิด ไล่เลอวั่นอี้และคนอื่นๆ ออกไป”
“ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอายังสามารถบอกได้ทันทีว่าผมมาจากตระกูลเย่ และในขณะเดียวกัน ตอนที่ผมกำลังจะก้าวข้ามขีดจำกัด ท่านอาก็ยังพูดคำว่า ‘บุ่มบ่าม’ ออกมา ทั้งๆ ที่ไม่ได้สังเกตการณ์ผมอย่างละเอียด แสดงให้เห็นว่าท่านอารู้จักผมเป็นอย่างดี...”
เย่เหรินพูดต่ออย่างมั่นใจ “ผู้หญิงที่รู้จักผมดีขนาดนี้ ไม่ได้อยู่ในตระกูลใหญ่ และยังพยายามหลีกเลี่ยงการติดต่อกับเลอวั่นอี้ ท่านอาเอินจิง นอกจากท่านอาแล้ว ผมคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าจะเป็นใคร...”
เลอเอินจิงได้ยินการวิเคราะห์ของเย่เหริน เธอขยี้ผมหยิกของตัวเองด้วยความรำคาญ
“ประหลาดคนจริง...นายน่ะยังมีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้ ทั้งๆ ที่กำลังจะก้าวข้ามขีดจำกัด...”
เลอเอินจิงสูบบุหรี่เพื่อปกปิดความเขินอายของตัวเอง
การที่เด็กหนุ่มระดับทองสามารถรู้ทันเธอ ผู้ซึ่งเป็นปรมาจารย์ผู้เลิศล้ำ มันเป็นเรื่องที่น่าอายมาก
เลอเอินจิงเป็นคนที่ยอมรับความจริงได้ เธอไม่ได้สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้
เธอกลับพูดอย่างใจเย็น
“ช่างเถอะ เจ้าหนูน้อยอย่างนายฉลาดมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ไม่แปลกใจเลยที่นายจะรู้ทันฉัน แต่ฉันไม่คิดจะไปพบกับวั่นอี้หรอกนะ ฉันไม่ได้เป็นคนของตระกูลเลออีกต่อไปแล้ว”
เย่เหรินมองท่าทางของเลอเอินจิงแล้วคิดอะไรมากมาย
การที่เย่เหรินเรียกเลอเอินจิงว่าท่านอา ก็แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างตระกูลเย่และตระกูลเลอ
เย่เหรินจึงรู้เรื่องของเลอเอินจิงเป็นอย่างดี
เลอเอินจิงก็เหมือนกับเลอวั่นอี้ในตอนนี้
เป็นคนที่ทั้งเก่งและสวยงาม
เป็นที่รักของพระเจ้า มีข้อดีมากมาย
โดยเฉพาะทักษะที่สืบทอดกันมาในตระกูลเลอ: ชิงซินฉินผู
เธอสามารถส่งผลต่อวิญญาณของปรมาจารย์ระดับเพชรได้ เธอเคยถูกขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะของพรรค เป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับยาก
พรสวรรค์ของเธอเหนือกว่าเลอวั่นอี้ในตอนนี้ด้วยซ้ำ
แต่สวรรค์ย่อมมีสมดุล
พระเจ้ามอบข้อดีมากมายให้กับเลอเอินจิง แต่กลับมอบความรักที่ไม่อาจลืมเลือนให้
เธอตกหลุมรักชายธรรมดาคนหนึ่ง หวังเซียงเหอ
เรื่องนี้ทำให้เกิดความโกลาหลทันทีที่ถูกเปิดเผย
แม้แต่ในยุคแห่งความเปิดกว้าง ความรักระหว่างตระกูลใหญ่กับคนธรรมดาก็ยังคงเป็นเรื่องยาก
ยิ่งไปกว่านั้น ในยุคของเลอเอินจิง
เมื่อเรื่องราวถูกเปิดเผย เลอเอินจิงก็ถูกกักบริเวณในบ้านโดยหัวหน้าตระกูลเลอ ปู่ของเลอวั่นอี้
เลอเอินจิงก็ยอมรับข้อตกลงที่หัวหน้าตระกูลเลอกำหนด เพื่อที่จะปกป้องหวังเซียงเหอ
แต่ครึ่งเดือนต่อมา
เลอเอินจิงได้รับข่าวการเสียชีวิตของหวังเซียงเหอ เลอเอินจิงเสียใจมาก เธอทะเลาะกับพ่อของเธอ
หลังจากการทะเลาะกัน
เลอเอินจิงก็หายตัวไปจากตระกูลเลอ
“ท่านอาเอินจิง ท่านอาก็รู้ดีว่าตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น เหตุผลที่ท่านปู่เลอทำแบบนั้น ก็เพื่อปกป้องท่านอา” เย่เหรินพูดออกมา
แนวคิดในยุคนั้นค่อนข้างจะสุดโต่ง ตระกูลใหญ่ให้ความสำคัญกับฐานะของครอบครัวมากกว่าสิ่งอื่นใด
หากเกิดเหตุการณ์ที่ตระกูลใหญ่ตกหลุมรักคนธรรมดา
พวกเขาก็จะต้องถูกตระกูลใหญ่อื่นๆ เยาะเย้ย บางคนก็ถึงกับโดนทำร้าย
เหตุผลที่หัวหน้าตระกูลเลอเลือกที่จะกักบริเวณลูกสาวเอาไว้ ความจริงแล้วก็เพื่อที่จะปกป้องลูกสาวของตัวเอง
“เธอน่ะพูดถูก ท่านพ่อปกป้องฉันมาโดยตลอด” เลอเอินจิงพ่นควันบุหรี่ออกมา
“เวลาก็ผ่านไปเกือบ 20 ปีแล้ว ผิดหรือถูกมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ฉันขี้เกียจจะสนใจมันแล้ว” เลอเอินจิงพูดต่อ “แต่ถึงแบบนั้นฉันก็ยังรังเกียจพวกมัน พวกตระกูลใหญ่ที่ชอบทำตัวเป็นคนดี พวกมันพร่ามถึงความยุติธรรม แต่เบื้องหลังของพวกมันกลับให้ความสำคัญกับผลประโยชน์”
เลอเอินจิงมองเย่เหริน “เสี่ยวหรัน นายก็คงจะรู้สึกเหมือนกันกับฉัน”
เย่เหรินยิ้มอย่างขมขื่น
เป็นเพราะพลังที่ตัวเขามี ตระกูลเย่จึงไม่สนใจเขา
แม้จะเป็นถึงทายาท แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ
แบบนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับตระกูลใหญ่อื่นๆ
เลอเอินจิงมองเย่เหริน เธอพูดต่ออย่างสะใจ
“แต่ครั้งนี้ตระกูลเลออาจจะตัดสินใจผิดพลาดจริงๆ พวกมันปล่อยมังกรตัวจริงไป ฉันล่ะอยากเห็นสีหน้าของท่านพ่อจริงๆ เมื่อรู้ว่านายข้ามขีดจำกัดได้”
ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่อยู่กับเย่เหริน
ในฐานะปรมาจารย์ผู้เลิศล้ำ เลอเอินจิงมั่นใจว่า เย่เหรินคือมังกรที่แท้จริง
ไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาจะต้องก้าวเข้าสู่ใจกลางของโลก
ถ้าพวกตระกูลเลอรู้ว่า พวกมันพลาดมังกรตัวจริงไป พวกมันคงจะเสียใจมากจนต้องกระอักเลือดแน่ๆ