บทที่ 13
บทที่ 13 กงซูห่าว
เฉินจวิ้นมองไปที่ช่างไม่กี่คนที่อยู่ข้างเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ แล้วชี้ไปที่พวกเขาพลางถามเจ้ากรมโยธาเฉียนว่า "ในพวกเขามีท่านอาจารย์กงซูที่เจ้าพูดถึงหรือไม่?"
เฉินจวิ้นได้ยินว่าเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่นี้และเครื่องสูบน้ำจากบ่อน้ำล้วนสร้างโดยอาจารย์กงซู จึงรู้สึกเคารพชื่นชมอาจารย์กงซูในใจทันที ถึงแม้จะมีแบบแปลนจากตัวเขาเอง แต่การที่จะสร้างได้ตามแบบก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
เจ้ากรมโยธาเฉียนได้ยินเช่นนั้น ก็ตอบอย่างนอบน้อมว่า "ฝ่าบาท อาจารย์กงซูไม่ได้มาที่นี่ในวันนี้"
เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทให้ความสำคัญกับอาจารย์กงซู เจ้ากรมโยธาเฉียนจึงไม่กล้าปิดบัง คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า "ฝ่าบาท หากตอนนี้พระองค์ประสงค์ที่จะพบอาจารย์กงซู ข้าพเจ้าจะให้คนไปตามตัวเขามา พระองค์เห็นว่าสมควรหรือไม่?"
เฉินจวิ้นได้ยินว่าอาจารย์กงซูไม่ได้อยู่ที่นี่ จึงก้มหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วสั่งเจ้ากรมโยธาเฉียนว่า "ดี เช่นนั้น เจ้าจงให้คนไปแจ้งอาจารย์กงซูก่อน ให้เขารออยู่ที่วังหลวง รอให้ข้ากลับไปแล้วค่อยเรียกตัวเขาเข้าพบ"
เจ้ากรมโยธาเฉียนได้รับคำสั่ง ก็รีบให้คนไปแจ้งทันที
ในตรอกที่ทรุดโทรมแห่งหนึ่งของเมืองหลวง มีเสียงไก่ขันและสุนัขเห่าดังเป็นระยะๆ รวมถึงเสียงทักทายของเพื่อนบ้านที่ดังแว่วมา ตรอกนี้มีบ้านเรือนประมาณสิบกว่าหลัง ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวที่อาศัยอยู่ที่นี่มาหลายชั่วอายุคน สืบทอดกันต่อมาเรื่อยๆ
บ้านหลังหนึ่งในตรอกนี้ มีสมาชิกในครอบครัวร่วมสิบกว่าคน อาศัยอยู่กันอย่างแออัดในลานบ้านเล็กๆ โชคดีที่ยังพอมีห้องพักเพียงพอให้ทุกคนอาศัยอยู่ได้อย่างลำบากแต่ก็พออยู่กันได้
เจ้าของบ้านเป็นชายวัยสี่สิบกว่าปี รูปร่างแข็งแรงดูมีพละกำลัง ภรรยาของเขาเป็นหญิงชาวนาวัยใกล้สี่สิบ ใช้ชีวิตดูแลบ้านเรือนมานาน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาเผยให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าจากชีวิตที่ผ่านมาหลายปี
หญิงคนนั้นให้กำเนิดบุตรถึงเจ็ดคน แต่เนื่องจากปัญหาสุขภาพและโรคภัย หมอไม่สามารถช่วยชีวิตลูกของพวกเขาได้ สุดท้ายเหลือเพียงสามคนที่เติบโตจนเป็นผู้ใหญ่
บุตรชายคนโตชื่อ กงซูเหลียงผิง อายุ ยี่สิบสาม ปี เป็นคนที่ดูซื่อสัตย์และเรียบร้อย
เพราะเป็นบุตรชายคนโต จึงแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้ลูกชายของเขาอายุได้หกขวบแล้ว
บุตรชายคนที่สองคือ กงซูเหลียงชุน อายุเพิ่งยี่สิบปี เป็นคนที่ฉลาดเฉลียว แต่งงานได้ไม่นาน มีลูกสองคนแล้ว
