ตอนที่แล้วบทที่ 107 ข้าเข้าใจแล้ว! 
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 109 ร่วมเดินทางกับศิษย์พี่ใหญ่   

บทที่ 108 วันนี้ข้าได้เป็นศิษย์พี่ 


เมื่อสวี่หยวนเจินเข้ามาในห้อง บรรยากาศที่อบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิก็ถูกปกคลุมด้วยความเย็นขึ้นทันที

เล่ยจวินรู้สึกคุ้นเคยกับการมาๆไปๆอย่างกระทันหันของศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้ จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจเท่าไรนัก เขากลับโบกมือให้สวี่หยวนเจินแทน

“แขกผู้มีเกียรติมาเยือน!”

สวี่หยวนเจินเดินผ่านเล่ยจวินและตบมือของเขาออก

“ไม่ต้องมาทำเป็นเล่นเลย”

หยวนโม่ไป๋ยิ้ม

“ศิษย์หลานหยวนเจินกลับมาแล้วหรือ?”

สวี่หยวนเจินนั่งลง

“ข้ากำลังจะไปเดินเล่นที่สุสานบรรพชนหลังภูเขา แต่พอดีกับพิธีมอบตำรา ข้าจึงไม่รีบไปนักรอให้พิธีเสร็จสิ้นก่อนค่อยออกเดินทางอีกครั้ง”

ทั้งเล่ยจวินและหยวนโม่ไป๋ต่างรู้ดีว่าเป้าหมายของการไปสุสานบรรพชนไม่ใช่เพื่อเยี่ยมหลี่เจิ้งเสวียน

ดูเหมือนว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการค้นหาดาบเทียนซือที่หายไป

แม้ว่าจะมีคนรู้เรื่องนี้ไม่มาก แต่ตราประทับเทียนซือที่หายไปก็ได้ถูกค้นพบแล้วและตอนนี้สวี่หยวนเจินเปลี่ยนเป้าหมายการตามล่ามาเป็นดาบเทียนซือ

“ศิษย์หลานรู้เรื่องของศิษย์น้องจงซานหรือไม่?” หยวนโม่ไป๋ถาม

สวี่หยวนเจินพยักหน้า

“ข้าเคยได้ยินมา แต่ไม่ได้สนใจมากนัก”

หยวนโม่ไป๋จ้องมองนาง

สวี่หยวนเจินตอบ

“ถ้าหลี่เจิ้งเสวียนไป ข้าคงจะสนใจมากกว่านี้”

ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงที่นั่งอยู่ด้านข้างอดหัวเราะไม่ได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น

เล่ยจวินได้แต่คิดในใจ ศิษย์พี่ใหญ่นี่คงจะสนใจแค่เรื่องความวุ่นวายไม่ใช่เรื่องอื่น

แต่ก็นะ... บางทีวันนั้นอาจจะมาถึงก็ได้…

อย่างที่สวี่หยวนเจินกล่าวไว้ตอนนี้จักรพรรดิกำลังสร้างหน่วยปราบปีศาจขึ้นใหม่ ซึ่งยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น

การชักเย่อและต่อสู้ระหว่างจักรพรรดิและตระกูลใหญ่จะยังคงมีต่อไป

จึงเกิดการแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่าย หนึ่งคือหน่วยงานสว่างอีกหนึ่งคือหน่วยงานลับ

นอกจากนายพลซั่งกวนที่เป็นหัวหน้าสร้างหน่วยปราบปีศาจ ยังไม่มีผู้บำเพ็ญขั้นสูงระดับสามชั้นฟ้ามาร่วมด้วย

เมื่อใดที่สามารถเชิญผู้บำเพ็ญขั้นสูงหลายคนมาร่วมงานได้ เมื่อนั้นละครฉากใหญ่จะเริ่มขึ้นอย่างแท้จริง

“จักรพรรดิน่าจะมีการเคลื่อนไหวทางเหนือในเร็วๆนี้” สวี่หยวนเจินพูดเบาๆ

หยวนโม่ไป๋พยักหน้าเห็นด้วย

ทางใต้ตระกูลหลินแห่งเจียงโจวตกต่ำลงและไร้ผู้นำ

แต่เมื่อแรงกดดันจากภายนอกถึงขีดสุด มันอาจทำให้พวกเขารวมตัวกันอีกครั้ง

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผู้ฝึกฝนจากหลายฝ่ายจับจ้องไปที่เจียงโจว

