บทที่ 95: เก็บผลไม้
“เพคะ” หลัวเซียวเซียวปิดปากหัวเราะเบา ๆ “ในตอนที่หม่อมฉันออกมาหลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว หม่อมฉันเห็นนางกำนัลหลายคนในวังเดินผ่านมาพากันทำหน้าแดงทั้งนั้นเลยเพคะ”
ปัจจุบัน ‘คนบ้า’ ไม่ว่าจะมองทางไหนก็ดูดีไปเสียหมด
ดวงตาของเขาสุกสกาว ใครที่ได้มองเข้าไปในดวงตาของเขาจะต้องตกตะลึงกับความบริสุทธิ์ที่อยู่ในนั้น พลางนึกสงสัยว่าจะมีใครบนโลกนี้ที่ดวงตาใสซื่อได้ถึงเพียงนี้
“แหะ ๆ” ‘คนบ้า’ ไม่รู้ว่าหลัวเซียวเซียวหมายความว่าอย่างไร ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงยิ้มโง่ ๆ ให้มู่ไป๋ไป่เท่านั้น
เพราะนี่คือสิ่งที่เด็กหญิงเคยบอกเขาเมื่อครู่นี้ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าคนอื่นกำลังพูดถึงอะไร จึงทำได้แค่หัวเราะตอบรับไปตามน้ำ
มู่ไป๋ไป่รู้สึกขบขันกับท่าทีของอีกฝ่าย จากนั้นเธอก็พูดว่า “ท่านหน้าตาเช่นนี้ เราคงไม่สามารถเรียกท่านว่าคนบ้าได้อีกต่อไปแล้ว เราต้องตั้งชื่อใหม่ให้กับท่าน”
“คนบ้า… เฟิงจื่อ...” ดวงตาของคนตัวเล็กพลันเปล่งประกาย “ข้าเรียกท่านว่าจื่อเฟิงดีหรือไม่? เพราะเราพบกันบนภูเขาลูกนี้”
“ชื่อไพเราะมากเพคะ!” หลัวเซียวเซียวปรบมือเห็นด้วย “จื่อเฟิง จื่อเฟิง ไม่เลวเลยเพคะ”
‘คนบ้า’ ซึ่งตอนนี้มีชื่อใหม่ว่า ‘จื่อเฟิง’ กะพริบตาปริบ ๆ คล้ายกับว่าไม่เข้าใจที่เด็กหญิงทั้ง 2 พูดคุยกัน หลัวเซียวเซียวที่เห็นดังนั้นจึงกระซิบอธิบายให้เขาฟัง
ทันทีที่เด็กหนุ่มเข้าใจ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ยิ่งสดใสขึ้น และเขาก็พยักหน้าซ้ำ ๆ เพื่อเป็นการบ่งบอกว่าตนชอบชื่อนี้
ด้วยประการฉะนี้ มู่ไป๋ไป่จึงมีผู้ติดตามอีกคนอยู่ข้างกาย
วันรุ่งขึ้น ซูหว่านก็ประหลาดใจมากเมื่อเห็นจื่อเฟิง นางแทบจะไม่อยากเชื่อเลย นางไปยืนยันกับลูกสาวให้แน่ใจอีกครั้งว่านี่คือเด็กที่อยู่ในสภาพรกรุงรังคนนั้นหรือ
ซึ่งนั่นทำให้มู่ไป๋ไป่มีความสุขมาก
ในตอนแรกเด็กหญิงรับจื่อเฟิงเข้ามาเพราะรู้สึกสงสารเขา และเธอก็ไม่ได้คาดหวังมากนักว่าเขาจะสามารถปกป้องเธอได้
แต่เธอไม่คาดคิดว่าในช่วง 3 วันที่ผ่านมา อีกฝ่ายจะทำงานเป็นองครักษ์ของเธอได้เป็นอย่างดี เขาคอยติดตามเธอทุกฝีก้าว และยังได้รับคำชมจากซูหว่านและไทเฮาอีกด้วย
แม้แต่มู่ไป๋ไป่ก็ยังรู้สึกว่าเธอเลือกคนได้เหมาะสมแล้ว
และแล้วเวลาก็ผ่านไป 3 วัน ในขณะนี้หมาป่าสีเทาก็ได้แอบย่องเข้ามาที่วัดฮู่กั๋วในคืนนั้นเงียบ ๆ เพื่อมาหามู่ไป๋ไป่
ในช่วง 3 วันที่ผ่านมามันได้รับบาดแผลใหม่ แต่มันก็ไม่ได้ร้ายแรงมากนัก
ยิ่งไปกว่านั้น มู่ไป๋ไป่ยังรู้สึกว่ารัศมีรอบตัวของหมาป่าตัวนี้ดูจะแข็งแกร่งกว่าเดิม
“ท่านจ้าวอสูร ท่านพร้อมที่จะออกเดินทางแล้วหรือ?” หมาป่าสีเทานั่งอยู่ที่ประตูโดยไม่ยอมเดินเข้าไปในห้องของเด็กหญิง “ออกเดินทางตอนกลางคืนมันอันตราย เหตุใดเราไม่รอให้ถึงเวลารุ่งสางก่อนค่อยเข้าไปในภูเขาล่ะ?”
