บทที่ 108 วันนี้ข้าได้เป็นศิษย์พี่
เมื่อสวี่หยวนเจินเข้ามาในห้อง บรรยากาศที่อบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิก็ถูกปกคลุมด้วยความเย็นขึ้นทันที
เล่ยจวินรู้สึกคุ้นเคยกับการมาๆไปๆอย่างกระทันหันของศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้ จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจเท่าไรนัก เขากลับโบกมือให้สวี่หยวนเจินแทน
“แขกผู้มีเกียรติมาเยือน!”
สวี่หยวนเจินเดินผ่านเล่ยจวินและตบมือของเขาออก
“ไม่ต้องมาทำเป็นเล่นเลย”
หยวนโม่ไป๋ยิ้ม
“ศิษย์หลานหยวนเจินกลับมาแล้วหรือ?”
สวี่หยวนเจินนั่งลง
“ข้ากำลังจะไปเดินเล่นที่สุสานบรรพชนหลังภูเขา แต่พอดีกับพิธีมอบตำรา ข้าจึงไม่รีบไปนักรอให้พิธีเสร็จสิ้นก่อนค่อยออกเดินทางอีกครั้ง”
ทั้งเล่ยจวินและหยวนโม่ไป๋ต่างรู้ดีว่าเป้าหมายของการไปสุสานบรรพชนไม่ใช่เพื่อเยี่ยมหลี่เจิ้งเสวียน
ดูเหมือนว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการค้นหาดาบเทียนซือที่หายไป
แม้ว่าจะมีคนรู้เรื่องนี้ไม่มาก แต่ตราประทับเทียนซือที่หายไปก็ได้ถูกค้นพบแล้วและตอนนี้สวี่หยวนเจินเปลี่ยนเป้าหมายการตามล่ามาเป็นดาบเทียนซือ
“ศิษย์หลานรู้เรื่องของศิษย์น้องจงซานหรือไม่?” หยวนโม่ไป๋ถาม
สวี่หยวนเจินพยักหน้า
“ข้าเคยได้ยินมา แต่ไม่ได้สนใจมากนัก”
หยวนโม่ไป๋จ้องมองนาง
สวี่หยวนเจินตอบ
“ถ้าหลี่เจิ้งเสวียนไป ข้าคงจะสนใจมากกว่านี้”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงที่นั่งอยู่ด้านข้างอดหัวเราะไม่ได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น
เล่ยจวินได้แต่คิดในใจ ศิษย์พี่ใหญ่นี่คงจะสนใจแค่เรื่องความวุ่นวายไม่ใช่เรื่องอื่น
แต่ก็นะ... บางทีวันนั้นอาจจะมาถึงก็ได้…
อย่างที่สวี่หยวนเจินกล่าวไว้ตอนนี้จักรพรรดิกำลังสร้างหน่วยปราบปีศาจขึ้นใหม่ ซึ่งยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
การชักเย่อและต่อสู้ระหว่างจักรพรรดิและตระกูลใหญ่จะยังคงมีต่อไป
จึงเกิดการแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่าย หนึ่งคือหน่วยงานสว่างอีกหนึ่งคือหน่วยงานลับ
นอกจากนายพลซั่งกวนที่เป็นหัวหน้าสร้างหน่วยปราบปีศาจ ยังไม่มีผู้บำเพ็ญขั้นสูงระดับสามชั้นฟ้ามาร่วมด้วย
เมื่อใดที่สามารถเชิญผู้บำเพ็ญขั้นสูงหลายคนมาร่วมงานได้ เมื่อนั้นละครฉากใหญ่จะเริ่มขึ้นอย่างแท้จริง
“จักรพรรดิน่าจะมีการเคลื่อนไหวทางเหนือในเร็วๆนี้” สวี่หยวนเจินพูดเบาๆ
หยวนโม่ไป๋พยักหน้าเห็นด้วย
ทางใต้ตระกูลหลินแห่งเจียงโจวตกต่ำลงและไร้ผู้นำ
แต่เมื่อแรงกดดันจากภายนอกถึงขีดสุด มันอาจทำให้พวกเขารวมตัวกันอีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผู้ฝึกฝนจากหลายฝ่ายจับจ้องไปที่เจียงโจว