หากราชวงศ์ต้าถังพยายามทำอะไรบางอย่างทางเหนือแทนก็จะทำให้กดดันน้อยลง

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านไปยังที่ต่างๆมากมาย เคยพบของที่มีพลังหยินแท้บ้างหรือไม่?”เล่ยจวินถาม

เขาเล่าถึงดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์เจินหยางให้สวี่หยวนเจินฟัง

“ของที่มีพลังหยินแท้นั้นหายาก แต่ข้าก็เจอบ้าง” สวี่หยวนเจินตอบ

“แต่ข้าไม่แน่ใจว่ามันจะเหมาะกับเจ้าหรือไม่”

ขณะพูดนางก็หยิบของสิ่งหนึ่งออกมา

เล่ยจวินมองไปที่สิ่งนั้นอย่างตั้งใจ...มันคือสมุนไพรวิเศษชนิดหนึ่ง

เถาของมันยาวใบมีน้อย

แม้ในห้องที่มีแสงสว่างจ้า สมุนไพรนี้กลับดูเหมือนเงาลึกลับ มันบิดตัวไปมาในฝ่ามือของสวี่หยวนเจิน ราวกับมีชีวิตและพยายามจะพันรอบมือของนาง

“หญ้าเงาผีหรือ?”

หยวนโม่ไป๋แสดงความประหลาดใจเล็กน้อย

“ข้าคิดว่ามันสูญพันธุ์ไปนานแล้ว”

สวี่หยวนเจินตอบ

“ข้าพบมันโดยบังเอิญในหุบเขาฉีหลัวแห่งภูเขายวี่เผิง ที่อยู่ทางเหนือของแม่น้ำใหญ่ เพิ่งเจอมันเมื่อไม่นานมานี้ ข้าก็ประหลาดใจเหมือนกันที่ได้เจอ”

เล่ยจวินสัมผัสได้ถึงพลังหยินแท้ที่ซ่อนอยู่ในสมุนไพรนี้

แต่โชคร้ายตราประทับแท้จริงของเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง

สมุนไพรนี้ไม่ใช่ของที่สามารถใช้ร่วมกับดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์เจินหยางในตราประทับแท้จริงได้

“ช่วงนี้คงหายากที่จะหาเจอของที่เหมาะสม” สวี่หยวนเจินพูด

อย่างไรก็ตามนางก็ยังมีข่าวดีอยู่บ้าง

ในพื้นที่ใกล้ยอดเขาหยกซินของป่าไผ่ทางใต้ กำลังเกิดสถานที่ที่มีพลังหยินแท้ แต่ต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะสมบูรณ์

ทางตอนเหนือของทุ่งกว้าง มีทะเลสาบน้ำแข็งซึ่งก้นทะเลสาบมีหินพลังหยินแท้ปรากฏให้เห็นในช่วงหน้าร้อน แต่ตอนนี้เป็นฤดูหนาวจึงไม่มีอะไรให้เห็น

...พื้นที่ที่ท่านเดินทางไปช่างกว้างใหญ่จริงๆ

เล่ยจวินฟังสวี่หยวนเจินเล่าอย่างละเอียด เขารู้สึกไม่ใช่แค่มีตัวเลือกมากขึ้น แต่ก็ยังทึ่งกับความสามารถในการเดินทางไปทั่วของศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้

ดูเหมือนว่านางจะไม่มีเป้าหมายอะไรเป็นพิเศษ แค่เดินทางไปเรื่อยๆอย่างสบายใจ

เล่ยจวินรู้สึกอยากจะมีชีวิตที่ผ่อนคลายเช่นนี้บ้าง

หลังจากที่ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปสักครู่ เล่ยจวินก็ตั้งสติกลับมาและเริ่มศึกษาสถานที่ทั้งสองที่สวี่หยวนเจินพูดถึง

หากพื้นที่พลังหยินแท้ในป่าไผ่ทางใต้ยังไม่สมบูรณ์ เขาสามารถปล่อยมันไว้ก่อน

ส่วนทางเหนือไกลเกินไปและฤดูกาลก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน...