ในตอนที่มันต้องเดินทางอยู่ในภูเขานั้นมันไม่สำคัญว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน แต่สถานการณ์มันเปลี่ยนไปทันทีเมื่อมีพวกนางติดตามไปด้วย
“ไม่หรอก ตอนนี้แหละดีแล้ว” มู่ไป๋ไป่ค้นเอาอุปกรณ์และชุดที่เอาไว้เดินทางตอนกลางคืนออกมาอีกครั้ง คราวนี้เธอผูกแส้หนังเอาไว้ที่ด้านนอกเสื้อผ้าโดยตรงเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน “ในตอนกลางวันข้าอยากจะไปสวดมนต์กับไทเฮาตามปกติ เรารีบไปกันเถอะ”
หมาป่าสีเทาไม่เข้าใจความหมายของคำว่าสวดมนต์ แต่เนื่องจากท่านจ้าวอสูรเป็นคนเอ่ยเช่นนั้น มันจึงไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ
ดังนั้นหมาป่าตัวโตจึงพามู่ไป๋ไป่และอีก 2 คนขึ้นไปบนภูเขา
“เจ้าตัวโต ทำไมเจ้าถึงไม่แปลกใจเลยว่าเขาเป็นใคร?” มู่ไป๋ไป่เดินตามหมาป่าไปจนสุดทางโดยไม่เห็นว่ามันจะถามถึงจื่อเฟิงเลย ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกมา
เจ้าหมาป่าได้ยินคำถามจึงหันกลับมาตอบว่า “เขาคือคนบ้าไม่ใช่หรือ?”
แม้ว่าตัวเขาจะสะอาดขึ้น แต่กลิ่นกายของเขาก็ยังไม่เปลี่ยน มันจึงจำเจ้าเด็กโง่คนนี้ได้
หลังจากมู่ไป๋ไป่ได้ยินสิ่งที่หมาป่าสีเทาพูด เธอก็นึกขึ้นได้ว่าสัตว์อาจจะจำคนได้ด้วยกลิ่นมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก ดังนั้นเธอจึงไม่รู้สึกแปลกใจอีก
เนื่องจากหมาป่าตัวใหญ่คุ้นเคยกับภูเขานี้มาก ในไม่ช้ามันก็ได้พาพวกมู่ไป๋ไป่ไปยังส่วนลึกของภูเขา พอมาถึงที่หมาย บริเวณโดยรอบก็เหมือนจะเงียบลง มีเพียงเสียงสัตว์ดังอยู่ไกล ๆ
“ที่แท้มันก็อยู่ลึกมากขนาดนี้นี่เอง” คนตัวเล็กมองไปรอบ ๆ แต่เธอที่เป็นเพียงคนธรรมดาก็มองเห็นเพียงความมืดมิดที่อยู่รอบตัว “ข้าไม่คิดเลยว่าภูเขาลูกนี้จะใหญ่ถึงเพียงนี้”
โชคดีที่ในคืนนั้นเธอไม่ได้ถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวกลางป่า ไม่อย่างนั้นเธออาจจะถูกหมาป่าจับกินไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว
พอคิดได้ดังนี้มู่ไป๋ไป่ก็ลูบแขนเล็ก ๆ ของตัวเอง
“ท่านจ้าวอสูร ข้างหน้าคือสถานที่ที่ข้าเคยบอกเอาไว้” หมาป่าสีเทาเคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำแม้จะอยู่ท่ามกลางความมืด ในทางกลับกัน คนตัวเล็กสะดุดจนเกือบล้มหน้าทิ่มอยู่หลายครั้งตั้งแต่เดินมาที่นี่
ในตอนที่เธอกำลังจะขอให้หมาป่าตัวโตชะลอความเร็วลง จู่ ๆ ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ
เป็นจื่อเฟิงที่ย่อตัวลงข้างหน้าเธอและชี้ไปที่หลังของตัวเอง
มู่ไป๋ไป่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปีนขึ้นไปบนหลังของเขา
การก้าวเดินของเด็กหนุ่มมั่นคงมาก ทำให้เด็กหญิงแอบประหลาดใจเมื่อพบว่าความเร็วของเขาเกือบจะทัดเทียมกับหมาป่าสีเทา
ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่?