หากราชวงศ์ต้าถังพยายามทำอะไรบางอย่างทางเหนือแทนก็จะทำให้กดดันน้อยลง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านไปยังที่ต่างๆมากมาย เคยพบของที่มีพลังหยินแท้บ้างหรือไม่?”เล่ยจวินถาม
เขาเล่าถึงดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์เจินหยางให้สวี่หยวนเจินฟัง
“ของที่มีพลังหยินแท้นั้นหายาก แต่ข้าก็เจอบ้าง” สวี่หยวนเจินตอบ
“แต่ข้าไม่แน่ใจว่ามันจะเหมาะกับเจ้าหรือไม่”
ขณะพูดนางก็หยิบของสิ่งหนึ่งออกมา
เล่ยจวินมองไปที่สิ่งนั้นอย่างตั้งใจ...มันคือสมุนไพรวิเศษชนิดหนึ่ง
เถาของมันยาวใบมีน้อย
แม้ในห้องที่มีแสงสว่างจ้า สมุนไพรนี้กลับดูเหมือนเงาลึกลับ มันบิดตัวไปมาในฝ่ามือของสวี่หยวนเจิน ราวกับมีชีวิตและพยายามจะพันรอบมือของนาง
“หญ้าเงาผีหรือ?”
หยวนโม่ไป๋แสดงความประหลาดใจเล็กน้อย
“ข้าคิดว่ามันสูญพันธุ์ไปนานแล้ว”
สวี่หยวนเจินตอบ
“ข้าพบมันโดยบังเอิญในหุบเขาฉีหลัวแห่งภูเขายวี่เผิง ที่อยู่ทางเหนือของแม่น้ำใหญ่ เพิ่งเจอมันเมื่อไม่นานมานี้ ข้าก็ประหลาดใจเหมือนกันที่ได้เจอ”
เล่ยจวินสัมผัสได้ถึงพลังหยินแท้ที่ซ่อนอยู่ในสมุนไพรนี้
แต่โชคร้ายตราประทับแท้จริงของเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
สมุนไพรนี้ไม่ใช่ของที่สามารถใช้ร่วมกับดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์เจินหยางในตราประทับแท้จริงได้
“ช่วงนี้คงหายากที่จะหาเจอของที่เหมาะสม” สวี่หยวนเจินพูด
อย่างไรก็ตามนางก็ยังมีข่าวดีอยู่บ้าง
ในพื้นที่ใกล้ยอดเขาหยกซินของป่าไผ่ทางใต้ กำลังเกิดสถานที่ที่มีพลังหยินแท้ แต่ต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะสมบูรณ์
ทางตอนเหนือของทุ่งกว้าง มีทะเลสาบน้ำแข็งซึ่งก้นทะเลสาบมีหินพลังหยินแท้ปรากฏให้เห็นในช่วงหน้าร้อน แต่ตอนนี้เป็นฤดูหนาวจึงไม่มีอะไรให้เห็น
...พื้นที่ที่ท่านเดินทางไปช่างกว้างใหญ่จริงๆ
เล่ยจวินฟังสวี่หยวนเจินเล่าอย่างละเอียด เขารู้สึกไม่ใช่แค่มีตัวเลือกมากขึ้น แต่ก็ยังทึ่งกับความสามารถในการเดินทางไปทั่วของศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้
ดูเหมือนว่านางจะไม่มีเป้าหมายอะไรเป็นพิเศษ แค่เดินทางไปเรื่อยๆอย่างสบายใจ
เล่ยจวินรู้สึกอยากจะมีชีวิตที่ผ่อนคลายเช่นนี้บ้าง
หลังจากที่ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปสักครู่ เล่ยจวินก็ตั้งสติกลับมาและเริ่มศึกษาสถานที่ทั้งสองที่สวี่หยวนเจินพูดถึง
หากพื้นที่พลังหยินแท้ในป่าไผ่ทางใต้ยังไม่สมบูรณ์ เขาสามารถปล่อยมันไว้ก่อน
ส่วนทางเหนือไกลเกินไปและฤดูกาลก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน...