ทันใดนั้นหยวนโม่ไป๋ถามขึ้น

“ศิษย์หลานหยวนเจิน เจ้าเจอมังกรไร้เขาหัวใจเพลิงใกล้หญ้าเงาผีหรือไม่?”

“ข้าไม่เห็นร่องรอยของมัน” สวี่หยวนเจินตอบ

“หญ้าเงาผีก็เพิ่งจะปรากฏให้เห็นแวบเดียวและข้าก็จับมันไว้ได้ทันที”

นางเริ่มสนใจ

“โอ้? หรือว่ามังกรไร้เขาหัวใจเพลิงกับหญ้าเงาผีจะปรากฏพร้อมกัน? ข้าไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย”

หยวนโม่ไป๋กล่าว

“ในคัมภีร์ของสำนักเราไม่มีบันทึกไว้เพราะทั้งสองสิ่งนี้หายไปนานแล้ว”

สวี่หยวนเจินกล่าว

“ข้าเคยได้ยินเรื่องหญ้าเงาผีบ่อย แต่มังกรไร้เขาหัวใจเพลิงนั้นหายากนัก มีข่าวลือว่ามันมีพลังหยางแท้หากเป็นเช่นนั้นก็อาจจะสอดคล้องกับหญ้าเงาผีได้จริง ๆ”

นางหันไปมองเล่ยจวิน

“หากมังกรไร้เขาหัวใจเพลิงและหญ้าเงาผีปรากฏพร้อมกัน นั่นแปลว่าทั้งสองสิ่งนี้สอดคล้องกันโดยธรรมชาติไม่แปลกที่หญ้าเงาผีไม่เข้ากับดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์เจินหยางของเจ้า”

เล่ยจวินยิ้มและยักไหล่

“ยังไม่ต้องรีบตัดชื่อหุบเขาฉีหลัวแห่งภูเขายวี่เผิงพีออกจากรายชื่อไป” หยวนโม่ไป๋กล่าว

“เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นหยินและหยางเข้ากันได้พอดีนั้นหายากมาก สำหรับเจ้าแล้วสิ่งนี้อาจมีประโยชน์”

เล่ยจวินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกครุ่นคิด

สวี่หยวนเจินจ้องมองหยวนโม่ไป๋และมองเล่ยจวินอีกครั้งก่อนถามว่า

“เจ้าลงมือหล่อเลี้ยงพลังแล้วหรือยัง?”

“ยังเลย”

เล่ยจวินตอบ

“เดิมข้าตั้งใจจะเริ่มหลังพิธีมอบตำรา”

สวี่หยวนเจินหันไปมองหยวนโม่ไป๋อีกครั้ง

“ท่านจะใช้หญ้าเงาผีและมังกรไร้เขาหัวใจเพลิงเพื่อปรับสมดุลพลังสายฟ้าแห่งฟ้าสูงและพลังไฟหยินจากใจกลางโลกใช่ไหม?”

นางเดาความคิดของหยวนโม่ไป๋ได้

คำพูดของนางยืนยันกับสิ่งที่เล่ยจวินสงสัยอยู่ในตอนนี้

หยวนโม่ไป๋กล่าว

“จะลองดูก็ไม่เสียหาย”

สวี่หยวนเจินจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับกำลังไตร่ตรองอะไรบางอย่าง

แม้ว่าจะยังไม่พบมังกรไร้เขาหัวใจเพลิง แต่เพราะมันเข้าคู่กับหญ้าเงาผีนางจึงพอจะคาดเดาได้

หลังจากพิจารณาร่วมกับพลังสายฟ้าแห่งฟ้าสูงและพลังไฟหยินจากใจกลางโลกแล้วสวี่หยวนเจินหันกลับมาพยักหน้า

“น่าจะเป็นไปได้”

