ตอนที่ 55 ถ้ำม่านน้ำ
ตอนที่ 55 ถ้ำม่านน้ำ
เมื่อฉู่เสวียนและคนอื่น ๆ เข้ามาใกล้ พวกเขาก็เห็นว่ายอดเขาด้านหน้าแบนราบ สถานที่นี้แห่งถูกทำให้กลายเป็นที่ราบ โรงฝึกแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลาง โดยมีหุบเขาต่างๆ ล้อมรอบอยู่ สามารถใช้เป็นสถานที่ที่เหล่าศิษย์ถ้ำจีหยินพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
วิ้ว
ลมแรงพัดผ่านไป...
หวันอู๋อิงปรากฏตัวต่อหน้าชายทั้งสี่คน
ฉู่เสวียนและอีกสามคนประสานมือคาราวะและเรียกเขาว่าอาจารย์
หวันอู๋อิงพยักหน้าเล็กน้อย "สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีพลังทางวิญญาณเข้มข้นที่สุด ข้าได้เจรจากับสำนักเทียนหยินได้สำเร็จแล้ว พวกเขาให้เราเปิดสำนักสาขาบริเวณรอบๆรัศมีสามพันลี้ขึ้นมาได้ และทั้งหมดนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นอาณาเขตของถ้ำจีหยินของเรา พวกเจ้าทั้งสี่คนสามารถเปิดถ้ำของตนเองขึ้นมาได้ภายในพื้นที่นี้"
หวันอู๋อิงยิ้มเล็กน้อย "เราจะทำสถานที่แห่งนี้ให้ดีขึ้นในอนาคต ตราบใดที่ผู้คนยังอยู่และมรดกไม่ถูกทำลาย ก็สามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ!”
หวันอู๋อิงกล่าวต่อ "ตอนนี้เราสามารถขอทรัพยากรการฝึกทั้งหมดที่ต้องการจากสำนักเทียนหยินได้ อื่ม..และถ้าหากว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากถ้ำจีหยินของเรา ข้าก็จะไม่ปฏิเสธ และเพื่อความมั่นคงของเรา เราต้องเริ่มอพยพมนุษย์และนำดินแดนอนารยชนโดยรอบให้เข้ามาสู่อาณาจักรถ้ำจีหยินของเราให้ได้ นี่ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นการตั้งหลักปักฐานอย่างแท้จริง”
ฉู่เสวียนพยักหน้าเห็นด้วย เพราะตอนที่เขาเข้าร่วมนิกายอู๋จี๋ในตอนแรกก็เป็นเช่นนี้ ตราบใดที่เจ้าได้กลายเป็นศิษย์ฝ่ายใน เจ้าจะมีทาสมนุษย์เป็นผู้รับใช้หลายร้อยคนในทันที
ทาสมนุษย์เหล่านั้นเป็นผู้อ่อนแอและเป็นชนชั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดินของสังคม หน้าที่เดียวของพวกเขาคือเตรียมอาหารให้กับศิษย์ฝ่ายในของนิกายอู๋จี๋ และทำความสะอาดถ้ำ ฯลฯ
ผู้บ่มเพาะเป็นพื้นฐาน แต่ทาสเหล่านี้ก็ขาดไม่ได้เช่นกัน...
นอกจากนี้ ทาสมนุษย์ยังมีหน้าที่ในการปลูกสมุนไพรวิญญาณ และยาอายุวัฒนะต่างๆที่จำเป็นสำหรับการเล่นแร่แปรธาตุ และยังมีหน้าที่ในการจัดหาวัสดุจำนวนมากที่จำเป็นสำหรับการกลั่นอาวุธ เนื่องจากว่าผู้บำเพ็ญมีหน้าที่เพียงแค่บ่มเพาะเท่านั้นส่วนงานหนักต่างๆก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทาสมนุษย์ไป เฉพาะของล้ำค่าเท่านั้นที่ผู้บ่มเพาะจะต้องทำเอง
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ อาจมีต้นกล้าทางวิญญาณที่เกิดท่ามกลางมนุษย์ สิ่งที่เรียกว่าต้นกล้าทางวิญญาณคือมนุษย์ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณ หลังจากผ่านการทดสอบแล้ว ต้นกล้าวิญญาณเหล่านี้ก็จะเข้าสู่นิกาย ฝึกฝน เรียนรู้ จนในที่สุดก็กลายมาเป็นศิษย์ใหม่