ทันใดนั้นหยวนโม่ไป๋ถามขึ้น
“ศิษย์หลานหยวนเจิน เจ้าเจอมังกรไร้เขาหัวใจเพลิงใกล้หญ้าเงาผีหรือไม่?”
“ข้าไม่เห็นร่องรอยของมัน” สวี่หยวนเจินตอบ
“หญ้าเงาผีก็เพิ่งจะปรากฏให้เห็นแวบเดียวและข้าก็จับมันไว้ได้ทันที”
นางเริ่มสนใจ
“โอ้? หรือว่ามังกรไร้เขาหัวใจเพลิงกับหญ้าเงาผีจะปรากฏพร้อมกัน? ข้าไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย”
หยวนโม่ไป๋กล่าว
“ในคัมภีร์ของสำนักเราไม่มีบันทึกไว้เพราะทั้งสองสิ่งนี้หายไปนานแล้ว”
สวี่หยวนเจินกล่าว
“ข้าเคยได้ยินเรื่องหญ้าเงาผีบ่อย แต่มังกรไร้เขาหัวใจเพลิงนั้นหายากนัก มีข่าวลือว่ามันมีพลังหยางแท้หากเป็นเช่นนั้นก็อาจจะสอดคล้องกับหญ้าเงาผีได้จริง ๆ”
นางหันไปมองเล่ยจวิน
“หากมังกรไร้เขาหัวใจเพลิงและหญ้าเงาผีปรากฏพร้อมกัน นั่นแปลว่าทั้งสองสิ่งนี้สอดคล้องกันโดยธรรมชาติไม่แปลกที่หญ้าเงาผีไม่เข้ากับดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์เจินหยางของเจ้า”
เล่ยจวินยิ้มและยักไหล่
“ยังไม่ต้องรีบตัดชื่อหุบเขาฉีหลัวแห่งภูเขายวี่เผิงพีออกจากรายชื่อไป” หยวนโม่ไป๋กล่าว
“เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นหยินและหยางเข้ากันได้พอดีนั้นหายากมาก สำหรับเจ้าแล้วสิ่งนี้อาจมีประโยชน์”
เล่ยจวินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกครุ่นคิด
สวี่หยวนเจินจ้องมองหยวนโม่ไป๋และมองเล่ยจวินอีกครั้งก่อนถามว่า
“เจ้าลงมือหล่อเลี้ยงพลังแล้วหรือยัง?”
“ยังเลย”
เล่ยจวินตอบ
“เดิมข้าตั้งใจจะเริ่มหลังพิธีมอบตำรา”
สวี่หยวนเจินหันไปมองหยวนโม่ไป๋อีกครั้ง
“ท่านจะใช้หญ้าเงาผีและมังกรไร้เขาหัวใจเพลิงเพื่อปรับสมดุลพลังสายฟ้าแห่งฟ้าสูงและพลังไฟหยินจากใจกลางโลกใช่ไหม?”
