บทที่ 94: เจ้าหมาน้อย
“อือ!” ‘คนบ้า’ พยักหน้าอย่างตื่นเต้นหลังจากได้ยินคำพูดของหลัวเซียวเซียว ซึ่งบ่งบอกว่านั่นคือสิ่งที่เขาต้องการจะบอก
“องค์หญิงหก ทำไมพระองค์ไม่ให้เขาติดตามพระองค์ล่ะเพคะ?” หลัวเซียวเซียวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากช่วยขอร้องอีกแรง “เขาไม่มีบ้านและไม่มีทางเลือกอื่นเหมือนกับหม่อมฉัน”
“แล้วตอนนี้องค์หญิงหกก็ขาดคนคุ้มกันข้างกาย”
“อย่างน้อยก็ให้เขาคอยช่วยปกป้องพระองค์”
“วันนี้หม่อมฉันบังเอิญไปเห็นเขาดันเครื่องโม่ด้วยมือข้างเดียวด้วยเพคะ”
ที่เรือนด้านหลังวัดฮู่กั๋วว่างอยู่ โดยปกติแล้วพวกเขาจะใช้ลา 2 ตัวในการหมุนมัน ทว่า ‘คนบ้า’ สามารถผลักมันได้เพียงลำพัง แสดงว่าเขาเป็นคนที่แข็งแรงมาก
“ฟังดูแล้วก็มีเหตุผล” มู่ไป๋ไป่พูดพร้อมกับปัดมือตัวเอง “เอาเถอะ เช่นนั้นท่านก็ตามข้ามา แต่ข้าต้องแจ้งท่านแม่ก่อน”
เนื่องจากสถานะของเธอแตกต่างจากคนอื่น ดังนั้นหากเธอต้องการพาคนที่ไม่ทราบที่มากลับไปด้วย เธอจะต้องพูดคุยเรื่องนี้กับหว่านผินเสียก่อน
“อือ!” ‘คนบ้า’ ดีใจมากที่ได้ยินคำตอบรับของเด็กหญิง แล้วเขาก็คำนับให้กับเธออีกครั้ง
“นี่ท่านอย่าเอาแต่คำนับข้าสิ” มู่ไป๋ไป่รู้สึกปวดหัวขึ้นมาแล้วรีบหันไปพูดกับหลัวเซียวเซียวที่อยู่ด้านข้างว่า “เจ้าบอกเขาหน่อยสิ ข้าไม่ชอบให้คนก็ใกล้ตัวมีพิธีรีตองมากมาย”
“นอกจากนี้ ในเมื่อเขาต้องการติดตามข้า เขาจะต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสกปรกพวกนี้ออก แล้วก็ไปตัดผมตัวเองให้เรียบร้อย”
“มันเป็นเรื่องปกติที่คนที่อยู่ข้างกายองค์หญิงจะต้องสะอาดสะอ้าน”
“เซียวเซียว ในเมื่อเจ้าสนิทกับเขาดี เช่นนั้นข้าจะฝากเรื่องนี้ให้เจ้าจัดการ”
“เพคะ!” หลัวเซียวเซียวตอบรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะวิ่งเข้าไปหา ‘คนบ้า’ แล้วพูดพร้อมกับทำมือประกอบการอธิบาย
ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่มู่ไป๋ไป่กลับไปที่เรือนของตัวเอง เธอก็มีคนคอยติดตามด้านหลังเพิ่มขึ้นอีกคน
เมื่อซูหว่านนำรังนกตุ๋นมาให้ลูกสาว ทันใดนั้นนางก็เห็นคนเนื้อตัวสกปรกอยู่ในเรือนของเด็กหญิง นั่นทำให้นางตกใจ
“ท่านแม่ ท่านอย่ากลัวไปเลย เขาเป็นคนยากไร้ที่ไป๋ไป่พบจากบนภูเขา” มู่ไป๋ไป่คิดทบทวนคำพูดของตัวเอง แล้วเธอก็เล่าว่าคนผู้นี้เป็นคนไร้ญาติไร้ครอบครัวที่ค่อนข้างซื่อบื้อ
“ในครั้งนี้เราเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อสวดมนต์ขอพร ในเมื่อเราพบเขาแล้ว ไป๋ไป่คิดว่านี่อ่านจะเป็นลิขิตสวรรค์ ดังนั้นไป๋ไป่จึงไม่อยากทิ้งเขาไว้เพียงลำพัง”
“แล้วบังเอิญว่าข้างกายของไป๋ไป่ก็ยังไม่มีองครักษ์ เราควรเก็บเขาไว้ดีหรือไม่เพคะ?”
เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่พยายามหาเหตุผลมาโน้มน้าวอีกฝ่าย
“นี่…” หว่านผินเหลือบมอง ‘คนบ้า’ อย่างลังเล ในขณะที่นางกล่าวว่า “ไป๋ไป่ หลังจากนี้เราก็จะเดินทางกลับวังหลวงกันแล้ว ที่นั่นมีองครักษ์คอยรักษาความปลอดภัยพวกเรา และถ้าหากใครที่จะเข้าไปเป็นองครักษ์จะต้องมีภูมิหลังที่เชื่อถือได้ แต่เราไม่ทราบที่มาของเขา…”
มู่ไป๋ไป่คาดไว้แล้วว่าซูหว่านจะต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเธอจึงคิดข้ออ้างเอาไว้แล้ว “ท่านแม่ แต่เขาช่วยไป๋ไป่เอาไว้นะ”
“หืม?” หว่านผินรู้สึกประหลาดใจ “เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ครั้งล่าสุดที่ไป๋ไป่ลงเขาไป ไป๋ไป่ถูกคนไม่ดีหลอก..” เด็กหญิงพูดโกหกออกไปได้อย่างไหลลื่น “อันที่จริง หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากเขา ไป๋ไป่คงไม่สามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย”
“เนื่องจากเขาทำดีกับไป๋ไป่ก่อน ดังนั้นไป๋ไป่จึงอยากจะตอบแทนเขา”
“นะเพคะท่านแม่”
ซูหว่านรู้สึกลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายนางก็ตอบว่า “ตกลง…”
“ไป๋ไป่คิดไว้แล้วว่าท่านแม่จะต้องตกลง” มู่ไป๋ไป่ถือโอกาสนี้หยิบตาให้สหายของตน “ทำไมเจ้าไม่พาคน— เอ่อ… เขาออกไปแล้วหาที่พักให้เขาล่ะ?”
หลัวเซียวเซียวรับสัญญาณ แล้วตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการวิ่งออกไปพร้อมกับ ‘คนบ้า’
เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทำได้เพียงติดตามเด็กหญิงไปอย่างงงงวย
ซึ่งมันก็สายเกินไปแล้วที่ซูหว่านจะกลับคำ นางถอนหายใจพร้อมกับบิดปลายจมูกของลูกสาวเบา ๆ “เจ้านี่หนา ทำไมตั้งแต่ออกจากวังหลวงมาเจ้าถึงได้กลายเป็นคนที่แสบสันมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้”
“อิอิ” มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นยิ้มประจบประแจง “นั่นก็เพราะว่าท่านแม่กับไทเฮารักไป๋ไป่มากอย่างไรล่ะเพคะ”
“นอกจากนี้ มันเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือที่เราจะสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นให้มากขึ้น”
หากเธอไม่ได้ติดตามคนบ้าไปช่วยหมาป่าสีเทาในวันนั้น เธอคงไม่บังเอิญรู้ว่ามีผลเพลิงสีชาดมากมายอยู่ด้านหลังเขา
นี่มันไม่ใช่ผลของการสร้างความสัมพันธ์อันดีหรอกหรือ?
“นั่นไม่ผิด” หว่านผินตอบพลางลูบหัวลูกสาวตัวน้อยอย่างรักใคร่ “แม่รู้ว่าเจ้ามีความคิดเป็นของตัวเอง แต่แม่แค่เป็นห่วงเจ้าเพียงเท่านั้น”
ตอนนั้นจู่ ๆ มู่ไป๋ไป่ก็หายตัวไปทั้งคืน มันได้ทิ้งบาดแผลขนาดใหญ่เอาไว้ในใจของหัวอกคนเป็นแม่
ในตอนกลางดึกนางยังคงสะดุ้งตื่นจากความฝัน และสั่งให้คนมายังเรือนของมู่ไป๋ไป่เพื่อตรวจให้มั่นใจว่านางยังอยู่ที่นั่น
“ท่านแม่ ข้าขอโทษที่ข้าทำให้ท่านต้องเป็นกังวลมากถึงเพียงนี้” พอเด็กหญิงเห็นท่าทางกังวลของผู้เป็นแม่ เธอก็น้ำตารื้น ก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นไปหอมแก้มอีกคน “ข้าจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก”
ซูหว่านหัวเราะทันทีที่ถูกเด็กน้อยหอมแก้ม “ดูเหมือนว่าเจ้าจะออดอ้อนคนอื่นได้เก่งยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ”
