บทที่ 97: เจอความอยุติธรรม
เมื่อมู่ไป๋ไป่ได้ยินคำพูดขององครักษ์ เธอก็คิดว่าจะไปเดินซื้อของก่อนหลังจากกินข้าวเสร็จ แล้วค่อยตัดสินใจอีกที
ร้านอาหารแห่งนี้เป็นร้านอาหารเก่าแก่ในเมืองหลวง อาหารที่สั่งถูกจัดขึ้นโต๊ะอย่างรวดเร็ว แถมยังมีรสชาติดี ซึ่งมันเทียบได้กับพ่อครัววังหลวงเลยด้วยซ้ำ
เด็กหญิงพอใจกับอาหารมื้อนี้มาก เธอนั่งเรอพร้อมกับลูบพุงป่อง ๆ ของตัวเองเบา ๆ
ส่วนคนอื่น ๆ ก็วางตะเกียบลงแล้วเช่นกัน ตอนนี้เหลือเพียงจื่อเฟิงเท่านั้นที่ยังคงก้มหน้าก้มตากินไม่สนใจอะไร
“แม่เจ้า…นี่มันกระเพาะหลุมดำชัด ๆ” มู่ไป๋ไป่มองเด็กหนุ่มกินด้วยความประหลาดใจ “ข้าเคยพบคนกินจุมาตั้งมาก แต่ไม่เคยมีใครกินได้เยอะเท่านี้มาก่อน”
ทันทีที่จื่อเฟิงได้ยินว่ามีคนกำลังพูดถึงตัวเอง เขาก็หยุดตะเกียบในมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มเขิน ๆ ให้กับองค์หญิง จากนั้นก็หันไปโกยของกินเข้าปากต่อไป
“...” มุมปากของมู่ไป๋ไป่กระตุก พร้อมกับที่เธอรู้สึกเหมือนถูกเมิน
พอเธอคิดถึงว่าในอนาคตตัวเองจะต้องเลี้ยงคนกระเพาะหลุมดำนี้ เธอก็ยิ่งอยากจะขายผลเพลิงสีชาดทั้งหมดในมือออกไปให้ได้มากขึ้น
“นี่ หยุดนะ! เจ้าหัวขโมย! เจ้ากล้าขโมยของของข้า เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่!”
เสียงตะคอกดังมาจากชั้นล่าง เมื่อมู่ไป๋ไป่ได้ยินเสียงนั้น เธอก็หันไปมองและเห็นเด็กชายอายุ 11-12 ปีในชุดผ้าทอกำลังไล่ตามชายคนหนึ่งด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เด็กชายคนนี้ดูสะอาดสะอ้านและผิวพรรณดี บ่งบอกได้ว่าเขาเป็นชนชั้นสูง เด็กหญิงรู้สึกว่าเขาค่อนข้างจะมีเสน่ห์ เธอจึงเหลือบมององครักษ์ที่อยู่ด้านข้างก่อนจะโบกมือส่งสัญญาณให้พวกเขาลงไปช่วยอีกฝ่าย
ในไม่ช้าองครักษ์ทั้ง 2 ก็บินจากชั้นบนลงไปชั้นล่างหลังจากได้รับคำสั่ง
องครักษ์ที่ไทเฮาทรงเลือกให้ติดตามมู่ไป๋ไป่นั้นล้วนมีวรยุทธสูงส่ง พวกเขาสามารถปราบชายที่เป็นขโมยได้เพียงการเคลื่อนไหวไม่กี่ครั้ง
“ขอบคุณท่านจอมยุทธ” เด็กชายผู้ทรงศักดิ์ยกพัดขึ้นมาขณะหอบหายใจเสียงดัง ก่อนจะประสานมือคำนับองครักษ์ แล้วก้าวไปเหยียบบนหลังโจรพร้อมกับพูดด้วยเสียงดุดัน “ส่งกระเป๋าเงินของข้ามาเดี๋ยวนี้นะ!”
โจรเห็นว่าเด็กคนนี้เป็นพวกเดียวกันกับคนที่กล้าลงมือกับเขา โจรขโมยกระเป๋าจึงได้ยอมคืนกระเป๋าเงินของเด็กชายแต่โดยดี
อย่างไรก็ตาม ภายในกระเป๋าเงินนั้นกลับว่างเปล่าแล้ว
ทันใดนั้นใบหน้าของเด็กชายก็มืดลง “ของข้างในอยู่ที่ไหน?!”
วันนี้เขาโชคไม่ดีที่รีบออกมาจากจวนและไม่ได้นำองครักษ์ติดตามมาด้วยจึงถูกโจรล้วงกระเป๋าในระหว่างทาง
ภายในกระเป๋าใบนี้มีสิ่งสำคัญมากสำหรับเขาซึ่งมันไม่ควรจะรั่วไหลออกไปสู่โลกภายนอก มิฉะนั้นมันจะทำให้เกิดภัยใหญ่หลวงอย่างแน่นอน
“มีความเป็นไปได้มากว่าคนที่สมรู้ร่วมคิดกับเขาจะเอาไปแล้ว” มู่ไป๋ไป่เดินลงมาพร้อมกับไพล่มือเล็ก ๆ ไว้ด้านหลัง “โจรข้างทางเช่นนี้มักจะทำงานร่วมกันหลายคน เมื่อพวกเขาล้วงกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจะส่งต่อของมีค่าให้กระจายออกไปทันที”
“พี่ชาย ท่านควรถามเขาว่าผู้สมรู้ร่วมคิดของเขาอยู่ที่ไหนจะดีกว่า”
ทีแรกโจรคนนั้นแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องหลังจากที่คืนกระเป๋าไป แต่เขาก็ถูกเด็กหญิงเปิดโปง มันจึงทำให้เขาทำหน้าตื่นตระหนก
“เด็กอย่างเจ้าจะไปรู้อะไร อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระนะ!” โจรข่มขู่มู่ไป๋ไป่เสียงขรม “เด็กเลี้ยงแกะอย่างเจ้าระวังกลางดึกหมาป่าจะมาจับกิน!”
“บังอาจ! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมาพูดจาเช่นนี้กับคุณหนูของเรา!” องครักษ์โมโหจนหน้ามืด เขาก้าวออกไปเตะหัวขโมยเพื่อให้อีกฝ่ายเงียบปาก
“หมาป่าอย่างนั้นหรือ?” มู่ไป๋ไป่ย่อตัวลงนั่งแล้วเอามือเท้าคางมองโจรด้วยรอยยิ้ม “ข้าสนิทกับหมาป่าตัวหนึ่ง มันไม่น่าจะกินข้านะ”
ทันใดนั้นหัวขโมยก็เหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าเขากำลังพบเจอคนที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง เขาจึงไม่กล้าปกปิดมันอีกต่อไปและรีบบอกที่อยู่ของผู้สมรู้ร่วมคิด
เขาบอกว่าตนได้พบผู้สมรู้ร่วมคิดในระหว่างทาง เขารู้แค่ชื่อเล่นของกันและกัน แต่ไม่รู้ชื่อและที่อยู่ที่แท้จริงของอีกฝ่าย
นั่นทำให้ใบหน้าของเด็กชายเปลี่ยนไปทันทีหลังจากได้ยินคำสารภาพจากปากโจร
“พี่ชาย ของในกระเป๋าของท่านสำคัญมากหรือไม่?” มู่ไป๋ไป่อดไม่ได้ที่จะถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วแน่น
เธอไม่เข้าใจเหตุผลเช่นกัน แต่เธอกลับรู้สึกชื่นชอบเด็กผู้ชายคนนี้อย่างอธิบายไม่ถูก
“สำคัญมาก” เด็กชายพยักหน้า “และยังมีของดูต่างหน้าที่ท่านแม่ทิ้งเอาไว้ให้ เช่นเดียวกับจี้หยกของครอบครัวซึ่งเป็นของที่สำคัญมากจริง ๆ”
จากนั้นมู่ไป๋ไป่ก็เอียงคอคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “บางทีข้าอาจจะช่วยท่านค้นหาตัวผู้สมรู้ร่วมคิดได้”
“จริงหรือ?” เด็กชายพูดขึ้นด้วยความสงสัย “น้องสาว เจ้าเพิ่งช่วยข้าไป ข้ายังไม่ทันได้ขอบคุณเจ้าเลยด้วยซ้ำ”
“ข้าไม่รู้ว่าน้องสาวมีนามว่าอะไร เอาไว้วันหลังข้าจะไปขอบคุณเจ้าด้วยตัวเอง”
เด็กชายผู้นี้มีอายุไม่มากนัก แต่ท่าทีของเขากลับเหมือนขุนนางในทุก ๆ ด้าน และเขาก็ดูดีมาก
“พี่ชาย ท่านเรียกข้าว่าไป๋ไป่ก็ได้” คนตัวเล็กยิ้มสดใส เนื่องจากแซ่ ‘มู่’ เป็นสกุลของเชื้อพระวงศ์ในแคว้นเป่ยหลง เธอจึงทำได้เพียงซ่อนมันไว้
“ไป๋ไป่?” เด็กชายเลิกคิวขึ้นเล็กน้อย “ข้าแซ่เสิ่น และนามของข้าคือเสิ่นจวินเฉา”
“ถ้าอย่างนั้นข้าเรียกท่านว่าพี่จวินเฉาได้หรือไม่?” มู่ไป๋ไป่ที่หน้าตาน่ารักอยู่แล้ว ยิ่งเธอยิ้มก็ทำให้โลกดูสดใสยิ่งขึ้น
‘เสิ่นจวินเฉา’ ไม่อาจปฏิเสธอีกฝ่ายได้ แน่นอนว่าเขาจะต้องพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน
“พี่จวินเฉา ถ้าท่านเชื่อข้า ท่านลองใช้วิธีการของข้าดูก่อน” เด็กหญิงพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม “คงจะดีไม่น้อยถ้าท่านได้ของกลับคืนมา แต่ถ้าไม่ อย่างน้อยเราก็ได้ลองพยายามแล้วใช่หรือไม่?”
“ไป๋ไป่พูดถูก” เสิ่นจวินเฉารู้สึกว่ามันเป็นไปตามที่เด็กคนนี้พูด “เช่นนั้นข้าก็ขอรบกวนไป๋ไป่ด้วย”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” ถัดมา มู่ไป๋ไป่ได้สั่งให้องครักษ์ส่งหัวขโมยไปที่ศาลาว่าการ จากนั้นจึงหันกลับมายังอาคารเก่าและสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ไปเอาชามเนื้อติดกระดูกมาให้เธอ
“คุณหนู ท่านจะทำ…” หลัวเซียวเซียวมองท่าทางขององค์หญิง ไม่นานนางก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
“ฮี่ ๆ ข้าอยากจะรู้ว่าเจ้าเหลืองยังอยู่ที่นี่อยู่หรือไม่?” มู่ไป๋ไป่ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้สหายของตน
เจ้าเหลืองนอกจากจะเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์แล้ว มันยังเก่งกาจมากอีกด้วย
แม้แต่เจ้าส้มมันก็สามารถตามหาพบได้ ดังนั้นมันคงเป็นเรื่องง่ายดายที่มันจะตามหาของของเสิ่นจวินเฉาพบ
ต่อมา มู่ไป๋ไป่ถือเนื้อร้อน ๆ ไปยังสถานที่ที่ตนเคยพบกับเจ้าสุนัขตัวโตเมื่อครั้งก่อน แล้วเริ่มตะโกนเรียกมัน “เจ้าเหลือง เจ้าเหลือง เจ้าอยู่ที่นี่หรือไม่?”
ทางด้านเสิ่นจวินเฉามองคนตัวเล็กด้วยสายตาแปลกประหลาดและอดไม่ได้ที่จะถามหลัวเซียวเซียวว่า “เจ้าเหลืองที่ว่านี่สหายของไป๋ไป่หรือ?”
“ไม่ผิดเจ้าค่ะ” เด็กหญิงกลั้นยิ้ม “เจ้าเหลืองเป็นสหายคนสนิทของคุณหนูของเรา ครั้งล่าสุดที่แมวของคุณหนูหลงทาง ก็เป็นเจ้าเหลืองที่ช่วยตามหามัน”
“จริงหรือ?” ดวงตาของเด็กชายเบิกกว้างขึ้น แต่ก่อนที่ความหวังที่ตนจะได้ของคืนมานั้นจะสว่างขึ้น เขาก็เห็นสุนัขตัวใหญ่วิ่งมาหามู่ไป๋ไป่
แม้ว่าสุนัขตัวนี้จะผอมโซ แต่ตัวของมันก็ใหญ่จนน่าเกรงขาม
เสิ่นจวินเฉาตกใจก้าวไปดึงมู่ไป๋ไป่ออกมา เพราะกลัวว่าเจ้าสุนัขตัวโตนี่จะทำร้ายนาง
อย่างไรก็ตาม อึดใจต่อมา เขาก็เห็นภาพหนึ่งที่ทำให้เขาต้องตกตะลึง
มู่ไป๋ไป่ไม่เพียงแค่ไม่รู้สึกกลัวเท่านั้น แต่นางยังทักทายสุนัขตัวนั้นด้วยรอยยิ้มอีกด้วย ส่วนสุนัขก็กระดิกหางอย่างแรงเมื่อเห็นเด็กหญิงซึ่งบ่งบอกว่ามันกำลังตื่นเต้นมาก
เด็กชายได้แต่เหม่อมองภาพตรงหน้าโดยไม่รู้จะทำเช่นไร เขาต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะรู้ว่าเจ้าเหลืองคือใคร “นั่นคือสหายของไป๋ไป่ที่ชื่อเจ้าเหลืองหรือ?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” หลัวเซียวเซียวอธิบายด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเสิ่นอย่าได้ดูถูกเจ้าเหลืองเลย ครั้งล่าสุดเป็นมันที่หาแมวของคุณหนูของเราพบ”