นางเดาความคิดของหยวนโม่ไป๋ได้
คำพูดของนางยืนยันกับสิ่งที่เล่ยจวินสงสัยอยู่ในตอนนี้
หยวนโม่ไป๋กล่าว
“จะลองดูก็ไม่เสียหาย”
สวี่หยวนเจินจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับกำลังไตร่ตรองอะไรบางอย่าง
แม้ว่าจะยังไม่พบมังกรไร้เขาหัวใจเพลิง แต่เพราะมันเข้าคู่กับหญ้าเงาผีนางจึงพอจะคาดเดาได้
หลังจากพิจารณาร่วมกับพลังสายฟ้าแห่งฟ้าสูงและพลังไฟหยินจากใจกลางโลกแล้วสวี่หยวนเจินหันกลับมาพยักหน้า
“น่าจะเป็นไปได้”
เมื่อได้รับคำยืนยันจากนาง หยวนโม่ไป๋หันไปหาเล่ยจวิน
“ก่อนหน้านี้ ศิษย์พี่ของเจ้าบอกเจ้าเกี่ยวกับอันตรายของการหล่อเลี้ยงพลังหยินและหยางพร้อมกัน เขาพูดถูกทุกอย่าง แต่อย่างไรก็ตามหากเจ้าสามารถใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เหมาะสมในการปรับสมดุลพลังทั้งสองนี้ได้ มันอาจทำให้ข้อเสียกลายเป็นข้อดีได้แน่นอน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าเอง เจ้าจะเลือกหล่อเลี้ยงแค่พลังสายฟ้าแห่งฟ้าสูงหรือพลังอื่นก็ได้ ไม่มีปัญหา”
ในตอนนี้เล่ยจวินเริ่มเข้าใจแล้วว่าเซียมซีระดับสูงปานกลางที่ตนเคยเห็นนั้นหมายถึงเรื่องนี้
ไม่แปลกใจเลยที่ต้องรอจนหลังปีใหม่
ก่อนที่สวี่หยวนเจินจะกลับมา นางอาจไม่เจอหญ้าเงาผี
ตามที่นางบอก นางเพิ่งไปถึงหุบเขาฉีหลัวก่อนจะกลับภูเขาไม่นานานและเห็นหญ้าเงาผีเพียงแวบเดียวก่อนจะจับมันได้
หากไปก่อนหน้านี้ นางอาจจะพลาดมันไป
หลังจากได้รับคำอธิบายจากหยวนโม่ไป๋ เล่ยจวินก็เข้าใจว่าเพื่อใช้ประโยชน์จากหญ้าเงาผีและมังกรไร้เขาหัวใจเพลิงในการปรับสมดุลพลังหยินและหยาง ต้องเตรียมตัวก่อนที่จะเริ่มหล่อเลี้ยงพลัง
หากเขาหล่อเลี้ยงพลังจากสายฟ้าแห่งฟ้าสูงหรือไฟหยินจากใจกลางโลกไปแล้ว มันจะสายเกินไปที่จะใช้หญ้าเงาผีและมังกรไร้เขาหัวใจเพลิง
พลังหยินและหยางจะไม่สามารถปรับสมดุลกันได้และเขาจะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการฝึกฝน
ถึงแม้จะได้ประโยชน์ในเรื่องของพลังที่เพิ่มขึ้น แต่กระบวนการฝึกจะช้าลงและยากขึ้นซึ่งโดยรวมแล้วจะไม่คุ้มค่า
แน่นอนว่าเขายังสามารถเลือกฝึกเฉพาะพลังสายฟ้าแห่งฟ้าสูงได้ โดยไม่แตะต้องพลังหยินเลย
นี่คงเป็นความหมายของเซียมซีระดับกลางที่บอกว่า “การพัฒนาภายหลังขึ้นอยู่กับใจ”
และเมื่อเขารอจนถึงตอนนี้ โดยที่ยังไม่ได้เริ่มหล่อเลี้ยงพลัง เขาก็ได้เจอหญ้าเงาผีที่นำมาปรับสมดุลพลังหยินและหยางได้
จากนี้ไป การหล่อเลี้ยงพลังหยินและหยางพร้อมกันจะไม่ใช่อุปสรรคต่อการฝึกฝนของเขาอีกต่อไป แต่กลับจะเร่งความเร็วในการฝึกฝนตราประทับพลังของเขาและประหยัดเวลาได้มากมาย
นอกจากนี้ เขายังสามารถเพลิดเพลินไปกับผลประโยชน์จากการหล่อเลี้ยงพลังทั้งสองอย่างที่ช่วยเพิ่มพลังได้เช่นเดิม
เหมือนครั้งที่เขาเข้าไปในเหมืองหินหมึกเขียว
ผลดีที่ได้เข้ามาอยู่ในมือ
ผลเสียถูกกำจัดออกไป
นี่คือเส้นทางที่เล่ยจวินชอบ
“หญ้าเงาผี มังกรไร้เขาหัวใจเพลิง...”