เมื่อได้รับคำยืนยันจากนาง หยวนโม่ไป๋หันไปหาเล่ยจวิน

“ก่อนหน้านี้ ศิษย์พี่ของเจ้าบอกเจ้าเกี่ยวกับอันตรายของการหล่อเลี้ยงพลังหยินและหยางพร้อมกัน เขาพูดถูกทุกอย่าง แต่อย่างไรก็ตามหากเจ้าสามารถใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เหมาะสมในการปรับสมดุลพลังทั้งสองนี้ได้ มันอาจทำให้ข้อเสียกลายเป็นข้อดีได้แน่นอน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าเอง เจ้าจะเลือกหล่อเลี้ยงแค่พลังสายฟ้าแห่งฟ้าสูงหรือพลังอื่นก็ได้ ไม่มีปัญหา”

ในตอนนี้เล่ยจวินเริ่มเข้าใจแล้วว่าเซียมซีระดับสูงปานกลางที่ตนเคยเห็นนั้นหมายถึงเรื่องนี้

ไม่แปลกใจเลยที่ต้องรอจนหลังปีใหม่

ก่อนที่สวี่หยวนเจินจะกลับมา นางอาจไม่เจอหญ้าเงาผี

ตามที่นางบอก นางเพิ่งไปถึงหุบเขาฉีหลัวก่อนจะกลับภูเขาไม่นานานและเห็นหญ้าเงาผีเพียงแวบเดียวก่อนจะจับมันได้

หากไปก่อนหน้านี้ นางอาจจะพลาดมันไป

หลังจากได้รับคำอธิบายจากหยวนโม่ไป๋ เล่ยจวินก็เข้าใจว่าเพื่อใช้ประโยชน์จากหญ้าเงาผีและมังกรไร้เขาหัวใจเพลิงในการปรับสมดุลพลังหยินและหยาง ต้องเตรียมตัวก่อนที่จะเริ่มหล่อเลี้ยงพลัง

หากเขาหล่อเลี้ยงพลังจากสายฟ้าแห่งฟ้าสูงหรือไฟหยินจากใจกลางโลกไปแล้ว มันจะสายเกินไปที่จะใช้หญ้าเงาผีและมังกรไร้เขาหัวใจเพลิง

พลังหยินและหยางจะไม่สามารถปรับสมดุลกันได้และเขาจะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการฝึกฝน

ถึงแม้จะได้ประโยชน์ในเรื่องของพลังที่เพิ่มขึ้น แต่กระบวนการฝึกจะช้าลงและยากขึ้นซึ่งโดยรวมแล้วจะไม่คุ้มค่า

แน่นอนว่าเขายังสามารถเลือกฝึกเฉพาะพลังสายฟ้าแห่งฟ้าสูงได้ โดยไม่แตะต้องพลังหยินเลย

นี่คงเป็นความหมายของเซียมซีระดับกลางที่บอกว่า “การพัฒนาภายหลังขึ้นอยู่กับใจ”

และเมื่อเขารอจนถึงตอนนี้ โดยที่ยังไม่ได้เริ่มหล่อเลี้ยงพลัง เขาก็ได้เจอหญ้าเงาผีที่นำมาปรับสมดุลพลังหยินและหยางได้

จากนี้ไป การหล่อเลี้ยงพลังหยินและหยางพร้อมกันจะไม่ใช่อุปสรรคต่อการฝึกฝนของเขาอีกต่อไป แต่กลับจะเร่งความเร็วในการฝึกฝนตราประทับพลังของเขาและประหยัดเวลาได้มากมาย

นอกจากนี้ เขายังสามารถเพลิดเพลินไปกับผลประโยชน์จากการหล่อเลี้ยงพลังทั้งสองอย่างที่ช่วยเพิ่มพลังได้เช่นเดิม

เหมือนครั้งที่เขาเข้าไปในเหมืองหินหมึกเขียว

ผลดีที่ได้เข้ามาอยู่ในมือ

ผลเสียถูกกำจัดออกไป

นี่คือเส้นทางที่เล่ยจวินชอบ

“หญ้าเงาผี มังกรไร้เขาหัวใจเพลิง...”