มู่ไป๋ไป่ยิ้มแล้วไม่ได้พูดอะไร
หว่านผินเฝ้าดูลูกสาวกินรังนกให้หมดก่อนที่นางจะกลับไป และนางก็ได้กำชับว่าตนจะปล่อยเรื่องของเด็กคนนั้นไป แต่มู่ไป๋ไป่จะต้องไปขออนุญาตจากไทเฮาด้วยตัวเอง
เพราะท้ายที่สุดแล้ว คนที่มีอำนาจตัดสินใจที่สุดในวัดฮู่กั๋วก็คือไทเฮา เพราะจู่ ๆ การจะมีคนเพิ่มเข้ามาในตำหนักอิ๋งชุน ตามกฎแล้ว พวกนางจะต้องรายงานต่อไทเฮาเช่นกัน
มู่ไป๋ไป่พยักหน้าเป็นการบอกว่าเข้าใจ
ทันทีที่ซูหว่านเดินออกไป เด็กหญิงก็ไปหาท่านย่าเพื่อเล่าเรื่องดังกล่าวให้พระนางฟัง
เนื่องจากไทเฮาทรงรักเธอมาก พอได้ยินเธอบอกว่า ‘คนบ้า’ คนนั้นน่าสงสารเพียงใด พระนางก็ตอบตกลงทันที
ในเมื่อไทเฮาทรงรับปากมู่ไป๋ไป่แล้ว ‘คนบ้า’ ก็มีเหตุผลที่จะติดตามเธอ และเธอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องของเขาอีกต่อไป เธอเตรียมพร้อมที่จะพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนที่จะออกเดินทางไปเก็บผลเพลิงสีชาดบนภูเขาในอีก 3 วันข้างหน้า
หลังจากคนตัวเล็กสวดมนต์ช่วงบ่ายเสร็จแล้ว เธอก็นวดไหล่ที่ตึงของตัวเองในขณะที่กลับมายังเรือนพักผ่อน ทันใดนั้นเธอก็เห็นเด็กหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้ายืนอยู่ที่ประตู
เด็กหนุ่มผู้นี้มีดวงตากลมโต สีของรูม่านตาสว่างกว่าคนปกติเล็กน้อย ใบหน้าของเขาดูหล่อเหลา แต่บุคลิกของเขานั้นไม่ต่างจากสุนัขตัวใหญ่ที่ซื่อสัตย์
มู่ไป๋ไป่ลอบถอนหายใจกับตัวเอง นี่คงไม่ใช่เจ้าหมาน้อยจากชาติที่แล้วก่อนที่เธอจะเดินทางทะลุมิติมาหรอกใช่หรือไม่?
ในไม่ช้าดวงตาของเด็กหนุ่มก็สว่างขึ้นเมื่อเขาเห็นเด็กหญิง ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งเข้ามาหาเธอ ขณะนั้นในภาพจินตนาการของเธอเหมือนกับว่าเห็นหางกำลังกระดิกไว ๆ อยู่ด้านหลังของเขา
“หยุด!” มู่ไป๋ไป่ร้องห้ามอีกฝ่ายด้วยความตกใจ “ท่านเป็นใคร! แล้วมาที่นี่ทำไม?”
เด็กหนุ่มคนนั้นตกตะลึงกับคำถามที่ได้รับและเอาแต่จ้องเธอ
เด็กหญิงรู้สึกอธิบายไม่ถูกว่าท่าทางของอีกฝ่ายช่างดูคุ้นตายิ่งนัก แล้วมันก็มีเงาร่างสกปรกปรากฏขึ้นในใจของเธอ
“ท่านคือคนบ้า!”
มู่ไป๋ไป่ตกใจมาก เธอไม่คาดคิดว่าภายใต้ผมเผ้าที่รกรุงรังจะมีหน้าตาเช่นนี้ซ่อนอยู่
ก่อนหน้านี้เธอเห็นว่า ‘คนบ้า’ นั้นสวมเสื้อผ้าสกปรกและมีผมเผ้ายาวปิดบังใบหน้า เธอคิดว่าคนผู้นี้อาจจะมีบาดแผลขนาดใหญ่อยู่บนใบหน้า เขาจึงพยายามหาอะไรมาปกปิดอยู่เสมอ
แต่กลับกลายเป็นว่านอกจากใบหน้าของอีกฝ่ายจะไม่มีบาดแผลแล้ว มันยังงดงามมากอีกด้วย
“อือ!” เด็กหนุ่มยิ้มสดใสซึ่งภาพนั้นแทบทำให้มู่ไป๋ไป่เป็นลมล้มพับไป
โอ้แม่เจ้า ดูเหมือนว่าฉันจะไปเก็บคนที่พิเศษขึ้นมาได้!
“องค์หญิงหก เกิดอะไรขึ้นเพคะ?” หลัวเซียวเซียวได้ยินเสียงจึงออกมาดู พอเห็นการแสดงออกของมู่ไป๋ไป่กับคนบ้า นางก็เข้าใจทันทีว่ามีอะไรเกิดขึ้น “องค์หญิงหกยังจำเขาได้อยู่หรือไม่เพคะ?”
“เมื่อกี้ข้าจำเขาไม่ได้ แต่ตอนนี้ข้าจำได้แล้ว” มู่ไป๋ไป่พูดพลางเดินวนไปรอบ ๆ ตัวของ ‘คนบ้า’ “ไม่เลวเลย หน่วยก้านดีทีเดียว”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: โอ้ววววว น้องเก็บของแรร์มาได้เฉยเลย!