สวี่หยวนเจินมองไปที่สมุนไพรในมือ
“น่าสนใจ ข้าคงได้เจอของล้ำค่าเข้าแล้ว”
นางยื่นสมุนไพรให้เล่ยจวิน
“หลังพิธีเสร็จ ข้าจะไปหามังกรไร้เขาหัวใจเพลิงต่อที่หุบเขาฉีหลัว”
ในน้ำเสียงของนางแสดงถึงความสนใจมากกว่าปกติ
ในตอนนี้ดูเหมือนว่ามังกรไร้เขาหัวใจเพลิงตัวเล็กๆ นั้นจะดึงดูดใจนางมากกว่าดาบเทียนซือเสียอีก
ทันใดนั้นนางก็ขมวดคิ้ว
“เดี๋ยวก่อน ทำไมข้ารู้สึกว่าพลังไฟหยินจากใจกลางโลกนั้นไม่ค่อยเสถียรนัก? พวกเจ้าเสริมพิธีกรรมปิดผนึกมันกี่ชั้นแล้ว?”
หยวนโม่ไป๋ถอนหายใจ
“นั่นคือสิ่งที่ข้ากำลังจะบอก พวกเราเพิ่งพบว่า พลังไฟหยินจากใจกลางโลกกำลังจะหมด ข้ากับศิษย์พี่และศิษย์น้องได้ใช้วิชาเพื่อควบคุมสถานการณ์ไว้ชั่วคราว แต่จะขาดวัตถุดิบที่เพียงพอ”
“หากเจ้าเลือกหล่อเลี้ยงพลังไฟหยินจากใจกลางโลกแรกๆ อาจจะยังไม่มีปัญหา แต่หลังจากตราประทับพลังที่สามแล้วอาจจะไม่สามารถหล่อเลี้ยงต่อได้” หยวนโม่ไป๋กล่าว
เล่ยจวินพยักหน้าเข้าใจ
คำเตือนในเซียมซีระดับต่ำปานกลางเกี่ยวกับพลังไฟหยินจากใจกลางโลก มีความจริงซ่อนอยู่
“เกี่ยวข้องกับการต่อสู้บนภูเขาครั้งก่อนหรือไม่?” สวี่หยวนเจินถาม
หยวนโม่ไป๋พยักหน้า
“ใช่แล้ว มันกระทบกับเส้นพลังของภูเขาและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่มีศิษย์หลายคนที่กำลังหล่อเลี้ยงพลังนี้ พวกเราจึงให้ความสำคัญกับพวกเขาก่อน”
หยวนโม่ไป๋ยิ้มอย่างขมขื่น
“หากไม่เพียงพอ เราคงต้องปวดหัวกันอีกมาก”
เขาหันไปหาเล่ยจวิน
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะเดินทางไปกับศิษย์พี่หยวนเจินไหม? หลังจากที่เจ้าพบมังกรไร้เขาหัวใจเพลิง แล้ว เจ้าอาจไปที่ถ้ำสวรรค์ฉีหยวน หรือสถานที่อื่นเพื่อหล่อเลี้ยงพลังหยินก่อน จากนั้นค่อยกลับมาหล่อเลี้ยงพลังสายฟ้าแห่งฟ้าสูงที่ภูเขาหลงหู”
หญ้าเงาผีและมังกรไร้เขาหัวใจเพลิงต้องถูกใช้ก่อนเริ่มการหล่อเลี้ยงพลังเท่านั้นจึงจะมีผลในการปรับสมดุลพลังทั้งสอง
ดังนั้นมันจึงมีค่าเพียงสำหรับคนที่ยังไม่เริ่มหล่อเลี้ยงพลังอย่างเล่ยจวิน
แต่สำหรับศิษย์คนอื่นๆ ที่กำลังหล่อเลี้ยงพลังหยินจากใจกลางโลกแล้ว พวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางได้
“ข้าจะทำตามที่ท่านอาจารย์สั่ง ข้าเดินทางไปกับศิษย์พี่หยวนเจินเพื่อไปที่หุบเขาฉีหลัว จากนั้นจะหล่อเลี้ยงพลังหยินก่อนแล้วค่อยกลับมาหล่อเลี้ยงพลังหยางทีหลัง”
เล่ยจวินโค้งคำนับต่อสวี่หยวนเจิน
“ต้องรบกวนศิษย์พี่แล้ว”
สวี่หยวนเจินไม่หันไปมองเขา แต่หันไปหาหยวนโม่ไป๋แทน
“ท่านรู้ดีว่าข้าไม่ชอบอะไรใช่ไหม?”