สวี่หยวนเจินมองไปที่สมุนไพรในมือ

“น่าสนใจ ข้าคงได้เจอของล้ำค่าเข้าแล้ว”

นางยื่นสมุนไพรให้เล่ยจวิน

“หลังพิธีเสร็จ ข้าจะไปหามังกรไร้เขาหัวใจเพลิงต่อที่หุบเขาฉีหลัว”

ในน้ำเสียงของนางแสดงถึงความสนใจมากกว่าปกติ

ในตอนนี้ดูเหมือนว่ามังกรไร้เขาหัวใจเพลิงตัวเล็กๆ นั้นจะดึงดูดใจนางมากกว่าดาบเทียนซือเสียอีก

ทันใดนั้นนางก็ขมวดคิ้ว

“เดี๋ยวก่อน ทำไมข้ารู้สึกว่าพลังไฟหยินจากใจกลางโลกนั้นไม่ค่อยเสถียรนัก? พวกเจ้าเสริมพิธีกรรมปิดผนึกมันกี่ชั้นแล้ว?”

หยวนโม่ไป๋ถอนหายใจ

“นั่นคือสิ่งที่ข้ากำลังจะบอก พวกเราเพิ่งพบว่า พลังไฟหยินจากใจกลางโลกกำลังจะหมด ข้ากับศิษย์พี่และศิษย์น้องได้ใช้วิชาเพื่อควบคุมสถานการณ์ไว้ชั่วคราว แต่จะขาดวัตถุดิบที่เพียงพอ”

“หากเจ้าเลือกหล่อเลี้ยงพลังไฟหยินจากใจกลางโลกแรกๆ อาจจะยังไม่มีปัญหา แต่หลังจากตราประทับพลังที่สามแล้วอาจจะไม่สามารถหล่อเลี้ยงต่อได้” หยวนโม่ไป๋กล่าว

เล่ยจวินพยักหน้าเข้าใจ

คำเตือนในเซียมซีระดับต่ำปานกลางเกี่ยวกับพลังไฟหยินจากใจกลางโลก มีความจริงซ่อนอยู่

“เกี่ยวข้องกับการต่อสู้บนภูเขาครั้งก่อนหรือไม่?” สวี่หยวนเจินถาม

หยวนโม่ไป๋พยักหน้า

“ใช่แล้ว มันกระทบกับเส้นพลังของภูเขาและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่มีศิษย์หลายคนที่กำลังหล่อเลี้ยงพลังนี้ พวกเราจึงให้ความสำคัญกับพวกเขาก่อน”

หยวนโม่ไป๋ยิ้มอย่างขมขื่น

“หากไม่เพียงพอ เราคงต้องปวดหัวกันอีกมาก”

เขาหันไปหาเล่ยจวิน

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะเดินทางไปกับศิษย์พี่หยวนเจินไหม? หลังจากที่เจ้าพบมังกรไร้เขาหัวใจเพลิง แล้ว เจ้าอาจไปที่ถ้ำสวรรค์ฉีหยวน หรือสถานที่อื่นเพื่อหล่อเลี้ยงพลังหยินก่อน จากนั้นค่อยกลับมาหล่อเลี้ยงพลังสายฟ้าแห่งฟ้าสูงที่ภูเขาหลงหู”

หญ้าเงาผีและมังกรไร้เขาหัวใจเพลิงต้องถูกใช้ก่อนเริ่มการหล่อเลี้ยงพลังเท่านั้นจึงจะมีผลในการปรับสมดุลพลังทั้งสอง

ดังนั้นมันจึงมีค่าเพียงสำหรับคนที่ยังไม่เริ่มหล่อเลี้ยงพลังอย่างเล่ยจวิน

แต่สำหรับศิษย์คนอื่นๆ ที่กำลังหล่อเลี้ยงพลังหยินจากใจกลางโลกแล้ว พวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางได้

“ข้าจะทำตามที่ท่านอาจารย์สั่ง ข้าเดินทางไปกับศิษย์พี่หยวนเจินเพื่อไปที่หุบเขาฉีหลัว จากนั้นจะหล่อเลี้ยงพลังหยินก่อนแล้วค่อยกลับมาหล่อเลี้ยงพลังหยางทีหลัง”

เล่ยจวินโค้งคำนับต่อสวี่หยวนเจิน

“ต้องรบกวนศิษย์พี่แล้ว”

สวี่หยวนเจินไม่หันไปมองเขา แต่หันไปหาหยวนโม่ไป๋แทน

“ท่านรู้ดีว่าข้าไม่ชอบอะไรใช่ไหม?”

