ตอนที่แล้วบทที่ 92: ผลไม้วิญญาณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 94: เจ้าหมาน้อย

บทที่ 93: ตอบแทนบุญคุณ


คืนนั้น เมื่อหลัวเซียวเซียวไปส่งอาหารให้กับ ‘คนบ้า’ และหมาป่าสีเทา มู่ไป๋ไป่ก็ได้ติดตามไปด้วย

“นี่ เจ้ากินนี่สิ” มู่ไป๋ไป่ยื่นผลเพลิงสีชาดที่เก็บเอาไว้ไปจ่อที่ปากหมาป่าและกล่าวว่า “ข้าได้นำมันไปถามหมอหลวงมาแล้ว เขาบอกว่าผลไม้นี้มีประสิทธิภาพมากกว่ายาหายากที่เขาเตรียมไว้ให้เจ้าอีก แถมมันยังใช้งานได้ง่ายอีกด้วย”

เมื่อหมาป่าสีเทาได้ยินดังนี้ มันก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะเปิดปากแล้วกลืนผลไม้เข้าไปช้า ๆ

หลังจากที่หมาป่าตัวโตได้พักผ่อนมาทั้งวัน อาการบาดเจ็บของมันก็ทุเลาลงมากแล้ว แม้ว่ามันจะยังลุกขึ้นเดินไม่ได้ แต่มันก็ยังพอเคลื่อนไหวได้บ้าง

ที่วัดฮู่กั๋วไม่มีเนื้อให้กิน ดังนั้นมู่ไป๋ไป่จึงได้สั่งคนลงเขาไปเพื่อซื้ออาหารมาให้หมาป่าสีเทาเงียบ ๆ

ในส่วนของ ‘คนบ้า’ เขาเป็นมนุษย์ย่อมสามารถกินอาหารเช่นเดียวกับพวกเธอได้

อย่างไรก็ตาม คนผู้นี้ก็ไม่ใช่คนเรื่องมาก ขณะนี้เขากำลังถือชามใบใหญ่กินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ถึงกระนั้นเขาก็ยังแบ่งข้าวส่วนใหญ่เอาไว้ให้เจ้าหมาป่า

“ท่านจ้าวอสูร ท่านช่วยข้าคุยกับเจ้าเด็กโง่คนนี้หน่อยได้หรือไม่ ช่วยบอกเขาหน่อยว่าข้าเป็นหมาป่า ไม่ใช่สุนัขบ้าน และข้าไม่กินเศษอาหารที่เหลือจากมนุษย์” หมาป่าสีเทาไม่รู้จะพูดอย่างไรกับเขาจึงขอความช่วยเหลือจากเด็กหญิง

มันไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีปัญหาทางสมองหรือไม่ แต่เนื่องจากเขาดูแลมันมาได้ระยะหนึ่งแล้ว และเขาก็เอาอาหารมาส่งที่รังของมันทุกวัน

ดังนั้นมันจึงไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวได้

มู่ไป๋ไป่ที่ได้ยินเช่นนี้ก็ได้ถ่ายทอดคำพูดของหมาป่าสีเทาให้ ‘คนบ้า’ ฟัง

เขายกชามขึ้นพลางคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเทอาหารที่แบ่งเอาไว้กลับลงไปในชามของตัวเองทันที

หลังจากหมาป่าสีเทากินจนอิ่มแล้ว มันก็งีบหลับอีกครั้ง

ส่วน ‘คนบ้า’ ยังคงนั่งเฝ้าหมาป่าตัวโตอยู่ด้านข้าง ซึ่งท่าทางของเขานั้นไม่ต่างจากสุนัขที่ซื่อสัตย์เลยสักนิด

“บ้านของท่านอยู่ที่ไหนหรือ ครอบครัวของท่านจะเป็นกังวลหรือไม่ถ้าท่านออกมานาน ๆ เช่นนี้?” หลัวเซียวเซียวสงสัยมากจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม

ก่อนหน้านี้นางค่อนข้างจะกลัว ‘คนบ้า’ คนนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป นางกลับพบว่าอีกฝ่ายดูปกติดียกเว้นเรื่องที่เขาพูดไม่ได้ และเขาอาจจะซื่อบื้อไปบ้างเพียงเท่านั้น

‘คนบ้า’ เงยหน้ามองหลัวเซียวเซียวก่อนจะส่ายหัวเบา ๆ

“ท่านไม่มีครอบครัวหรือ?” เด็กหญิงตกใจแล้วตระหนักได้ว่าคำถามของตนดูจะทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายมากไปหน่อย หากเขามีครอบครัว เด็กในวัยนี้คงไม่วิ่งไปมาทั้ง ๆ ที่เนื้อตัวสกปรกเช่นนี้แน่นอน อีกทั้งเขายังคอยมาขโมยอาหารในวัดฮู่กั๋วเป็นประจำอีกด้วย