ส่วนบุตรชายคนที่สาม กงซูเหลียงจื้อ อายุสิบหก ยังไม่แต่งงาน
หญิงสาวกำลังยุ่งอยู่ที่เตาไฟ มองไปที่สามีของเธอที่กำลังผ่าฟืนในลานบ้าน
ทันใดนั้น ความโมโหก็เกิดขึ้น “ท่านซ่อมไม้ที่มันพังอยู่ทุกวัน จะไม่ให้เหลือที่ว่างในบ้านเรยเหรอ? บอกหน่อยสิ ของพวกนี้มันมีประโยชน์อะไร มันกินได้หรือขายได้เหรอ? ทำแต่เรื่องที่ไร้ประโยชน์อยู่ตลอด ไปหางานทำที่อื่นดีกว่า ไหนๆ ก็มีไม่มีใครที่ไหนมาสร้างบ้าน เดี๋ยวก็จะไม่มีเงินให้ลูกชายของเราแต่งงานอีก”
กงซูห่าวไม่ได้สนใจคำด่า ของภรรยาเขา เพราะในสิบปีที่ผ่านมาเขาชินกับมันแล้ว
ผ่านไปหลายปี กงซูห่าวรู้สึกผิดกับภรรยาของเขา เพราะเขาไม่สามารถทำให้ภรรยามีชีวิตที่ดีขึ้น และต้องมาลำบากตามเขา
ตั้งแต่เด็ก กงซูห่าวได้รับอิทธิพลจากครอบครัว และมีความชำนาญในการผลิตเครื่องจักร
เขาเริ่มเรียนรู้ทักษะที่สืบทอดจากตระกูลกงซูตั้งแต่ยังเล็ก อาจจะเป็นเพราะกงซูห่าวเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในการทำงานนี้ ทำให้เขาเรียนรู้เนื้อหาเกี่ยวกับการผลิตเครื่องจักรจากตำราได้อย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อสกุลกงซูเสื่อมถอย กงซูห่าวตั้งใจที่จะใช้ความสามารถในการสร้างเครื่องมือที่เขาชำนาญ เพื่อฟื้นฟูชื่อเสียงของตระกูล
แต่ความจริงกลับทำให้กงซูห่าวตระหนักว่า ความสามารถของเขาไม่ได้รับการตอบแทนจากทุกคน
เครื่องมือที่เขาสร้างนั้น คนจนไม่มีเงินซื้อ
และพวกพ่อค้าและเจ้าหน้าที่ก็ไม่สนใจเครื่องมือที่ดูฟุ่มเฟือยเหล่านี้ เพราะพวกเขามีกรรมกรของตัวเองที่ทำงานให้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ดังนั้นจึงไม่สนใจทักษะอันแปลกประหลาดของกงซูห่าว
ในที่สุดเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องช่วยคนอื่นสร้างบ้านเพื่อเลี้ยงครอบครัว
โชคดีที่การสร้างบ้านไม่ใช่เรื่องยาก กงซูห่าวเรียนรู้ได้ในเวลาไม่นาน
การสร้างบ้านไม่ได้สร้างรายได้มากนัก และไม่ได้มีงานทุกเดือน ดังนั้นเงินที่กงซูห่าวนำกลับบ้านก็เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายของครอบครัวเท่านั้น
เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกไปหางานทำ และในที่สุดก็ได้งานในราชสำนัก
ปกติเขาจะช่วยทำเครื่องมือการเกษตรเล็กๆ น้อยๆ ที่ราชสำนักต้องการ เนื่องจากราชสำนักมีที่นาเยอะ และเครื่องมือการเกษตรก็มีมากมาย
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ด้วยทักษะของเขา กงซูห่าวค่อยๆ สร้างชื่อเสียง
ในกลุ่มช่างของวังหลวง เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นช่างใหญ่ ต้องรู้ว่าช่างใหญ่ที่มีฝีมือสูงนั้นไม่มากนัก
ในฐานะช่างใหญ่ กงซูห่าวมีเงินเดือนเฉลี่ยเดือนละห้าตำลึงเงิน
บวกกับลูกชายสามคนที่ช่วยเขาทำงาน เมื่อมีงานที่ราชสำนัก เขาก็จะพาลูกชายทั้งสามไปทำงานด้วยกัน และเมื่อไม่มีงานที่ราชสำนักก็จะไปหางานสร้างบ้านภายนอกต่อไป