หยวนโม่ไป๋ยิ้ม

“แค่เจ้าเท่านั้น ไม่ถือว่าผิดกฎ”

เล่ยจวินรู้สึกสงสัยเขาจึงถาม

“อาจารย์ หมายถึงอะไรหรือ?”

หยวนโม่ไป๋อธิบาย

“ศิษย์พี่หยวนเจินไม่ชอบเดินทางเป็นกลุ่มที่มีคนสามคนหรือมากกว่า”

สวี่หยวนเจินพูดแทรก

“สามคนก็น่าเบื่อแล้ว”

หยวนโม่ไป๋ยังคงยิ้ม

“โชคดีที่ครั้งนี้ไม่เกินจำนวน”

สวี่หยวนเจินหันไปมองเล่ยจวิน

“บางคนมีค่าเท่ากับสองคนนะ”

เล่ยจวินยิ้มอย่างถ่อมตน

“ศิษย์พี่ชมเกินไปแล้ว”

สวี่หยวนเจินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เท่ากับสองคนจริงๆ ถ้าหลี่เจิ้งเสวียนมีความกล้าเหมือนเจ้าสักหน่อย หลายเรื่องของเขาคงจะง่ายขึ้น”

พูดจบนางก็ลุกขึ้นและเดินออกไป มุ่งหน้าสู่สุสานบรรพชนหลังภูเขา

เล่ยจวินหันไปมองอาจารย์ของเขา

หยวนโม่ไป๋พยักหน้า

“นางชมเจ้าอยู่”

เล่ยจวินยิ้มตอบ

“ศิษย์ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”

…………

พิธีมอบตำราประจำปีนี้จัดขึ้นตามกำหนดเวลาและเสร็จสิ้นไปด้วยดี

ศิษย์ใหม่ที่ผ่านพิธีนี้ได้เป็นศิษย์สืบทอดของสำนักอย่างเป็นทางการ

ชู่คุนได้เป็นศิษย์ของหยวนโม่ไป๋ตามที่หวังไว้

อย่างไรก็ตาม สมาชิกของตระกูลชู่ที่มาร่วมพิธีในปีนี้ไม่มีชู่หยูมา

คนที่มาเป็นพ่อแม่ของชู่คุน

หยวนโม่ไป๋เคยมีความสัมพันธ์ดีกับครอบครัวนี้เมื่อครั้งที่ออกตามหาตราประทับเทียนซือ จึงเป็นการพบปะที่เต็มไปด้วยความรู้สึกคิดถึง

เมื่อพิธีเริ่มขึ้น หวังกุยหยวนเดินตามหยวนโม่ไป๋อยู่ใกล้ๆ ในขณะที่เล่ยจวินนั่งอยู่บนแท่นชมพิธี โดยมีพ่อแม่ของชู่คุนอยู่ข้างๆ

บรรยากาศระหว่างทั้งสองฝ่ายเป็นกันเองมาก

มีเพียงบางครั้งที่ลูกหลานตระกูลชู่บางคนพยายามพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานของเล่ยจวิน

เล่ยจวินแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ และเนื่องจากพิธีกำลังดำเนินอยู่ พวกเขาจึงไม่กล้าพูดอะไรมากนัก

หลังจากพิธีสิ้นสุดลงในวันถัดมา ชู่คุนก็กลับไปที่สำนักเด็กวัดเพื่อเก็บของย้ายไปยังที่พักใหม่ของเขา

ในฐานะศิษย์ใหม่ สำนักได้เตรียมที่พักให้กับเขาเช่นกัน

ที่พักของชู่คุนอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากที่พักของเล่ยจวินและหวังกุยหยวน ซึ่งอยู่ติดกับที่พักของหยวนโม่ไป๋

มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เล่ยจวินสนใจ คือชื่อเต๋าที่หยวนโม่ไป๋ตั้งให้กับศิษย์ใหม่ของเขา