ในบรรดาศิษย์เหล่านี้ ผู้ที่มีคุณสมบัติดี ก็จะทะลวงเข้าสู่เขตแดนที่สูงต่อไป ส่วนผู้ที่มีคุณสมบัติไม่ดี ก็จะออกจากนิกายและสร้างครอบครัวเพื่อสืบพันธุ์ต่อ ซึ่งผู้บ่มเพาะนั้นย่อมผลิตทายาทที่มีโอกาสเป็นต้นกล้าทางวิญญาณได้มากกว่าคนปกติ การทำเช่นนี้ถือว่าเป็นวัฏจักรที่ดี ในที่สุดนิกายก็จะเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น
อาจกล่าวได้ว่าเบื้องหลังนิกายที่ใหญ่โตและเจริญรุ่งเรืองนั้น จะต้องมีมนุษย์คอยให้การสนับสนุน ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางที่จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ ฉู่เสวียนไม่เคยมองข้ามบทบาทของมนุษย์เลย
หลังจากที่หวันอู๋อิงพูดจบ เขาก็หายตัวไปในพริบตา
จากนั้นไม่นานก็มีเสียงดังก้องขึ้นอีกครั้งใกล้ๆ กับโรงฝึก
เห็นได้ชัดว่าหวันอู๋อิงกำลังเปิดถ้ำของเขาเอง
“ข้าจะไปที่นั่น” หลี่ซวนหมิงชี้ไปทางทิศเหนือ
หลิวเจิ้งสงและอู๋เถิงก็มองหาสถานที่ที่เหมาะสมในการเปิดถ้ำเช่นกัน
ทว่าฉู่เสวียนก็ไม่ได้ตามพวกเขาไป แต่เลือกที่จะบินไปทางทิศใต้เพียงลำพัง สำหรับถ้ำที่เขาจะเปิด เขามีข้อกำหนดเพียงแค่ว่าขอแค่สงบและไม่มีใครมารบกวนก็เท่านั้น ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ต้องออกจากทวีปชางเสวียนเพื่อไปที่ดาวเคราะห์โลกาวินาศเป็นครั้งคราว
ฉู่เสวียนควบคุมดาบบังเหินเทียนกังบินวนไปรอบๆเป็นเวลานาน จนในที่สุดเขาก็เลือกหุบเขาอันเงียบสงบ
ในหุบเขาแห่งนี้มีน้ำตกไหลลงมา
กระแสน้ำก่อตัวเป็นทะเลสาบเล็กๆ ขึ้นใจกลางหุบเขา มันอุดมสมบูรณ์มีทั้งปลาและกุ้งเต็มไปหมด มีต้นไผ่สีเขียวและต้นไม้นานาชนิดเติบโตอยู่รอบๆ ทะเลสาบ
สภาพแวดล้อมโดยรวมดูสมบูรณ์เป็นอย่างมาก และค่อนข้างจะตอบสนองความต้องการของฉู่เสวียน
"เอาที่นี่แหละ"
ฉู่เสวียนคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ตรวจสอบและตั้งใจจะเจาะถ้ำไว้ด้านหลังน้ำตก
เขาดึงเชือกยึดวิญญาณออกมาแล้วเหวี่ยงมันไปข้างหน้า พุ่งเข้าชนหน้าฝาอย่างแรง
ปังปังปัง!
หินแข็งถูกระเบิดออกไปทันที
เชือกยึดวิญญาณคงไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งมันจะถูกเจ้านายของมันใช้มาฟาดกับหน้าผาแบบนี้
เศษหินปลิวไปทุกทิศทาง บางก้อนก็ตกลงไปในทะเลสาบจนทำให้ปลาตกใจ แต่ไม่ว่าพวกมันจะแหวกว่ายไปทางไหน พวกมันก็ไม่สามารถหนีออกจากทะเลสาบนี้ได้อยู่ดี
เช่นเดียวกับชีวิตของทุกคน
ไม่นานนัก ถ้ำที่มีผิวขรุขระก็เปิดออก
สำหรับผิวถ้ำที่ไม่เรียบ ฉู่เสวียนจำเป็นจะต้องใช้เทคนิคเปลี่ยนหินให้เป็นดิน ก็สามารถแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดายแล้ว
อย่างไรก็ตาม หินที่สามารถเปลี่ยนรูปให้เป็นดินโคลนได้นั้นก็มีจำกัดมาก และหินที่มีขนาดใหญ่เกินไปก็ไม่สามารถเปลี่ยนรูปได้
อย่างดีที่สุด มันสามารถทำได้เฉพาะก้อนหินที่มีขนาดเท่ากำปั้นเท่านั้น
นี่คือเหตุผลที่ฉู่เสวียนใช้เชือกยึดวิญญาณเพื่อเปิดปากถ้ำตั้งแต่แรก
ในที่สุด ฉู่เสวียนก็ควบแน่นน้ำในทะเลสาบเพื่อชะล้างดินและเศษหินในถ้ำออกไป
ด้วยวิธีนี้ ถ้ำจึงเสร็จสมบูรณ์
ขั้นตอนต่อไปคือการสร้างค่ายกลขึ้นมา
ฉู่เสวียนคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้แล้ว
ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เขาก็ได้วางค่ายกลต่างๆ เช่น ค่ายกลภาพลวงตา ค่ายกลโจมตี ค่ายกลการเตือนภัย และค่ายกลการรวบรวมวิญญาณรอบหุบเขา
ตราบใดที่ผู้บำเพ็ญแก่นปราณทองคำไม่ดำเนินการ ก็เป็นไปไม่ได้ที่ผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานจะทำลายค่ายกลของเขาได้ในเวลาอันสั้น
“น่าเสียดายที่ยังขาดค่ายกลพิทักษ์วิญญาณ เพราะถ้ามีค่ายกลพิทักษ์วิญญาณอยู่ แม้ว่าข้าจะไม่อยู่ที่นี่ แต่ก็สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีใครสามารถล่วงล้ำเข้ามาในถ้ำของข้าได้” ฉู่เสวียนพรางคิดเรื่องนี้ในใจ
จากนั้นเขาก็กลับเข้ามาที่ถ้ำ
ถ้ำนั้นเรียบง่ายมาก
มีเพียงห้องหินสี่ห้องเท่านั้น ได้แก่ ห้องฝึก ห้องเล่นแร่แปรธาตุ ห้องกลั่นอาวุธ และห้องปลูกพืชวิญญาณ ทว่าตอนนี้แต่ละห้องยังว่างเปล่า เพราะเขาไม่ได้คิดที่จะวางของล้ำค่าไว้ที่นี่
ในเวลานี้ ก็มีเสียงดังมาจากข้างนอก มันเป็นเสียงของหลิวเจิ้งสง
ฉู่เสวียนจึงได้บังคับดาบบังเหินเทียนกังให้บินออกไปนอกถ้ำ
ตามที่คาดไว้ เขาเห็นหลิวเจิ้งสงและอีกสองคนมาด้วยกัน
"ศิษย์พี่ทั้งสาม เปิดถ้ำเรียบร้อยแล้วหรือไม่?” ฉู่เสวียนยิ้มและป้องมือของเขา
หลิวเจิ้งสงหัวเราะออกมา “การเปิดถ้ำไม่ใช่เรื่องยากอะไร แค่ทำตามที่เจ้าต้องการ”
อู๋เถิงมองไปที่หุบเขาเบื้องล่าง "ศิษย์น้องฉู่ เจ้าเลือกสถานที่นี้ใช่ไหม ไม่แย่ ไม่แย่เลย มันค่อนข้างดีด้วยซ้ำ”
หลี่ซวนหมิงยิ้ม "แล้วถ้ำของศิษย์น้องฉู่ชื่อว่าอะไร"
ฉู่เสวียนคิดสักพัก แล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม "ถ้ำม่านน้ำขอรับ”
ดวงตาของทั้งสามคนเป็นประกาย "เป็นชื่อที่ดีจริงๆ มันมีเสน่ห์แบบคลาสสิคมากๆ! "
ทั้งสี่คนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จากนั้นไม่นานฉู่เสวียนก็รู้ตำแหน่งและชื่อถ้ำของพวกเขาด้วย
จนกระทั่งค่ำ พวกเขาทั้งสี่ก็แยกย้ายกันไปพัก
ฉู่เสวียนกลับมาที่ถ้ำม่านน้ำของเขาอีกครั้งและเปิดใช้งานค่ายกลต่างๆในทันที
จากนั้นเขาก็มานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหินและนึกถึงประสบการณ์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
"ข้าได้กำไรในครั้งนี้ไม่น้อยเลย และสิ่งสำคัญที่สุดคือการได้เป็นศิษย์ของหวันอู๋อิง และสลัดตัวตนเก่าของข้าออกไปได้สำเร็จ ตอนนี้ข้ากลายมาเป็นผู้บ่มเพาะของสำนักเทียนหยินไปแล้ว ต่อจากนี้ไป ข้าไม่ใช่เศษเดนของนิกายอู๋จี๋ที่ใครๆ ก็ชี้หน้าด่าว่าเป็นผู้บำเพ็ญสายมารอีกต่อไป”
“ประการที่สอง ข้าได้หาวิญญาณดิบที่เอาไว้ควบคุมเชือกยึดวิญญาณเจอแล้ว เมื่อพิจารณาจากความดุร้ายในตอนนี้ของฮุยคง เห็นได้ชัดว่าข้าได้มีไพ่เด็ดเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งใบแล้ว”
“อีกเรื่องคือเส้นลวดโลหิตได้เข้ารังไหมเป็นครั้งที่สองแล้ว ต่อไปข้าจะใช้เวลาในการศึกษาตำราคู่มือการเลี้ยงแมลงกู่ให้มากขึ้นเพื่อจะได้ยกระดับของมันต่อไป อีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือข้าได้ถุงเก็บของของซุนซือ ฮุยคง และผู้บำเพ็ญในช่วงสร้างรากฐานมาหลายคน นี่แหละคือกำไรมหาศาล ข้าได้ดูถุงเก็บของของซุนชือและคนอื่น ๆ แล้ว แต่ข้ายังไม่ได้ดูถุงเก็บของของฮุยคงเลย”