“เรามาถึงแล้ว!” เสียงของหมาป่าดังมาจากด้านหน้า ทำให้มู่ไป๋ไป่หลุดจากภวังค์
ท่ามกลางความมืดมิดเธอมองเห็นแสงไฟสีแดงดวงเล็ก ๆ สว่างขึ้นทีละดวง ซึ่งภาพเบื้องหน้ามันดูงดงามมาก
“โอ้โห ผลเพลิงสีชาดส่องแสงได้ด้วย” เด็กหญิงรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นภาพดังกล่าว
“ใช่แล้ว” หมาป่าสีเทามีท่าทีสงบมาก เพราะถึงอย่างไรมันก็เติบโตมาบนภูเขาที่มีผลไม้วิญญาณเล็ก ๆ พวกนี้ตั้งแต่เกิด ภาพเหล่านี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมันมาก
“งดงามเหลือเกิน” หลัวเซียวเซียวเองก็อดที่จะอุทานออกมาไม่ได้
“มันเป็นยาวิเศษที่พิเศษมากจริง ๆ” มู่ไป๋ไป่กระโดดลงจากหลังของจื่อเฟิง ก่อนจะกวักมือเรียกคนทั้ง 2 “เซียวเซียว จื่อเฟิง พวกเจ้าไปเก็บผลไม้มาให้ข้าที”
“หลังลงจากเขา เราจะเอามันไปขาย มันทำกำไรได้มหาศาลเลย แล้วเราจะซื้ออาหารอะไรอร่อย ๆ ให้พวกเจ้ากิน”
หลัวเซียวเซียวกับจื่อเฟิงตอบรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่พวกเขาจะก้าวไปพร้อมกับถุงผ้าที่พวกเขาเตรียมเอาไว้
หลังจากเก็บผลไม้มาได้ประมาณ 2 เค่อ ถุงทั้ง 2 ใบก็อัดแน่นไปด้วยผลไม้ แต่แสงสีแดงที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่ได้ลดลงมากนัก
“องค์หญิงหก เพียงพอแล้วหรือยังเพคะ?” หลัวเซียวเซียวปาดเหงื่อจากหน้าผากพลางถามอย่างกระตือรือร้นว่า “หากยังไม่เพียงพอ หม่อมฉันจะขึ้นไปเก็บเพิ่มอีกเพคะ”
“พอแล้ว” มู่ไป๋ไป่ดึงสหายของตนกลับมา “นี่เป็นครั้งแรกที่เราจะเอามันไปขาย ดังนั้นเราควรเอาไปแค่พอประมาณก็พอ แล้วรอดูสถานการณ์ต่อไปก่อน”
นอกจากนี้ผลไม้ชนิดนี้ยังเป็นพืชที่สามารถเน่าเสียได้ ดังนั้นเธอจะต้องวางแผนระยะยาว
หลังจากเก็บผลเพลิงสีชาดเสร็จแล้ว มู่ไป๋ไป่ก็กลับไปที่วัดฮู่กั๋วตามเส้นทางเดิม โดยที่พวกเขาทั้ง 3 มีหมาป่าคอยนำไปตลอดทาง ทำให้การเดินทางในครั้งนี้ผ่านไปอย่างราบรื่น
ก่อนออกเดินทาง หมาป่าสีเทาได้ให้สัญญาว่าหากในอนาคตเธอต้องการเข้าไปเก็บผลไม้ในป่าอีก เธอจะต้องเป่านกหวีด แล้วมันจะออกมานำทางเธอเข้าไป
“เจ้าตัวโตเก่งมาก” มู่ไป๋ไป่กล่าวพลางมองไปที่หลังหมาป่าแล้วถอนหายใจ “ไม่เหมือนกับแมวบางตัวที่เลี้ยงไม่เชื่อง ตามปกติแล้วข้าคอยเลี้ยงดูมันเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายมันก็เห็นแมวที่เพิ่งเคยพบครั้งแรกดีกว่าข้า”
“ไอ้แมวส้มตูดเหม็น นี่ผ่านไปกี่วันแล้วมันยังไม่กลับมาอีก!”
“องค์หญิงหกอย่าได้โกรธไปเลยเพคะ พรุ่งนี้เราจะลงเขากันแล้วไม่ใช่หรือ?” หลัวเซียวเซียวปลอบประโลมอีกฝ่าย “ถ้าเรามีเวลาเพียงพอ เราจะสามารถแวะระหว่างทางเพื่อตามหาเจ้าส้มกลับได้เพคะ”
“ฮึ! ข้าจะไม่ไปตามหามันแล้ว” มู่ไป๋ไป่กอดอกพลางพูดเสียงขึ้นจมูก “ข้าได้เอ่ยปากไปแล้วว่าจะไม่สนใจมันอีก”
เธอจะไม่มีทางไปตามหาเจ้าส้มแน่นอน!
หลัวเซียวเซียวรู้ว่าองค์หญิงเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดอะไรต่อและทำเพียงแค่ปิดปากหัวเราะเบา ๆ
วันรุ่งขึ้น ในตอนเช้าเด็กหญิงก็ได้ไปสวดมนต์ตามปกติ และในช่วงบ่ายไทเฮาต้องการสนทนาธรรมกับเจ้าอาวาส พวกมู่ไป๋ไป่จึงขออนุญาตพระนางพากันไปเล่นด้านล่างภูเขา
เนื่องจากทุกคนได้มาสวดมนต์ขอพรอยู่ที่วัดฮู่กั๋วเป็นเวลาเกือบเดือนแล้ว และมู่ไป๋ไป่ก็อยู่ที่วัดตลอดเวลา ไทเฮาทรงรู้ดีว่าเด็ก ๆ นั้นชอบเล่นสนุก พระนางจึงตอบตกลงโดยมีเงื่อนไขเดียวก็คือต้องพาองครักษ์ติดตามไปด้วย