ปกติแล้วชื่อเต๋าของศิษย์ใหม่จะประกอบด้วยคำจากชื่อเดิมของพวกเขา

เช่น หวังกุยหยวนกับหวังจงกุย หลินซานกับหลินจงซาน หลี่เซวียนกับหลี่จงเซวียน และคนอื่นๆ

แต่หยวนโม่ไป๋ไม่ทำตามธรรมเนียมเดิม

เขาตั้งชื่อเต๋าให้ชู่คุนว่า “ชู่จงกวง”

ชู่คุนฟังแล้วรู้สึกว่ามันแปลกๆ ยังไงชอบกล…

แต่เขาก็ไม่คิดมากและทำตามพิธีการคำนับหยวนโม่ไป๋

ในวันถัดมาศิษย์ทั้งสี่คนก็รวมตัวกันในที่พักของหยวนโม่ไป๋และหยวนโม่ไป๋ก็เริ่มสอนพวกเขาอีกครั้ง

ชู่คุนกล่าวคำทักทายต่อหวังกุยหยวนและเล่ยจวินตามมารยาทของศิษย์ร่วมสำนัก

เล่ยจวินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ในที่สุดเขาก็มีศิษย์น้องจากสายเดียวกันและกลายเป็นศิษย์พี่อย่างแท้จริง

เขาอดคิดไม่ได้ว่า ในอนาคตตนเองจะมีศิษย์หรือศิษย์หลานบ้างหรือไม่... เมื่อคิดถึงจุดนั้น เล่ยจวินอดยิ้มไม่ได้

ชีวิตของเขาในปัจจุบันค่อยๆ เข้าที่เข้าทางมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยเป็นเพียงเด็กวัดธรรมดาๆ ที่แทบไม่มีใครสนใจ ตอนนี้เขาได้เป็นศิษย์สืบทอดที่แท้จริงของสำนักเทียนซือ มีศิษย์น้องและอาจจะได้มีศิษย์หลานในอนาคต ความรับผิดชอบและบทบาทที่เขามีอยู่ในตอนนี้ ทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างมาก

เมื่อหันกลับมามองชู่คุน ผู้ที่เพิ่งได้รับชื่อเต๋าว่า ชู่จงกวงและกำลังปรับตัวกับการเป็นศิษย์สืบทอดใหม่ เล่ยจวินรู้สึกได้ว่าตนเองต้องทำหน้าที่เป็นศิษย์พี่ที่ดีให้กับเขา

แม้ในอดีตเขาอาจจะดูเหมือนคนที่ไม่ชอบเข้าไปยุ่งกับเรื่องของผู้อื่น แต่เมื่อเห็นชู่คุนก้าวเข้ามาสู่เส้นทางเดียวกับเขาและคิดถึงอนาคตข้างหน้า เล่ยจวินรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

“ศิษย์พี่เล่ย ศิษย์พี่คิดอะไรอยู่หรือ?” เสียงของชู่คุนดังขึ้นทำให้เล่ยจวินหลุดจากภวังค์

“เปล่าหรอก ข้าแค่กำลังคิดว่าเจ้าปรับตัวกับการเป็นศิษย์สืบทอดได้ดีแค่ไหน” เล่ยจวินยิ้มอย่างอ่อนโยน

ชู่คุนหัวเราะเบาๆและตอบอย่างถ่อมตน

“ศิษย์ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้จากศิษย์พี่ ข้าหวังว่าศิษย์พี่จะช่วยชี้แนะข้าในอนาคต”

เล่ยจวินพยักหน้า

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะคอยช่วยเหลือเจ้าอย่างแน่นอน”

เมื่อการสนทนาจบลง เล่ยจวินเดินกลับไปยังห้องของเขา ทบทวนเรื่องราวและแผนการในอนาคตที่กำลังจะมาถึง ขณะที่แสงอาทิตย์ยามเย็นเริ่มสาดส่องเข้ามาในห้อง เขาก็รู้สึกถึงพลังใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้นในตัวเอง

ชีวิตของเขากำลังจะก้าวสู่เส้นทางใหม่ ที่เต็มไปด้วยความท้าทายและความสำเร็จมากมาย ซึ่งเขารู้ว่า เส้นทางนี้จะไม่ได้เดินคนเดียวอีกต่อไปแล้ว

(จบบท)

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด