บทที่ 1 ฉัน, มู่หยาง, พ่อค้าข้ามมิติ
ในยามค่ำคืน สายลมเย็นพัดผ่านเมือง ฝนโปรยปรายลงมาอย่างเอียงกระเท่เร่
ไฟถนนที่ส่องแสงจาง ๆ บนถนนสายเล็ก ๆ พยายามสลายความมืดเพื่อให้แสงสว่างแก่ผู้คนที่เดินผ่านไปมา อาคารสูงสองฝั่งถนนยืนตระหง่านในความเงียบสงัด เหมือนยักษ์ที่ยืนนิ่งอยู่ในความมืด มีเพียงแสงจากหน้าต่างไม่กี่บานที่ส่องแสงราวกับเป็นดวงตาของยักษ์ที่จ้องมองไปยังที่ไกล ๆ บางครั้งจะมีรถยนต์ผ่านมาทำให้เกิดเสียงครึกครื้นขึ้นเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นไม่นานก็กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง เหลือเพียงเสียงลมพัดและเสียงฝนตกเท่านั้น
“คุณกำลังมองอะไรอยู่?”
เสียงถามดังขึ้นทำให้อีธานหลุดจากภวังค์ เขาละสายตาจากนอกหน้าต่างและหันไปมองชายหนุ่มที่วางถ้วยชาลงตรงหน้าเขา
“ไม่มีอะไร แค่ดูวิวกลางคืน” อีธานรับถ้วยชาขึ้นมาจิบเบา ๆ เพื่อชุ่มริมฝีปากที่แห้งผาก
“วิวกลางคืนเหรอ?” มู่หยางเอียงคอไปมองทางกระจกหน้าต่าง ดูทิวทัศน์ข้างนอกที่มืดสนิทอย่างสงสัย
ถ้าวิวกลางคืนนั้นเป็นภาพของเมืองที่มีแสงไฟระยิบระยับสวยงาม มันก็คงไม่น่าแปลกใจที่ใครจะจ้องมองนาน ๆ แต่สิ่งที่อยู่ข้างนอกกลับเป็นภาพของเมืองเล็ก ๆ ที่เงียบเหงา ไม่มีไฟสว่างไสว ไม่มีตลาดกลางคืนที่คึกคัก มีเพียงแสงไฟจาง ๆ ถนนที่เงียบสงัด ไม่มีอะไรดึงดูดความสนใจเลย
“ถ้าคุณถูกขังอยู่ในถ้ำที่มืดชื้นเป็นเวลาหลายเดือน คุณก็คงเหมือนผม ที่สามารถมองเห็นความงามได้จากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ” อีธานวางถ้วยชาลงบนโต๊ะก่อนจะยักไหล่
มู่หยางจับคางของเขาแล้วคิดย้อนกลับไปถึงเวลาที่เขาเคยอยู่บ้านเป็นเดือน ๆ โดยไม่ออกไปไหน และเมื่อเขาออกไปข้างนอก…ก็ไม่เห็นว่าจะค้นพบความงามอะไรจากถนนที่เขาคุ้นเคย เพียงแค่รู้สึกแปลกตาเล็กน้อยเท่านั้น
มู่หยางส่ายหัวและเลิกคิดต่อไป คนเราแตกต่างกัน คุณไม่สามารถเข้าใจความคิดของคนอื่นได้ทุกอย่าง
เหมือนกับที่คนอื่นไม่สามารถเหมือนเขา ที่ดาวน์โหลดโปรแกรมโกงเกมจากอินเทอร์เน็ต แต่กลับได้ระบบร้านค้ามาแทน
ระบบร้านค้านั้นแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือร้านค้าทั่วไปที่มีสินค้าให้เลือกมากมาย ตั้งแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปจนถึงยานรบกันดั้ม แน่นอนว่ายิ่งของมีค่ามากเท่าไร ราคาก็ยิ่งสูง ต้องใช้ "เงิน" มากในการแลกเปลี่ยน
สิ่งที่เรียกว่า “เงิน” นั้นคือสกุลเงินในระบบร้านค้า ทุกอย่างที่มีคุณค่าสามารถแลกเป็นเงินได้ในระบบ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ชีวิต หรือแม้กระทั่งทองคำและเงิน
ส่วนที่สองคือร้านค้าลดราคา ซึ่งจะรีเฟรชทุกวันเวลาเที่ยงคืน โดยจะมีสินค้าทั้งหมดสิบรายการในการรีเฟรชแต่ละครั้ง ซึ่งประกอบไปด้วยสินค้าลดราคา สินค้ามือสอง สินค้าที่มีตำหนิ หรือสินค้าที่คุณภาพต่ำ แน่นอนว่าสินค้าลดราคานั้นไม่ใช่ว่าจะปรากฏทุกครั้ง มันขึ้นอยู่กับดวงล้วน ๆ
มู่หยางที่โชคดีได้ระบบนี้มาจึงไม่คาดหวังว่าโชคดีนั้นจะเกิดขึ้นต่อเนื่องอีก เขาตัดสินใจเป็นพ่อค้าข้ามมิติ ทำตัวเป็นพ่อค้าคนกลางขายสินค้าเพื่อหากำไรเล็กน้อย จากนั้นก็ออกเดินทางไปทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ
ด้วยเหตุนี้ มู่หยางจึงใช้สิทธิประโยชน์สำหรับมือใหม่ที่ระบบมอบให้ นั่นคือเงินในบัญชีธนาคารของเขาที่ถูกแปลงเป็นเงินในระบบในอัตรา 1:1 ก่อนอื่นเขาซื้อตุ๊กตาตัวหนึ่งมา หยดเลือดลงไปทำให้มันกลายเป็นร่างแยกของเขาเอง จากนั้นเขาก็ใส่ความรู้และความทรงจำบางส่วนลงในหัวของร่างแยก พร้อมทั้งทำสัญลักษณ์ที่สามารถติดต่อเขาได้ หลังจากสั่งให้ร่างแยกดูแลครอบครัว มู่หยางก็แลกตั๋วมิติหนึ่งใบ และเดินทางไปยังต่างโลก
วันรุ่งขึ้น มู่หยางที่กลายเป็นเจ้าของร้านข้ามมิติ ได้ต้อนรับลูกค้าคนแรกของเขา
อีธาน ชายผู้มีการศึกษาที่กำลังตีเหล็กในถ้ำร่วมกับโทนี่ สตาร์ก
“ว่าไง…สายตาอันแหลมคมของคุณค้นพบสินค้าที่ต้องการหรือยัง?”
เมื่อได้ยินคำถามของมู่หยาง อีธานก็มีอาการกระตุกที่ใบหน้าเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นกวาดในอากาศ หน้าจอโปร่งแสงลอยขึ้นจากมุมห้อง
หน้าจอฉายภาพแบบโฮโลแกรม มู่หยางแลกมันมาจากร้านค้าและได้ทำการปรับราคาของสินค้าเล็กน้อย
อีธานชี้ไปที่หน้าจอด้วยสีหน้าที่ดูเจ็บปวด “นี่มันแพงเกินไป...แถมผมก็ไม่รู้ว่าจะแลกอะไรที่สามารถช่วยให้ผมหนีออกจากสถานการณ์อันตรายนั้นได้”
ในหน้าจอโฮโลแกรมมีสินค้ามากมายที่ดูแล้วสามารถช่วยเขาหลบหนีได้ แต่เมื่อมองไปที่ราคา ความยากจนก็ทำให้เขารู้สึกหน้ามืด
ส่วนสินค้าที่ราคาถูกกว่า ถึงแม้จะดูน่าสนใจ แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่ามันจะช่วยให้เขาหนีรอดไปได้จริง
เมื่อได้ยินที่อีธานพูด มู่หยางก็พยักหน้าเล็กน้อยและยิ้มมุมปาก “ถ้าอย่างนั้น…ให้เจ้าของร้านอย่างฉันแนะนำอะไรสักอย่างไหม~~”
ในฐานะพ่อค้าที่ดี การแก้ปัญหาให้ลูกค้าเป็นสิ่งจำเป็น
มู่หยางยกมือซ้ายขึ้นกดเบา ๆ หน้าจอโฮโลแกรมกระจายกลายเป็นจุดแสงสีน้ำเงิน แล้วค่อย ๆ สลายหายไป
“อย่างแรก…”
มู่หยางชูนิ้วชี้ข้างขวาขึ้น “จ่ายเงินจ้างฉันให้ช่วย แต่ถ้าพิจารณาจากกระเป๋าเงินของลูกค้าแล้ว คุณคงไม่มีเงินจ้างฉันแน่ ๆ”
อีธานขมวดคิ้วทันที แน่นอนว่าฉันจนอยู่แล้ว รู้ก็ไม่ต้องพูดออกมาก็ได้นะ!
“อย่างที่สอง…”
มู่หยางดึงหน้าจอโฮโลแกรมกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะทำการปรับหน้าจอให้แบ่งออกเป็นหลายส่วนและผลักมันไปตรงหน้าอีธาน พลางชี้ไปที่หน้าจอ
“การ์ดทดลองใช้ ในระยะเวลาที่กำหนด จะได้รับพลังและประสบการณ์การต่อสู้ทั้งหมดของผู้แข็งแกร่งคนนั้น”
“...วอร์แมชชีน ชุดเกราะเหล็กที่ติดตั้งระบบอาวุธมากมาย สามารถป้องกันพลังโจมตีได้ในระดับหนึ่ง ภายในมีระบบช่วยเหลืออัจฉริยะที่ช่วยในการต่อสู้ แม้แต่คนที่ไม่มีประสบการณ์ก็สามารถต่อสู้กับพวกโจรได้อย่างง่ายดาย”
“...เซ็งเกียะไดรฟ์ เมื่อใช้คู่กับล็อกซีดสามารถแปลงร่างเป็นนักรบไรเดอร์ที่มีพลังเหนือมนุษย์...”
“...สิ่งมีชีวิตปรสิต ที่สามารถอยู่ร่วมกับร่างเจ้าบ้าน...”
มู่หยางพูดแนะนำตัวเลือกต่าง ๆ รวดเดียวหลายอย่าง เสร็จแล้วเขาก็เงยหน้ามองอีธาน เพื่อรอคำตอบ ในขณะนั้นอีธานจ้องมองหน้าจอที่มีภาพของวอร์แมชชีน หุ่นเหล็กติดอาวุธเต็มตัว ที่ดูเหมือนจะคุ้นตาเล็กน้อย ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน โดยเฉพาะหน้ากากนั้น...
เมื่อมู่หยางเห็นท่าทางของอีธาน เขาก็โบกมือปิดหน้าจออื่น ๆ ทิ้ง เหลือไว้เพียงหน้าจอของ “วอร์แมชชีน”
“คุณตาแหลมดีนะ วอร์แมชชีนเหมาะกับสถานการณ์ของคุณมาก ทั้งโจมตีและป้องกันได้ครบ ระบบอัจฉริยะช่วยคุณแก้ปัญหาเรื่องไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ และราคาก็ไม่สูงจนเกินไป อยู่ในขอบเขตที่คุณสามารถรับได้…”
อีธานคิดอยู่ครู่หนึ่งตามคำพูดของมู่หยาง จากนั้นจึงเลือกตามที่ใจเขาต้องการ
“งั้นเลือกตัวนี้ก็แล้วกัน”
“เยี่ยมมาก” มู่หยางดีดนิ้วครั้งหนึ่ง “ชำระเงินเรียบร้อยแล้ว โปรดรับสินค้าของคุณ”
หลังจากทำการคัดลอกข้อมูลในสมองของอีธาน มู่หยางก็ยื่นการ์ดสองใบให้เขา ใบหนึ่งเป็นการ์ดสีดำ อีกใบเป็นการ์ดสีเทา การ์ดสีดำมีขอบสีเงินและลวดลายที่ดูแปลกตาสลักอยู่ ส่วนการ์ดสีเทานั้นมีภาพของหุ่นยนต์ที่เต็มไปด้วยร่องรอยของการต่อสู้ ราวกับว่าหุ่นตัวนี้ได้ผ่านการต่อสู้มาเป็นพัน ๆ ครั้ง และส่งกลิ่นอายของความแข็งแกร่งและดุดันออกมา
อีธานนิ่งไปครู่หนึ่งเมื่อรับการ์ดมา มองดูพื้นผิวของการ์ดด้วยความตื่นตะลึง
มู่หยางกระแอมเบา ๆ เพื่อปลุกอีธานให้กลับมามีสติ “การ์ดสีดำเป็นบัตรประจำตัว เป็นกุญแจสำหรับเข้ามาในร้านนี้อีกครั้ง ส่วนการ์ดสีเทาคือวอร์แมชชีนที่คุณซื้อ เมื่อคุณต้องการใช้ ให้พูดว่า ‘ปลดผนึก’ การ์ดจะกลายเป็นวัตถุจริง แต่หลังจากนั้นจะไม่สามารถกลับไปเป็นการ์ดได้อีก”