พอหลัวเซียวเซียวเห็นสภาพเนื้อตัวที่มอมแมมของ ‘คนบ้า’ นางก็นึกถึงตัวเองตอนที่อยู่ในตระกูลหลัว ในเวลานั้นตัวนางกับเด็กหนุ่มคนนี้มีสภาพไม่ต่างกันเลยสักนิด

เมื่อเด็กหญิงคิดถึงเรื่องนี้ นางก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจเขาขึ้นมาเล็กน้อย

ในวันรุ่งขึ้น มู่ไป๋ไป่ต้องไปที่วิหารแต่เช้าเพื่อสวดมนต์ แต่เธอก็ทนอยู่ได้ไม่นานก่อนจะพาหลัวเซียวเซียวกลับเรือน

เมื่อเวลาผ่านไป หมาป่าสีเทาก็ฟื้นตัวเร็วกว่าที่หมอหลวงบอก ในเวลาเพียง 7 วัน บาดแผลบนร่างกายของมันก็เริ่มตกสะเก็ด แล้วมันก็สามารถเดินไปมาได้อย่างอิสระ มิหนำซ้ำมันยังออกไปล่าสัตว์บนภูเขาได้ด้วยตัวเองด้วย

สิ่งแรกที่หมาป่าตัวโตทำหลังจากหายแล้วก็คือการนำกระต่ายมาให้มู่ไป๋ไป่เป็นการขอบคุณ

“ขอบคุณท่านจ้าวอสูรที่ช่วยชีวิตข้าไว้” หมาป่าสีเทาหมอบอยู่บนพื้นด้วยท่าทางนอบน้อม “ถ้าข้าไม่ได้พบท่านจ้าวอสูร ข้าคงตายไปแล้ว”

“ข้าจะจดจำพระคุณของท่านไปตลอดชีวิต”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก ขอเพียงเจ้าทำตามคำพูดที่เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ แล้วพาข้าไปเก็บผลไม้ นั่นก็นับว่าเป็นการตอบแทนแล้ว” มู่ไป๋ไป่กล่าวพลางถูมือตัวเองอย่างกระตือรือร้น

เธอคิดถึงผลเพลิงสีชาดมานานแล้ว

ในช่วง 7 วันที่ผ่านมาเธอก็ไม่ได้อยู่เฉย ขณะที่แอบวางแผนกิจการของตัวเอง เธอก็ได้สั่งให้ขันทีลงจากภูเขาไปช่วยเธอสอบถามเกี่ยวกับผลเพลิงสีชาดในตลาด

ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่าตลาดการขายผลเพลิงสีชาดนั้นดีมากจริง ๆ แล้วมันก็ดียิ่งกว่าที่หมอหลวงฉินบอกเสียอีก

นอกจากนี้ขันทีที่ลงจากเขาได้ไปถามร้านยาหลายแห่ง โดยแต่ละที่เสนอเงินคนละ 50 ตำลึง และบอกว่าสามารถรับสินค้าได้เรื่อย ๆ

“ข้าย่อมรักษาคำพูดของตัวเอง” หมาป่าสีเทานั่งตัวตรง “ท่านจ้าวอสูรสามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อที่ต้องการ”

มู่ไป๋ไป่ใช้ความคิดชั่วครู่และได้กำหนดเวลาออกเดินทางในอีก 3 วันข้างหน้า แม้ว่าคราวนี้จะมีหมาป่านำทางเข้าไปในภูเขา แต่เธอก็ยังจำเป็นจะต้องเตรียมการบางอย่างเผื่อเอาไว้

หมาป่าตัวใหญ่ตอบตกลงที่จะกลับมาหาเธอภายใน 3 วัน จากนั้นมันก็วิ่งกลับไปที่ภูเขา

“ทำไมท่านยังอยู่ที่นี่อีกล่ะ?” คนตัวเล็กหันกลับไปเห็น ‘คนบ้า’ ยังยืนอยู่ไม่ไกล และไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนไปไหน

ฝ่ายที่ถูกถามบิดชายเสื้อตัวเองด้วยท่าทางเป็นกังวล

“อ่า… ถึงอย่างไรท่านก็ไม่มีครอบครัว” มู่ไป๋ไป่นึกถึงบทสนทนาก่อนหน้านี้ระหว่างเขากับหลัวเซียวเซียว ก่อนที่เธอจะกลอกตาครุ่นคิดบางสิ่งในหัว ไม่นานเธอก็พูดขึ้นว่า “เอาเถอะ องค์หญิงคนนี้เป็นคนจิตใจดี ในเมื่อได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแล้วก็ต้องช่วยให้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าท่านยินดี ข้าจะรับท่านไปดูแลเอง”

“ให้ท่านอยู่ในวัดฮู่กั๋วและคอยช่วยเหลืองานเล็ก ๆ น้อย ๆ”

“ข้าอาจจะจ่ายเงินให้ท่านได้ไม่มาก แต่อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่าท่านจะมีอาหารให้กินและมีเสื้อผ้าให้สวมใส่”

“ท่านคิดว่าอย่างไร?”