ตามปกติแล้ว ค่าแรงของเขาและลูกชายสามคนก็เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายของครอบครัวอยู่แล้ว
แต่กงซูห่าวมีความหลงใหลในงานผลิตเครื่องจักรเป็นอย่างมาก ทำให้เงิน
ส่วนใหญ่ใช้ไปกับการซื้อวัสดุต่างๆ
เพราะเหตุนี้เอง ภรรยาของเขาจึงมักจะบ่น
กงซูห่าวก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่สามารถทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปได้ และยังมีความฝันที่จะทำให้สิ่งที่บรรพบุรุษส่งต่อกันมาเจริญรุ่งเรือง
เมื่อกงซูห่าวฟังภรรยาต่อว่า เขาก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าก็รู้ ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมรดกของตระกูลกงซู ตอนนี้ก็ต้องพึ่งพาข้าในการถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ ไม่ให้สูญหายไป”
ภรรยาของเขาได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกว่าเป็นแบบนี้ทุกครั้ง ถึงแม้จะไม่พอใจ แต่เมื่อคิดถึงความดื้อรั้นของสามี เธอก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
ในขณะนั้นเธอกำลังจะพูดอะไรออกมา ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูจากข้างนอก “นี่คือบ้านของช่างกงซูหรือเปล่า?”
กงซูห่าวได้ยิน ก็รู้สึกสงสัย คิดว่าอาจจะมีงานเข้ามาที่บ้าน รีบวางเครื่องมือในมือแล้วลุกขึ้นไปเปิดประตูทันที
เมื่อกงซูห่าวเปิดประตูออกมา เขามองไปที่ผู้มาเยือนแล้วถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านคือใครกัน?”
เด็กหนุ่มที่เคาะประตูยิ้มแย้มตอบว่า “ท่านกงซู ท่านนี่ลืมง่ายจริงๆ ข้าชื่อหลิวซาน เป็นผู้ช่วยของท่านเจ้ากรมโยธาเฉียน อยู่ข้างกายท่านเฉียนมาก่อน ท่านยังจำข้าไม่ได้หรือ?”
กงซูห่าวมองเด็กหนุ่มอยู่นานก่อนจะมีสีหน้าท่าทางที่เข้าใจ
“อ้อ ใช่แล้ว ข้าจำได้แล้ว เจ้าเป็นคนของท่านเฉียนใช่ไหม”
จากนั้นเขาก็รีบเชิญหลิวซานเข้ามาในบ้านด้วยความสุภาพและถามว่า
“ไม่ทราบว่าท่านเฉียนมีเรื่องอะไรฝากให้ข้าช่วยหรือ?”
หลิวซานรีบแสดงความยินดีพูดว่า “ยินดีด้วยท่านกงซู ท่านจะได้เลื่อนยศและมีความมั่งคั่งเร็วๆ นี้แล้ว”
กงซูห่าวรู้สึกงุนงงเมื่อได้ยินคำพูดนี้
“ข้าก็แค่ช่างไม้ธรรมดา จะได้เลื่อนยศหรือมั่งคั่งได้อย่างไร?”
หลิวซานเห็นท่าทางงุนงงของกงซูห่าวจึงอธิบายเพิ่มเติม
“วันนี้ฝ่าบาทไปที่ทุ่งนาเพื่อดูการทำงานของกังหันน้ำ หลังจากที่เห็นผลงานแล้ว พระองค์ทรงพอพระทัยมาก และทรงต้องการพบกับช่างที่ทำกังหันนี้”
“ท่านเจ้ากรมโยธาเฉียนจึงให้ข้ามาแจ้งท่านว่า ฝ่าบาทให้เข้าเฝ้าที่วังหลวง และเมื่อเสด็จกลับพระองค์จะเรียกพบท่านทันที นอกจากนี้ ข้าก็มั่นใจว่าพระองค์จะพระราชทานรางวัลให้ท่าน ท่านก็จะได้ร่ำรวยไปตามนั้น”