หยวนโม่ไป๋ยิ้ม
“แค่เจ้าเท่านั้น ไม่ถือว่าผิดกฎ”
เล่ยจวินรู้สึกสงสัยเขาจึงถาม
“อาจารย์ หมายถึงอะไรหรือ?”
หยวนโม่ไป๋อธิบาย
“ศิษย์พี่หยวนเจินไม่ชอบเดินทางเป็นกลุ่มที่มีคนสามคนหรือมากกว่า”
สวี่หยวนเจินพูดแทรก
“สามคนก็น่าเบื่อแล้ว”
หยวนโม่ไป๋ยังคงยิ้ม
“โชคดีที่ครั้งนี้ไม่เกินจำนวน”
สวี่หยวนเจินหันไปมองเล่ยจวิน
“บางคนมีค่าเท่ากับสองคนนะ”
เล่ยจวินยิ้มอย่างถ่อมตน
“ศิษย์พี่ชมเกินไปแล้ว”
สวี่หยวนเจินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เท่ากับสองคนจริงๆ ถ้าหลี่เจิ้งเสวียนมีความกล้าเหมือนเจ้าสักหน่อย หลายเรื่องของเขาคงจะง่ายขึ้น”
พูดจบนางก็ลุกขึ้นและเดินออกไป มุ่งหน้าสู่สุสานบรรพชนหลังภูเขา
เล่ยจวินหันไปมองอาจารย์ของเขา
หยวนโม่ไป๋พยักหน้า
“นางชมเจ้าอยู่”
เล่ยจวินยิ้มตอบ
“ศิษย์ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
…………
พิธีมอบตำราประจำปีนี้จัดขึ้นตามกำหนดเวลาและเสร็จสิ้นไปด้วยดี
ศิษย์ใหม่ที่ผ่านพิธีนี้ได้เป็นศิษย์สืบทอดของสำนักอย่างเป็นทางการ
ชู่คุนได้เป็นศิษย์ของหยวนโม่ไป๋ตามที่หวังไว้
อย่างไรก็ตาม สมาชิกของตระกูลชู่ที่มาร่วมพิธีในปีนี้ไม่มีชู่หยูมา
คนที่มาเป็นพ่อแม่ของชู่คุน
หยวนโม่ไป๋เคยมีความสัมพันธ์ดีกับครอบครัวนี้เมื่อครั้งที่ออกตามหาตราประทับเทียนซือ จึงเป็นการพบปะที่เต็มไปด้วยความรู้สึกคิดถึง
เมื่อพิธีเริ่มขึ้น หวังกุยหยวนเดินตามหยวนโม่ไป๋อยู่ใกล้ๆ ในขณะที่เล่ยจวินนั่งอยู่บนแท่นชมพิธี โดยมีพ่อแม่ของชู่คุนอยู่ข้างๆ
บรรยากาศระหว่างทั้งสองฝ่ายเป็นกันเองมาก
มีเพียงบางครั้งที่ลูกหลานตระกูลชู่บางคนพยายามพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานของเล่ยจวิน
เล่ยจวินแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ และเนื่องจากพิธีกำลังดำเนินอยู่ พวกเขาจึงไม่กล้าพูดอะไรมากนัก
หลังจากพิธีสิ้นสุดลงในวันถัดมา ชู่คุนก็กลับไปที่สำนักเด็กวัดเพื่อเก็บของย้ายไปยังที่พักใหม่ของเขา
ในฐานะศิษย์ใหม่ สำนักได้เตรียมที่พักให้กับเขาเช่นกัน
ที่พักของชู่คุนอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากที่พักของเล่ยจวินและหวังกุยหยวน ซึ่งอยู่ติดกับที่พักของหยวนโม่ไป๋
มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เล่ยจวินสนใจ คือชื่อเต๋าที่หยวนโม่ไป๋ตั้งให้กับศิษย์ใหม่ของเขา
ปกติแล้วชื่อเต๋าของศิษย์ใหม่จะประกอบด้วยคำจากชื่อเดิมของพวกเขา
เช่น หวังกุยหยวนกับหวังจงกุย หลินซานกับหลินจงซาน หลี่เซวียนกับหลี่จงเซวียน และคนอื่นๆ
แต่หยวนโม่ไป๋ไม่ทำตามธรรมเนียมเดิม
เขาตั้งชื่อเต๋าให้ชู่คุนว่า “ชู่จงกวง”
ชู่คุนฟังแล้วรู้สึกว่ามันแปลกๆ ยังไงชอบกล…
แต่เขาก็ไม่คิดมากและทำตามพิธีการคำนับหยวนโม่ไป๋
ในวันถัดมาศิษย์ทั้งสี่คนก็รวมตัวกันในที่พักของหยวนโม่ไป๋และหยวนโม่ไป๋ก็เริ่มสอนพวกเขาอีกครั้ง
ชู่คุนกล่าวคำทักทายต่อหวังกุยหยวนและเล่ยจวินตามมารยาทของศิษย์ร่วมสำนัก
เล่ยจวินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ในที่สุดเขาก็มีศิษย์น้องจากสายเดียวกันและกลายเป็นศิษย์พี่อย่างแท้จริง
เขาอดคิดไม่ได้ว่า ในอนาคตตนเองจะมีศิษย์หรือศิษย์หลานบ้างหรือไม่... เมื่อคิดถึงจุดนั้น เล่ยจวินอดยิ้มไม่ได้
ชีวิตของเขาในปัจจุบันค่อยๆ เข้าที่เข้าทางมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยเป็นเพียงเด็กวัดธรรมดาๆ ที่แทบไม่มีใครสนใจ ตอนนี้เขาได้เป็นศิษย์สืบทอดที่แท้จริงของสำนักเทียนซือ มีศิษย์น้องและอาจจะได้มีศิษย์หลานในอนาคต ความรับผิดชอบและบทบาทที่เขามีอยู่ในตอนนี้ ทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างมาก
เมื่อหันกลับมามองชู่คุน ผู้ที่เพิ่งได้รับชื่อเต๋าว่า ชู่จงกวงและกำลังปรับตัวกับการเป็นศิษย์สืบทอดใหม่ เล่ยจวินรู้สึกได้ว่าตนเองต้องทำหน้าที่เป็นศิษย์พี่ที่ดีให้กับเขา
แม้ในอดีตเขาอาจจะดูเหมือนคนที่ไม่ชอบเข้าไปยุ่งกับเรื่องของผู้อื่น แต่เมื่อเห็นชู่คุนก้าวเข้ามาสู่เส้นทางเดียวกับเขาและคิดถึงอนาคตข้างหน้า เล่ยจวินรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
“ศิษย์พี่เล่ย ศิษย์พี่คิดอะไรอยู่หรือ?” เสียงของชู่คุนดังขึ้นทำให้เล่ยจวินหลุดจากภวังค์
“เปล่าหรอก ข้าแค่กำลังคิดว่าเจ้าปรับตัวกับการเป็นศิษย์สืบทอดได้ดีแค่ไหน” เล่ยจวินยิ้มอย่างอ่อนโยน
ชู่คุนหัวเราะเบาๆและตอบอย่างถ่อมตน
“ศิษย์ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้จากศิษย์พี่ ข้าหวังว่าศิษย์พี่จะช่วยชี้แนะข้าในอนาคต”
เล่ยจวินพยักหน้า
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะคอยช่วยเหลือเจ้าอย่างแน่นอน”
เมื่อการสนทนาจบลง เล่ยจวินเดินกลับไปยังห้องของเขา ทบทวนเรื่องราวและแผนการในอนาคตที่กำลังจะมาถึง ขณะที่แสงอาทิตย์ยามเย็นเริ่มสาดส่องเข้ามาในห้อง เขาก็รู้สึกถึงพลังใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้นในตัวเอง
ชีวิตของเขากำลังจะก้าวสู่เส้นทางใหม่ ที่เต็มไปด้วยความท้าทายและความสำเร็จมากมาย ซึ่งเขารู้ว่า เส้นทางนี้จะไม่ได้เดินคนเดียวอีกต่อไปแล้ว
(จบบท)