หลังจากมู่ไป๋ไป่ได้ทำความรู้จักกับเขามาหลายวัน เธอก็พบว่า ‘คนบ้า’ คนนี้ค่อนข้างซื่อสัตย์ ตราบใดที่เขากินอิ่ม เขาจะไม่ส่งเสียงอะไรและเขาก็เชื่อฟังมาก

สิ่งเดียวที่เป็นปัญหาก็คือดูเหมือนว่าท้องของเขาจะใหญ่ไปสักหน่อย

เมื่อไม่กี่วันก่อนเธอลงมือทำอาหารเอง ทำให้อาหารของวัดที่ส่งมาเหลืออยู่มากมาย ดังนั้นหลัวเซียวเซียวจึงรับมาทั้งหมด

และอาหารเหล่านั้นก็น่าจะเพียงพอสำหรับคน 3 คน ซึ่งผลก็คือ ‘คนบ้า’ ผู้นี้กินมันทั้งหมดด้วยตัวเอง ไม่เพียงแค่นั้น เขายังตบท้ายด้วยผลไม้ชามใหญ่อีกด้วย

มู่ไป๋ไป่กับหลัวเซียวเซียวที่เห็นดังนั้นถึงกับตกตะลึง พร้อมกับความสงสัยว่าอีกฝ่ายไปอดอยากมาจากไหนกัน

คนตัวเล็กคิดว่า ‘คนบ้า’ จะพร้อมยอมรับข้อเสนอของเธอเพราะเคยอยู่ร่วมกันมาหลายวัน แต่ใครจะไปคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะส่ายหัวปฏิเสธ

“ท่านไม่ยินยอมที่จะอยู่ในวัดฮู่กั๋วหรือ?” มู่ไป๋ไป่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ทำไมล่ะ วัดฮู่กั๋วดีมากเลยนะ หรือท่านมีเรื่องบาดหมางอะไรกับไต้ซือเหล่านั้นหรือไม่?”

‘คนบ้า’ ยังคงส่ายหัวตอบ

“ไม่เป็นไร” เด็กหญิงคิดอยู่สักพักแล้วยักไหล่ “ข้าไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใจแทนท่าน ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง ท่านสามารถเลือกจะอยู่ที่ใดก็ได้ตามต้องการ เอาไว้เราค่อยพบกันใหม่ที่ใดสักแห่งบนโลกนี้”

หลังจากพูดจบเธอก็พาหลัวเซียวเซียวกลับไปที่เรือนพักของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เธอก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว เธอก็สังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ เพราะ ‘คนบ้า’ เดินตามเธอมา

ทันทีที่เขาเห็นว่าเธอหันกลับมามอง เขาก็ดูตื่นตระหนกและยืนตัวแข็งทื่อ ก่อนจะรีบก้มหน้าลงโดยไม่กล้าสบตาเธอ

มู่ไป๋ไป่ที่เห็นเช่นนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับครุ่นคิดในใจ ไม่กี่อึดใจต่อมา เธอก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อถามเขาว่า “ท่านอยากติดตามข้าหรือ?”

“อือ!” ‘คนบ้า’ เงยหน้าขึ้นและตอบรับอย่างตื่นเต้น

เด็กหญิงรู้สึกขบขันกับท่าทางของเขาในขณะที่เธอพูดว่า “ทำไมท่านถึงอยากติดตามข้าล่ะ ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร หากท่านอยากจะติดตามข้า ท่านจะต้องเป็นขันที”

ผู้ชายที่สามารถเดินเข้าออกวังหลังได้นอกเหนือจากองครักษ์ก็คือขันที

“หือ?” ‘คนบ้า’ เอียงคอด้วยความรู้สึกสับสน จากนั้นเขาก็ทำสีหน้าวิตกกังวล ก่อนจะคุกเข่าลงคำนับอีกฝ่าย

นั่นทำให้มู่ไป๋ไป่รู้สึกปวดหัวทันที แม้ว่าเธอจะรู้จักเด็กหนุ่มคนนี้มาสักพักแล้ว แต่เธอก็ไม่เข้าใจท่าทางของเขาจริง ๆ สักครั้ง

“องค์หญิงหก สิ่งที่เขาต้องการจะบอกพระองค์ก็คือพระองค์ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ พระองค์เป็นผู้มีพระคุณของเขา และเขาจะตอบแทนพระองค์โดยการติดตามพระองค์เพคะ”

หลัวเซียวเซียวที่อยู่ด้านข้างเปิดปากอธิบาย

“เจ้าเข้าใจจริง ๆ หรือว่าเขาต้องการจะบอกอะไร” มู่ไป๋ไป่รู้สึกประหลาดใจ

“เพคะ…” หลัวเซียวเซียวทำหน้าขัดเขินพลางเกาหัว

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา นางมักจะพูดคุยกับ ‘คนบ้า’ แล้วพอเวลาผ่านไป นางก็สามารถเข้าใจได้ว่าเขาต้องการจะบอกอะไร

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด